Skip to content

วิถีปกาเกอะญอ: ความเชื่อ พิธีกรรม ความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งสูงสุด

จาก วิถีชีวิตของปกาเกอะญอที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า วิถีทำกินในระบบไร่หมุนเวียนที่ใช้ประโยชน์และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน ชาวปกาเกอะ ญอจึงให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ ๓ มิติ นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ คือ เมื่อรู้จักใช้จากธรรมชาติก็ต้องรู้จักรักษาและต้องเคารพต่อธรรมชาติด้วย  ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน วิถีทำกินทุกกิจกรรมในไร่หมุนเวียนไม่สามารถทำเพียงคนเดียวได้ จึงเกิดวัฒนธรรมแห่งการพึ่งพาและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งสูงสุด ซึ่งหมายถึงความเชื่อว่าสิ่งสูงสุดคือเจ้าของธรรมชาติ การจะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติจึงต้องขออนุญาตจากสิ่งสูงสุด ใช้อย่างรู้คุณค่า และให้ความเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งสูงสุดด้วย

เมื่อวิถีการทำไร่หมุนเวียนของปกาเกอะญอซึ่งเป็นการทำเกษตรแบบพออยู่พอกิน เปลี่ยนมาเป็นการทำเกษตรเชิงพาณิชย์อย่างข้าวโพด หรือกะหล่ำปลี ความเชื่อ พิธีกรรม และความสัมพันธ์ใน ๓ มิติที่กล่าวมาข้างต้นในวิถีของชาวปกาเกอะญอแต่เดิม จึงเริ่มสั่นคลอน พี่สุนทร ได้อธิบายให้ฉันฟังว่า

“พืชในไร่หมุนเวียนแบบที่ชาวบ้านทำมีความหลากหลายและไปเกี่ยวข้องกับความเชื่อ พิธีกรรม วัฒนธรรมซึ่งร้อยรัดเข้ามาเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน และไปเกี่ยวข้องกับระบบสุริยจักรวาลระบบดวงดาวต่างๆ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและความหลากหลายทางระบบนิเวศพืชพันธุ์ต่างๆ แต่พอระบบการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเข้ามา ความเชื่อพิธีกรรมไม่มีแล้ว ความสัมพันธ์ที่ไปสู่มิติธรรมชาติกับความเชื่อมันหายไป มีแต่เกษตรที่เป็นเรื่องของมูลค่า คือ เงินเป็นหลัก ซึ่งเกษตรเชิงเดี่ยวแบบนี้มันไม่มีน้ำมีนวล มันแห้งแล้ง มันว่างเปล่า เปลือยเปล่า เหมือนไก่ที่ไม่มีขน แต่พิธีกรรม ความเชื่อ วัฒนธรรม ก็เหมือนกับคนที่ใส่เสื้อ ไก่ที่มีขน แต่เกษตรเชิงเดี่ยวมันเปลือยเปล่า ดอยและภูเขาก็โล้น ไม่มีต้นไม้อะไรแล้ว มันจะเขียวเฉพาะตอนที่ต้นข้าวโพด กะหล่ำปลีมันขึ้นมา แต่หลังจากหมดหน้านี้ ภูเขาก็โล้น เพราะมันไม่มีองค์ประกอบเรื่องความสัมพันธ์ที่ไปเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ความเชื่อ ผีเจ้าที่เจ้าทาง ผีต้นไม้ ผีน้ำ ไม่มาเกี่ยวข้องแล้ว

 

แต่คนที่ใช้ไร่หมุนเวียน จะมีเรื่องของพิธีกรรม การใช้แรงคน แรงสัตว์ ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ คนกับสัตว์ คนกับพืชผักที่ขึ้นมายังทำให้จิตใจของคนอ่อนโยน รู้สึกว่าเรายังต้องเคารพยำเกรงต่อสิ่งที่อยู่ด้วยกัน ยกตัวอย่างชาวบ้านที่ยังต้องใช้ควายไถนา ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับควาย คนเห็นควายไถนานานๆ ก็สงสาร ให้ควายหยุดพัก แต่เราหันมาใช้รถไถนาซึ่งไม่มีชีวิต มันเป็นเครื่องจักร เราจะใช้มันไถทั้งวันก็ได้ เพราะฉะนั้นการกล่อมเกลา ความอ่อนน้อม ความสงสาร ก็หายไปในระบบเกษตรสมัยใหม่”

ความเชื่อของปกาเกอะญอ เช่นเรื่องของไร่ เขาบอกว่า ไร่ข้าวจะมีพิธีตั้งแต่การเตรียมดิน สมัยก่อนที่เขายังทำไร่หมุนเวียนเขาจะต้องหาที่ โดยทำนายดูก่อนว่าที่ไหนจะทำการผลิต ไม่ใช่ว่าจะเลือกได้ตามใจชอบ แต่ต้องดูของชุมชนว่า ปีนี้เขาจะทำไร่บริเวณนี้ ปีหน้าจะทำอีกบริเวณหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กัน ถ้าแต่ละคนเลือกตามใจชอบ ก็จะยากต่อการเลี้ยงสัตว์  เขาจึงต้องมีการแบ่งโซนว่าปีนี้ทำไร่บริเวณนี้ แล้วอีกด้านเป็นที่เลี้ยงสัตว์ ปีหน้าก็จะหมุนเวียนไป มีการโซนนิ่งพื้นที่ทำกิน”

แต่มาถึงปัจจุบันเมื่อปกาเกอะญอเปลี่ยนจากวิถีการทำไร่หมุนเวียนมาทำเกษตรเชิงเดี่ยวอย่างเช่น ปลูกกะหล่ำปลี มะเขือเทศ และข้าวโพด ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ที่เคยยึดถือและปฏิบัติมาอย่างการทำพิธีเลี้ยงผีไร่ผีนา ก็ถูกแทนที่ด้วยการทำพิธีเลี้ยงผีกะหล่ำปลีผีมะเขือเทศ ซึ่งในเรื่องนี้ พี่สุนทรได้อธิบายว่า

“ตอนนี้เขาพยายามจะปรับเรื่องของพิธีกรรมความเชื่อเข้าไปอยู่ในระบบเกษตรสมัยใหม่ แต่เป้าหมายอาจไม่เหมือนเกษตรแบบดั้งเดิมที่ปลูกข้าวเป็นหลัก อาจเป็นเป้าหมายในการทำพิธีให้ราคาดี ให้ผลผลิตดี ตัวอย่างคนรุ่นใหม่จะเป็นอย่างนั้น แต่คนรุ่นเก่าจะมองว่า พืชใหม่แต่เราเอาคุณค่าทางความเชื่อเข้าไปให้มีมิติเรื่องของการเอาเงินที่ได้จากการขายพืชเชิงเดี่ยวมาใช้ในทางที่เหมาะที่ควร ไม่โลภ ไม่กอบโกย เราพยายามสร้างความศักดิ์สิทธิ์โดยเอามิติของความเชื่อเข้าไปจับ ในมุมที่หมายถึงใช้เงินอย่างรู้คุณค่า นี่เป็นมุมมองของคนเฒ่าคนแก่ และดินที่เราใช้ เราจะต้องมีความรู้ว่า ดินนี้มีเจ้าของ มีชีวิต ถ้าเราใส่ปุ๋ยใส่ยา ก็เหมือนกับเราเอายามาทาที่หลังที่เลือดซึมอยู่ ก็จะรู้สึกเจ็บแสบ เจ็บปวด ดินก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการทำพิธีของคนเฒ่าคนแก่ก็เพื่อขอขมา ขอโทษต่อดิน ต่อน้ำ

 

แต่คนรุ่นใหม่ไม่ได้คิดแบบนี้ เขาคิดแต่ว่าจะขายได้ราคา ซึ่งนี่ไปขัดความเชื่อเดิมของปกาเกอะญอ ที่ให้มองว่า เงินศักดิ์สิทธิ์ ทำเงินให้เป็นเงินที่มีคุณค่า ใช้เท่าที่จำเป็น เพราะปัจจุบันเราจำเป็นต้องใช้เงิน คล้ายๆ กับเงินบุญ คือ เงินที่มาจากการทำบุญ ถ้าเราเอาเงินบุญไปใช้ในทางที่ไม่ซื่อสัตย์ ก็จะเป็นบาปกับเรา แต่คนทั่วๆ ไปมองว่าเงินเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งที่เราจะใช้อย่างไรก็ได้ตามใจชอบ”

ส่วนพี่ประชาก็ได้กล่าวถึงความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติและพิธีกรรมต่างๆ ที่ชาวปกาเกอะญอให้ความเคารพนับถือซึ่งกำลังถูกลดคุณค่าลดความสำคัญลง  “ผมเห็นที่นี่ (เซโดซา) ยังมีการทำพิธีที่บ่งบอกว่ายังมีความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่อย่างน้องที่ปลูกหอมแดง ผมเคยไปกินหมู พอเก็บเกี่ยวเสร็จก็ซื้อหมูตัวหนึ่งมากินกันที่สวน เขาฆ่าหมูที่สวนหอมแดง แต่ไม่มีพิธีกรรม ไม่มีการพูดถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ ต่อไปถ้าไม่มีพิธีกรรมต่างๆ แล้ว การให้ความหมายในพิธีกรรมในเรื่องความเชื่อ ถ้ามันผิดทิศทางไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป” พี่ประชายังเป็นห่วงกังวลต่อปัญหาที่ชาวบ้านขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดรุกล้ำเข้าไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพยำเกรงมาช้านานโดยเล่าประสบการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเองว่า “ปีนี้เห็นเต็มๆ เลย ป่าช้าเขาถือมาก แต่ปีนี้บุกรุกแผ้วถางป่าช้าหมดแล้ว และมันเกิดเหตุตามธรรมชาติ หรือเกิดเหตุเพศภัยอะไรไม่รู้ เวลาฝนตก สังเกตว่าแถวนี้ฝนไม่ตกเลยนะ แต่บ้านอื่นนี่ตกหมด ตอนนั้นผมอยู่ที่ไร่ข้าว ใบข้าวนี่ม้วนแห้งเลย เห็นฝนมาก็ดีใจ ระหว่างทางกลับบ้าน พอมาถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง ฝนก็หยุดไม่มาทางนี้แล้ว ความเชื่อของชาวบ้านส่วนมากเขาอ้างถึงว่า มีการแผ้วถางป่าช้าที่คนสมัยก่อนห้าม นี่แสดงถึงความไม่เกรงกลัว ไม่คิดถึงความเชื่อและจารีตที่ชาวบ้านเคยยึดถือกันมา พอมีคนไปทำพิธี ฝนมาเลย มี ๒ ครั้งที่เห็นเต็มๆ เลย ที่ไปทำพิธีเลี้ยงแล้วฝนมาเลย นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น พอทำพิธีขอฝนเสร็จ ยังไม่ทันถึงบ้านเลย ฝนตกใส่แล้ว ต่อไปถ้า ฮิโข่  [1] ไม่อยู่ ไม่มีแล้วจะเป็นอย่างไร ลูกหลานจะสืบทอดได้อย่างไร”


[1]  ฮิโข่ หมายถึง  ผู้นำจิตวิญญาณที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาในหมู่บ้าน