Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ปี A

ชายคนหนึ่งขณะที่ทำการรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีเหตุการณ์เครื่องบินระเบิด และทำให้เขาตาบอด นับจากนั้นเป็นเวลา 12 ปีที่เขามองอะไรไม่เห็นเลย แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินอยู่บนถนนใกล้ๆบ้านพักของพ่อแม่เขา ทันใดนั้น เขาเริ่มมองเห็น “ทรายสีแดง” อยู่ตรงหน้าลูกตาของเขา และโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ สายตาเขากลับมามองเห็นแบบเดิมได้อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาอธิบายให้เขาฟังในภายหลังว่า เลือดที่มันมาบล็อกประสาทตาจากเหตุการณ์ระเบิดครั้งนั้นได้เปิดออก จึงทำให้สายตาเขากลับมาเห็นเป็นปกติได้อีก มีผู้ไปสัมภาษณ์เขาว่ารู้สึกอย่างไร เขาตอบว่า “คุณไม่มีทางรู้ว่า คนเป็นพ่อรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นลูกๆของเขาเป็นครั้งแรก พวกเขาช่วงสวยงามมากจริงๆ เกินกว่าที่ผมเคยจินตนาการมากมายนัก”

เรื่องที่ยกมานี้อาจทำให้เราเข้าใจในพระวรสารของอาทิตย์นี้ได้ลึกซึ้งมากขึ้น อาจทำให้เราประทับใจลึกๆ และเข้าใจว่าชายตาบอดแต่กำเนิดจะรู้สึกอย่างไร เมื่อพระเยซูเจ้าได้ทรงรักษาเขาให้ได้มองเห็นอย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าเราจะพิจารณาบริบททั้งหมดของเนื้อหาพระวรสารประจำอาทิตย์นี้ จุดเริ่มต้นอยู่ตรงที่ว่า พระเยซูเจ้าได้ทรงประกาศว่า “เราเป็นแสงสว่างส่องโลก” ก่อนที่จะทรงรักษาชายตาบอดคนนี้ให้หาย กล่าวคือ ขณะนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่พระวิหาร ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเทศกาลของการฉลองพลับพลา (หรือเทศกาลอยู่เพิง) ซึ่งจะมีพิธีกรรมที่น่าประทับใจยากจะลืมเลือน คือในวันแรกของเทศกาลฉลองพลับพลา เชิงเทียนใหญ่ทั้ง 4 ต้น จะถูกจุดในเขตชั้นนอกของพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม หรือที่เรียกว่าเขตของผู้หญิง(คือเข้าไปได้) ไฟนั้นจะสว่างไสวมากจนว่าอาจจะมองเห็นเมืองเยรูซาเล็มได้ทั้งเมืองเลยทีเดียว พระเยซูเจ้าทรงใช้โอกาสนี้เป็นตัวช่วยเพื่อบอกประชาชนว่า “เราเป็นแสงสว่างส่องโลก” ไม่มีใครที่เห็นพระองค์แล้วจะสามารถลืมพระองค์ได้ พระองค์เป็นแสงสว่างโดยทางการเผยแสดง

แล้วเรื่องการรักษาคนตาบอดก็เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ชวนติดตาม เพราะเหตุการณ์ค่อยๆพัฒนาขึ้นไปตามลำดับ ความเข้มข้นก็มากขึ้นตามไปด้วย อันที่จริง อัศจรรย์ที่ทำให้คนตาบอดแต่กำเนิดกลับมองเห็นก็ว่าน่าทึ่งแล้ว แต่อัศจรรย์แห่งความเชื่อที่พระองค์ประทานให้ชายตาบอดนั้น กลับน่าทึ่งยิ่งกว่าอีก

เรามาติดตามเรื่องชายตาบอดที่มองเห็นแล้วจากการรักษาของพระเยซูเจ้า จะเห็นลำดับความเชื่อที่ค่อยพัฒนาขึ้นในตัวของเขา

1) แรกทีเดียวเมื่อเขาถูกซักถามว่า “ตาของท่านหายบอดได้อย่างไร” เขาตอบว่า “คนที่ชื่อเยซู ทำโคลนป้ายตาฉัน และบอกฉันว่า จงไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด ฉันไปล้างและมองเห็น” ดังนั้น ความคิดแรกของเขา ก็คือ ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อว่าเยซู

2) คนกลุ่มนั้นที่มาซักถามพาคนที่เคยตาบอดไปหาชาวฟาริสี เมื่อชาวฟาริสีสอบถามรายละเอียดอีกครั้ง และได้รู้ว่าวันที่พระเยซูเจ้าได้ทรงรักษาคนตาบอด เป็นวันสับบาโต ชาวฟาริสีบางคนไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้ามาจากพระเจ้า แต่บางคนก็สับสนอยู่ เขาจึงถามชายคนนี้อีกครั้งว่า “ท่านล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น ที่เขาทำให้ตาของท่านกลับมองเห็น” เขาตอบว่า “คนนั้นเป็นประกาศก” ฉะนั้น ในขั้นที่สองนี้จะเห็นว่า ความคิดของชายคนนี้ก้าวกระโดดขึ้นสูงมากจากขั้นแรก

3) ชายตาบอดถูกสัมภาษณ์อีกมาก ในขณะที่คนสัมภาษณ์ทั้งหลายที่คิดว่าตนเองมีความรู้ดี เป็นคนตาสว่าง แต่ความไม่เชื่อทำให้พวกเขาค่อยๆบอดมืดไป แต่ชายตาบอดกลับค่อยๆเห็นแจ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดพระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีก จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ” เขาทูลถามว่า “บุตรแห่งมนุษย์คือใคร พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะได้เชื่อในพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านได้เห็นแล้ว เป็นผู้ที่กำลังพูดคุยอยู่กับท่านนี่แหละ” เขาทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า” แล้วกราบลงนมัสการพระองค์ (สมดังที่นักบุญเปาโล ถึงชาวฟิลิปปี เขียนไว้ใน ฟป 2 : 10 “เพื่อทุกคนในสวรรค์ และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม ‘เยซู’ นี้”) ในขั้นนี้จะเห็นว่า ความคิดของชายคนนี้พัฒนาสูงสุดคือ เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์

บทสรุปก็คือ ดุจดังชายที่ตาบอดแต่กำเนิดได้รับการรักษาให้หายจากพระเยซูเจ้า พวกเราก็ได้รับพระพรนั้นเช่นเดียวกัน กล่าวคือ เมื่อเรารับศีลล้างบาป ความบอดมืดแห่งจิตใจเราได้รับการรักษาให้หาย เราได้เข้ามาอยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า ขอให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะพบกับความอัศจรรย์ใจ ที่ความเชื่อของเราจะเพิ่มขึ้นไปจนแตะจุดสูงสุด คือการยอมรับด้วยความเชื่ออย่างหมดหัวใจว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์ และจะได้กราบลงนมัสการพระองค์

ขอจบลงด้วยคำพูดของ Albert Schweitzer ในตอนลงท้ายหนังสือของเขาที่ชื่อว่า The Quest for the Historical Jesus ความว่า “พระเยซูเจ้าทรงเข้ามาหาเราดั่งคนที่ไม่มีใครรู้จัก เหมือนดังที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อบรรดาอัครสาวกบนชายหาดเมื่อนานมาแล้ว พระองค์ตรัสแก่เราด้วยถ้อยคำเดียวกันที่ได้ตรัสกับพวกเขาว่า ‘จงตามเรามาเถิด’ และใครก็ตามที่ยอมรับคำเชื้อเชิญของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นคนฉลาด หรือคนซื่อๆ ไม่ว่าเป็นคนหนุ่มสาว หรือชราแล้ว พระองค์จะทรงแสดงพระองค์เองให้พวกเขาเห็นในงานที่ยากลำบาก และการทนทุกข์ของพวกเขา และพวกเขาจะเรียนรู้โดยผ่านประสบการณ์ของพวกเขาเองว่าพระองค์คือใคร”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 2020
Based on : Illustrated Sunday Homilies – Year A
By : Mark Link, SJ)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ปี A

วันนี้พระวรสารของนักบุญยอห์น เล่าเรื่องพระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้กลับมองเห็น

ชนชาวยิวแต่ไหนแต่ไรมา และแม้ในสมัยของพระเยซูเจ้าเชื่อว่า การที่เขาตาบอดเป็นเพราะบาปของเขา หรือไม่ก็ของพ่อแม่ของเขา พวกสาวกเดิมก็เชื่อเช่นนี้ พวกเขาจึงถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด”

แต่พระเยซูเจ้ามิได้ทรงถือว่าเป็นบาปของผู้ใด แต่การที่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา

และดูเถิด เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาขณะที่กำลังดำเนินอยู่ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย เขาได้รับพระคุณแห่งความเมตตามากกว่าใครๆ

แต่การรักษาคนตาบอดให้หายกลับเป็นการจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวาง หลายคนไปถามคนที่เคยตาบอดว่าหายอย่างไร เขาตอบซื่อๆ ว่า “คนที่ชื่อเยซูทำโคลน ป้ายตาฉัน และบอกให้ฉันไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด ฉันจึงไปล้าง พอล้างแล้วก็มองเห็น”

คนเหล่านั้นพาคนที่เคยตาบอดไปหาชาวฟาริสี ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่เชื่อในพระเยซูเจ้าอยู่แล้ว เพราะเขาคิดว่าพระองค์ไม่มาจากพระเจ้า เพราะไม่ถือวันสับบาโต พวกเขาพากันซักถามคนที่เคยตาบอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเขาก็ยืนยัน แต่พวกนี้ก็ไม่เชื่อ ต่อมาก็ไม่เชื่อว่าชายคนนี้เคยตาบอดจริง ไปเรียกพ่อแม่ของเขามายืนยัน ซึ่งพ่อแม่ก็รับว่าเป็นลูกจริงและตาบอดแต่กำเนิดจริง พวกนั้นเรียกคนที่เคยตาบอดมาอีก บอกเขาว่า “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า พวกเรารู้ว่าคนนั้น ( =พระเยซู ) เป็นคนบาป” คนที่เคยตาบอดก็แย้งว่า พวกท่านมาถามเซ้าซี้อยู่นั่น หรือว่าอยากจะไปเป็นศิษย์ของเขาด้วยกระมัง พอมาถึงจุดนี้ พวกฟาริสีด่าชายที่เคยตาบอดเสียไม่มีชิ้นดี น่าแปลกนี่เป็นสถานการณ์ที่สร้างวีรบุรุษ ชายที่เคยตาบอดโต้เถียงกับชาวฟาริสีที่มีความรู้ดีเหล่านั้นอย่างไม่ลดละ ลองฟังคำพูดนี้ดูนะครับ “แปลกจริงท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าเขามาจากไหน แต่เขาได้รักษาตาของฉันให้กลับมองเห็น เราทั้งหลายรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังผู้ที่ยำเกรงพระองค์และปฏิบัติตามพระประสงค์เท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้หายได้ ถ้าเขาไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้”

ชาวฟาริสีทั้งข่มขู่ ทั้งต่อว่า ว่าทั้งชายที่ได้รับการรักษาให้หายจากตาบอด ข่มขู่พ่อแม่ของเขาว่าจะขับจากศาลาธรรม ว่ากระทบไปถึงพระเยซูเจ้าว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า ว่าเป็นคนไม่ดี และเมื่อเถียงสู้คนที่เคยตาบอดไม่ได้ อีกทั้งพยานแวดล้อมเหตุการณ์ก็เห็นอยู่ทนโท่ แต่จิตใจของเขาบอดมืดสนิทยิ่งกว่าคนตาบอดทั้งหลายในโลกเสียอีก ที่สุด พวกเขาก็พาลขับคนที่เคยตาบอดออกจากศาลาธรรม

ส่วนคนที่เคยตาบอดค่อยๆ เพิ่มความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้ามากขึ้นๆ เรื่อยๆ จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แรกทีเดียวเขารู้แต่เพียงว่าผู้ที่รักษาเขาให้หายคือ “คนนั้นที่ชื่อเยซู” ต่อเมื่อมีคนมาซักถามมากขึ้น และถามว่าเขาคิดว่าผู้นั้นเป็นใคร เขาตอบว่า “คนนั้นเป็นประกาศก” และเมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่าเขาถูกขับออกจากศาลาธรรม จึงทรงมาพบเขาอีก ทรงถามเขาว่า “ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ” เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า”

พี่น้องครับ ชายตาบอดแต่กำเนิดมีต้นทุนความเชื่อแค่ศูนย์ แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้จักพระองค์ รู้พระกรุณาเมตตาของพระองค์ เขาซื่อสัตย์ประกาศคุณความดีของพระองค์ โดยไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพล อำนาจมืด ฯลฯ จนมีความเชื่อในพระองค์ถึงขีดขั้นสมบูรณ์ ขอให้ชีวิตแห่งความเชื่อของเราพัฒนาไปจนถึงขั้นสมบูรณ์เช่นเดียวกับชายผู้นี้เทอญ

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2008)