Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา ปี C

เรามาเพื่อจุดไฟในโลก

“ไฟ” เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นแสดงถึงฤทธานุภาพ และการประทับอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาราต่างๆ เป็นอันดับแรก ในหนังสืออพยพเล่าว่าพระเจ้าทรงปรากฎให้แก่โมเสสที่พุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ และในเวลาต่อมาทรงใช้เสาเพลิงนำชาวอิสราเอลในการเดินทางจากอียิปต์สู่ดินแดนแห่งพระสัญญาอีกด้วย “…. เวลากลางวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จนำหน้าเหมือนเสาเมฆเพื่อชี้ทาง และเวลากลางคืนก็เสด็จนำหน้าเขาเหมือนเสาเพลิงเพื่อส่องสว่าง” (อพย 13:21)

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1984 วิหารของชาวซิกข์ ที่เมืองอัมริทสาร์ กลายเป็นสนามรบ เมื่อกองทัพอินเดียระดมยิงเพื่อล้างบางกลุ่มผู้ก่อการร้ายทั้งหมดที่รวมตัวอยู่ในนั้น และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 ที่กรุงอิสลามาบัค มีคนกลุ่มหนึ่งบุกไปเผามัสยิดแห่งหนึ่งด้วยไฟ เป็นผลให้พวกคลั่งศาสนาและลูกศิษย์ตายนับร้อยคน ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานี้ คำประกาศของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ที่ว่า “เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ” จริงๆ แล้ว หมายความว่าอย่างไรกันแน่

ในบทอ่านแรกเล่าเรื่องเหล่าศัตรูของประกาศกเยเรมีย์ ใช้เชือกมัดหย่อนเยเรมีย์ลงไปในบ่อที่มีแต่โคลน ทั้งนี้ก็เพราะเขาทำนายถึงการทำลายล้างที่กำลังจะเกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม ว่าเป็นการตัดสินลงโทษขององค์พระผู้เป็นเจ้า เยเรมีย์ถูกเรียกให้เป็นประกาศกตั้งแต่ยังหนุ่มอยู่ และเขาต้องเผชิญกับการถูกต่อต้านมากกว่าประกาศกคนอื่นๆ ข่าวสารที่ท่านพูดสื่อออกไปนั้นถูกปฏิเสธอย่างเป็นระบบจากบรรดาผู้นำของชาวยิว แต่เยเรมีย์ก็ยังคงกล่าวคำพยากรณ์ต่อไป เพราะพระวาจาของพระเผาไหม้อยู่ภายในตัวเขาเหมือนกับไฟ (ดู ยรม 5:14 ; 20:9) แต่ ณ ตอนนี้เยเรมีย์ได้รับความช่วยเหลือให้ขึ้นมาจากบ่อโคลนโดยข้าราชการน้ำดีที่ชื่อว่า เอเบคเมเลค ชาวเอธิโอเปีย

บทสดุดีของวันอาทิตย์มีข้อความว่า “พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นจากขุมลึกแห่งความพินาศ จากโคลนตมในปักเลน” (สดด 40) เห็นได้ว่าสอดคล้องกับความคิดในบทอ่านแรก ต่างกันเพียงว่า ในกรณีของเยเรมีย์ เขาต้องเผชิญหน้ากับการปฏิเสธ แต่ในมุมของผู้เขียนบทสดุดี เขามีประสบการณ์ของการปกป้อง และการช่วยให้รอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เยเรมีย์ก็เป็นเพียงแต่หนึ่งในบรรดาประกาศกในพันธสัญญาเดิมเท่านั้น แต่พระเยซูเจ้าทรงเป็นประกาศกชั้นยอด และทรงยอมทนทุกข์มากกว่าประกาศกทั้งหมด พระองค์จะทรงถูกตัดสินลงโทษ และทรงถูกตรึงกางเขน “ไฟ” ที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาคือ ความกระตือรือร้นที่จะทำให้พระอาณาจักรของพระสำเร็จลุล่วงไป และ “ไฟ” นี้ควรจะลุกโชนในทุกๆ คนที่กล้าประกาศตนว่าเป็น “ศิษย์พระคริสต์” ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว เป็นงานที่ยากมาก

หญิงสาวคนหนึ่ง เธอเรียนเก่งมาก ต่อมาเรียนจนจบปริญญาเอก หลังจากนั้นเธอได้สอนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ต่อมาเธอตัดสินใจจะเข้าคอนแวนต์ไปเป็นซิสเตอร์ แม่ของเธอไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะแม่ของเธออยากให้เธอประสบความสำเร็จตามมาตรฐานแบบชาวโลกมากกว่า จึงไม่ยอมรับการตัดสินใจของเธอ แม่โกรธและไม่ยอมพูดกับเธอ น่าเศร้าที่แม้วันปฏิญาณตนเข้าสู่คณะนักบวช แม่เธอก็ไม่ยอมมาร่วมแสดงความยินดี นี่คือตัวอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงกล่าวทำนายไว้ในพระวรสารของวันนี้ “….เรานำความแตกแยกมาต่างหาก ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านจะแตกแยกกัน…..มารดาจะแตกแยกกับบุตรหญิง และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา”

นักบุญเปาโลเมื่อเขียนจดหมายถึงชาวโครินธ์ได้เตือนเราว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระจิตเจ้า” (1 คร 6: 19) เราต้องถามตัวเองว่า ไฟนั้นยังคงลุกช่วงโชติภายในวิหารแห่งร่างกายของเราไหม หรือว่า เราเป็นคริสตชนแบบครึ่งๆ กลางๆ ไม่ชั่วนักแต่ก็ไม่ดีมาก หรือว่าเราเป็นคนเย็นชาไปเลย ในปี ค.ศ. 1998 ขณะที่การเบียดเบียนคริสตชนที่เมือง Gujarati ( = อยู่ในประเทศอินเดีย) ถึงขีดความรุนแรงสูงสุด มีคนนำแผ่นพับที่เป็นการเร่งเชื้อเพลิงให้แรงขึ้นโดยข้อกล่าวหาที่ว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงเป็นผู้นำสันติมาให้ เพราะพระองค์ทรงมาเพื่อจุดไฟในโลก พระเยซูเจ้าอาจจะทรงถูกใส่ร้าย หรือทรงถูกเข้าใจแบบผิดๆ แต่จะอย่างไรก็ตาม ให้เราปฏิญาณว่าสำหรับตัวเราจะทำให้ไฟของพระจิตลุกโชติช่วงภายในตัวเรา และรอบๆ เราเสมอไป

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ถอดความเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2022
Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds ;
By : Francis Gonsalves, S.J.)