Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี C

“พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา”

“ฉันกำลังจะเดินทางครั้งสุดท้ายแล้ว”
.
นี่เป็นเสียงของสุภาพสตรีอาวุโสผู้หนึ่งที่กล่าวกับพระสงฆ์ที่ไปเยี่ยมและโปรดศีลเจิมให้กับเธอ ในขณะนั้นห้อมล้อมไปด้วยลูกๆ หลานๆ ของเธอ เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งที่กระดูก แต่เธอก็สู้เก็บความเจ็บปวดนั้นไว้อย่างเงียบกริบและอดทน อีกไม่นานเธอก็จากโลกนี้ไป พระสงฆ์องค์ที่ไปเยี่ยมและอภิบาลเธอในช่วงเวลาเจ็บป่วยนั้นจดจำเธอได้เป็นอย่างดี เพราะเธอพาลูกๆ หลานๆ ไปมิสซาทุกๆ วันตลอดเวลา 20 ปีที่รู้จักเธอ ลูกๆ หลานๆ เธอก็ยังมาช่วยวัด บางคนก็มาช่วยขับร้อง
.
สำหรับผู้ที่มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งเช่นสตรีผู้นี้ อาจจะกล่าวได้เหมือนที่นักบุญเปาโลได้เขียนไว้ในบทอ่านที่สองของอาทิตย์นี้ว่า “พี่น้อง บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ในสวรรค์ เราเฝ้าคอยพระผู้ไถ่จากแดนนี้ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนรูปร่างอันต่ำต้อยของเราให้เหมือนพระกายอันรุ่งโรจน์ของพระองค์”
.
ในพระวรสารได้เล่าเรื่องพระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงพระกายอย่างรุ่งโรจน์ดังนี้ “ขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่นั้น ลักษณะของพระพักตร์เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์มีสีขาวเจิดจ้า ทันใดนั้น บุรุษสองคนคือโมเสสและประกาศกเอลียาห์มาสนทนากับพระองค์”
.
บางที เราอาจจะสงสัยว่า ทำไมนำเอาเรื่องพระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงพระวรกายอย่างรุ่งโรจน์มาไว้ให้เรารำพึงในเทศกาลมหาพรตนี้ น่าจะเป็นเรื่องการทนทุกข์ทรมานและการถูกตรึงกางเขนของพระองค์มากกว่า อันที่จริง พระศาสนจักรต้องการให้เราเข้าใจธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับชีวิตของพระคริสต์ให้ครบถ้วนกระบวนความ เพราะเป็นชีวิตของเราทุกๆ คนด้วย นั่นคือเหตุการณ์แห่งพระสิริรุ่งโรจน์ที่สาวกทั้งสามได้เห็น จะกลายมาเป็นพลังใจอันยิ่งใหญ่ ที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ที่น่าตระหนกอกสั่นในเวลาต่อมา พระศาสนจักรจึงนำพระวรสารตอนนี้มาไว้กลางเทศกาลมหาพรตเพื่อให้พวกเราทุกคนค้นพบพลังทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ที่จะก้าวเดินไปกับพระเยซูเจ้า โดยไม่หวั่นความยากลำบาก และการทรมานจนถึงแก่ความตาย
.
มีบุคคลถึง 6 บุคคลในพระวรสารตอนนี้ ประกอบไปด้วยอัครสาวก 3 คน คือ เปโตร ยากอบ และยอห์น ซึ่งเห็นเหตุการณ์อันน่าพิศวงนี้ และเป็นพวกเขาทั้งสามคนที่จะเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ที่สวนเกธเสมนี ตอนที่พระเยซูเจ้าเป็นทุกข์ที่สุดและทรงถูกจับกุม
.
อีกสามบุคคลที่อยู่ในภาพแห่งความรุ่งโรจน์ คือ โมเสส เอลียาห์ และพระเยซูเจ้า พวกท่านกำลังสนทนาถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นและสำเร็จไปในกรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูเจ้า ซึ่งเปรียบได้กับเหตุการณ์ในอดีต ที่โมเสสได้พาประชากรอิสราเอลผ่านจากการเป็นทาสในอียิปต์สู่ความเป็นไท พระเยซูเจ้าก็จะทรงกระทำกิจการ “ปัสกา” แบบเดียวกันนี้ แต่สมบูรณ์กว่า ครบถ้วนกว่า เพราะที่นี่มีคำรับรองจากสวรรค์ว่า “ท่านผู้นี้คือบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรร จงฟังท่านเถิด”
.
ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงพระกายที่เกิดบนภูเขาทาบอร์ หรือเหตุการณ์แห่งความทุกข์ที่พระองค์ทรงเข้าตรีทูตที่สวนเกธเสมนี ภูเขามะกอกเทศ เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงเผชิญเหตุการณ์ทั้งสองนี้ ด้วยการภาวนาต่อพระบิดา
.
การภาวนาอย่างซื่อสัตย์ สม่ำเสมอ ทุกๆ สถานการณ์ของชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ไม่ว่าจะตกต่ำหรือได้รับการยกขึ้น จะพาเราไปสู่หนทางแห่งชัยชนะ ผ่านทางแห่งกางเขนไปอาบสิริรุ่งโรจน์ของพระ

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2013
ถอดความจาก Francis Gonsalves, S.J., Sunday Seeds For Daily Deeds, pp.311-312 ; Mark Link, S.J., Illustrated Sunday Homilies –Year C –pp.49-52)

ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี C

การภาวนาจะนำพาท่านไป...

มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งชื่อว่า “หน้ากาก” (Mask) สร้างจากเรื่องจริงของเด็กชายคนหนึ่งวัย 16 ขวบที่ชื่อว่า ร็อคกี้ เดนนิส เขาเป็นโรคที่พบได้ยากชนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับหัวกะโหลกและกระดูกบริเวณหน้าเติบโตผิดปกติ ทำให้บริเวณหน้าและศีรษะใหญ่บิดเบี้ยวกว่าที่ควรเป็นมาก
.
คนอื่นๆ อาจรังเกียจ หรือบางคนหัวเราะเยาะเขา แต่เขาเองไม่เคยทำตัวน่าสงสาร ไม่เคยโกรธ เขารู้สึกไม่ดีกับภาพปรากฏของเขาเองก็จริง แต่ก็ยอมรับมันได้ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
.
วันหนึ่งร็อคกี้และเพื่อนบางคนไปเที่ยวที่สวนสนุก พวกเขาเข้าไปใน “บ้านที่มีแต่กระจก” ที่นั่น พวกเขาหัวเราะกับใบหน้าและร่างกายที่บิดเบี้ยวผิดสัดผิดส่วน ทันใดนั้น ร็อคกี้เห็นตัวเองในกระจกบานหนึ่งซึ่งทำให้เขาสะดุ้งสุดตัว เพราะกระจกบานนั้นเปลี่ยนใบหน้าเขาให้กลับมาดูเหมือนปกติธรรมดา แถมยังเห็นแววหล่อของตัวเองอีกด้วย
.
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เพื่อนๆ มองเห็นเขาในรูปลักษณ์ใหม่เอี่ยม พวกเขามองจากภายนอกเข้าไปในสิ่งที่อยู่ภายในของตัวร็อคกี้ว่าเขาเป็นคนที่งดงามจริง ๆ
.
เปรียบเหมือนกับพระวรสารเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงพระกายให้สุกใสรุ่งโรจน์ต่อหน้าศิษย์ทั้งสาม ซึ่งทำให้พวกเขาได้เห็นพระองค์ในรูปแบบใหม่ทั้งหมด เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นจากภายนอกว่าตัวตนแท้จริงภายในของพระองค์เป็นเช่นไร นั่นคือ ได้เห็นสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นพระบุตรที่งดงามของพระเจ้า
.
คำถามว่า ทำไมนำพระวรสารตอนนี้ที่พูดถึงความรุ่งโรจน์มาไว้ในเทศกาลมหาพรต เพราะดูเหมือนไม่ค่อยเข้ากัน คำตอบคือเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พระเยซูเจ้าได้ทรงบอกบรรดาสานุศิษย์ว่าพระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะถูกประหารชีวิต
.
บางทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ จะบันดาลใจให้อัครสาวกทั้งสามที่ได้เห็น มีพลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ที่น่าตระหนกอกสั่นในเวลาต่อมา ก็เป็นได้
.
พระศาสนจักรก็นำพระวรสารตอนนี้มาไว้กลางเทศกาลมหาพรต เพื่อให้พวกเราทุกคนค้นพบพลังทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ที่จะก้าวเดินไปกับพระเยซูเจ้า โดยไม่หวั่นต่อความยากลำบาก และการทรมานจนถึงแก่ความตาย
.
แต่ยังมีความหมายซ่อนอยู่อีก โดยจะเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงพระกายอย่างรุ่งโรจน์กับการทนทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนี ซึ่งมีอัครสาวกสามคนเดิมอยู่กับพระเยซูเจ้าด้วย
.
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงพระกายเกิดบนภูเขาทาบอร์ ส่วนที่พระองค์ทรงเข้าตรีทูตเกิดบนภูเขามะกอกเทศ ทั้งสองเหตุการณ์เกิดตอนกลางคืน อัครสาวกทั้งสามง่วงนอนอยู่เหมือนกัน มีแต่พระเยซูเจ้าเท่านั้นที่ทรงตื่นอยู่ ที่สำคัญพระองค์ทรงภาวนาอยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ แต่อยากจะบอกว่าทั้งสองเหตุการณ์เป็นส่วนเติมเต็มของกันและกัน
.
คือในการเปลี่ยนแปลงพระกายอย่างรุ่งโรจน์ พวกสาวกได้เห็นพระเยซูเจ้าในห้วงแห่งความปลื้ม ปิติ ความเป็นพระของพระองค์ฉายทาบพระองค์ในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
.
ส่วนในการเข้าตรีทูตที่สวนเกทเสมนีนั้นตรงกันข้าม พวกเขาเห็นพระเยซูเจ้าในแบบที่ทนทุกข์ทรมาน ความเป็นมนุษย์ของพระองค์ฉายทาบลงบนพระองค์แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน
.
แต่ทั้งสองเหตุการณ์นี้ที่แสดงความเป็นพระเยซูเจ้าทั้งครบ คือทรงเป็นทั้งพระ และเป็นมนุษย์นั้น ทรงเผชิญเหตุการณ์ทั้งสองนี้ ด้วยการภาวนาต่อพระบิดา
.
การภาวนาอย่างซื่อสัตย์ สม่ำเสมอ ทุกๆ สถานการณ์ของชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ไม่ว่าจะตกต่ำหรือได้รับการยกขึ้น จะพาเราไปสู่หนทางแห่งชัยชนะ ผ่านทางแห่งกางเขนไปอาบสิริรุ่งโรจน์ของพระ

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2010 ถอดความจาก Mark Link, SJ)