
ข้อคิดข้อรำพึง พระวาจาพระเจ้า ของอาทิตย์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ปี B
“เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว”
เราเริ่มเข้าสู่เทศกาลมหาพรต แล้วนะครับ ช่วงนี้เป็นช่วงต้นๆ ของเทศกาล
หลายคนไม่ชอบเทศกาลนี้เอาเสียเลย เพราะมักจะคิดว่ามหาพรตเป็นช่วงเวลาที่เราต้องสละ ลด เลิก ความต้องการและความปรารถนาของเรา ยอมละทิ้งสิ่งต่างๆ เพื่ออุทิศให้แด่พระเจ้า
แต่พระวาจาของพระเจ้าในทุกวันอาทิตย์ตลอดเทศกาลนี้ นำเสนอความจริงที่ตรงกันข้าม โดยชี้แสดงว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่เราปฏิเสธตัวเองเพื่อบางสิ่งบางอย่าง แต่เป็นเวลาที่เราจะได้รับ ไม่ใช่เวลาแห่งการขาดทุน (เข้าเนื้อตัวเอง) แต่เป็นเวลาที่เราได้กำไร (ล้นเหลือเลยเชียวแหละ) กล่าวคือ เราไม่ได้เป็นตัวจักรสำคัญที่จะทำการใหญ่ให้พระเจ้าสำเร็จผล แต่เป็นพระเจ้าผู้ทรงกระทำการนี้เอง เป็นพระเจ้าที่ทรงถวายองค์เป็นบูชา เป็นพระเจ้าผู้ทรงทำให้สิ่งใหญ่โตสำหรับเราสำเร็จไป
มีเรื่องเล่าที่บ่งบอกว่า แผนการของพระเจ้าใหญ่โตกว่าของเรา ดังนี้ เด็กชายคนหนึ่งกับแม่ของเขากำลังอยู่ในร้านขายยา ตอนที่แม่ของเขากำลังจะจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ เด็กน้อยก็เหลือบไปมองเห็นว่ามีกระป๋องลูกอมตั้งอยู่ไม่ไกลนัก จึงจ้องดูด้วยความสนใจ เจ้าของร้านสังเกตเห็นเด็กเช่นนั้น จึงพูดกับเด็กน้อยว่า “อยากได้ลูกอมนี้บ้างไหม” เด็กน้อยพยักหน้า เจ้าของร้านจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ไปหยิบเอาจากกระป๋องลูกอมได้เลย” แต่เด็กชายยืนนิ่งอยู่ เจ้าของจึงพูดอีกว่า “ไปเถอะ หยิบไปได้หนึ่งกำมือเลย ฉันให้” แต่เด็กชายก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เจ้าของจึงเดินไปที่กระป๋องลูกอม แล้วก็เอาลูกอมกำมือหนึ่งมาให้เด็กชาย เขาก็เก็บมันไว้ในกระเป๋า เมื่อเขากับแม่เดินออกมานอกร้าน แม่ถามเขาว่า “ทำไมลูกไม่เดินไปเอาลูกอมเอง ทั้งๆที่เจ้าของเขาอนุญาตแล้ว” เด็กน้อยตอบว่า “เพราะว่ากำมือของเขาใหญ่กว่าของผมครับแม่” สรุปว่า ถ้าเราต้องเลือก สิ่งที่เราควรเลือกในชีวิตนี้คือ การทำตามแผนการของพระเจ้า มากกว่าทำตามแผนของเรา เหตุผลก็คือ พระหัตถ์ของพระองค์ใหญ่กว่าของเรา แผนการของพระองค์ก็ใหญ่กว่าของเรา (เรื่องเล่าจาก Ignite Your Spirit ; by Fr John Pichappilly)
เริ่มจากบทอ่านแรกเรื่องของโนอาห์ที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับโนอาห์และบุตรหลาน โดยจะไม่ให้มีน้ำท่วมโลกอีก มีรุ้งกินน้ำเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญานี้ นี่เป็นความคิดริเริ่มและการกระทำที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนๆ ไม่ได้มาจากมนุษย์แต่อย่างใด
บทสดุดีสรุปได้ว่า หนทางของพระเจ้าคือความรักและความสัตย์จริง
บทอ่านที่สองเช่นกันมีความหมายว่า น้ำที่ท่วมโลก ในสมัยของโนอาห์นั้น เป็นรูปแบบของศีลล้างบาปที่ช่วยเราให้รอดพ้นในเวลานี้ โดยมีพระโลหิตของพระเยซูเจ้าเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาใหม่นี้
พระวรสารนั้นสั้นยิ่งนัก แต่เต็มไปด้วยภาษาที่สื่อความหมายและเรื่องราวมากมาย เริ่มต้นด้วย “พระจิตเจ้าทรงดลให้พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร” สำหรับชาวอิสราเอลนับแต่โบราณกาลมาแล้ว เชื่อว่าพระจิต คือ ปรากฏการณ์ของอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คำว่า “ถิ่นทุรกันดาร” แน่นอนว่าไม่ใช่ดินแดนแห่งความรัก (Romantic place) แต่เป็นดินแดนที่มีอันตรายอยู่ทั่วไป เป็นที่สัตว์ป่าดุร้ายอาศัยอยู่ ยังมีขโมยและโจรผู้ร้ายอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นเป็นสถานที่ทดสอบความเชื่อของชาวอิสราเอลในสมัยที่เดินทางจากอียิปต์ไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา
“พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสี่สิบวัน ทรงถูกซาตานผจญ พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่า บรรดาทูตสวรรค์ปรนนิบัติรับใช้พระองค์” การที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร 40 วัน เป็นตัวเลขที่มีความหมาย เหมือนที่ชาวอิสราเอลรอนแรมในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี กว่าจะได้เข้าดินแดนแห่งพันธสัญญา เหมือนโมเสสใช้เวลา 40 วันและคืนบนภูเขาซีนายเพื่อรับพระบัญญัติ และเหมือนประกาศกเอลียาห์ที่ได้รับอาหารจากทูตสวรรค์แล้วใช้เวลาเดินทาง 40 วันถึงภูเขาโฮเรบ ภูเขาของพระเจ้า
คำที่ว่าพระองค์ทรงอยู่กับบรรดาสัตว์ป่าก็มีความหมายเหมือนกับห้วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่ทำบาป ยังอยู่ในสวนสวรรค์ อาดัมอยู่ท่ามกลางสรรพสัตว์ ตั้งชื่อให้สัตว์ต่างๆ จะเห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข นักบุญมาระโกอาจจะมีภาพนี้ในความคิดว่า พระเยซูเจ้าทรงชนะการผจญ ทรงขับไล่ปีศาจออกไป สภาพสวรรค์กลับมาอีกครั้งสำหรับมนุษย์ใหม่
บรรดาทูตสวรรค์ปรนนิบัติรับใช้พระองค์ทำให้เราเห็นภาพของพระเยซูเจ้า ที่มีชัยชนะเหนือซาตานแล้ว ได้สถาปนาโลกจักรวาลให้มีสันติภาพอย่างสมบูรณ์ เกิดบรรยากาศแห่งสรวงสวรรค์ที่บรรดาทูตสวรรค์ห้อมล้อมพระเจ้าเพื่อคอยรับใช้ตามพระบัญชา
ลงท้ายด้วยการประกาศเทศนาข่าวดีของพระเยซูเจ้า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด” เวลาที่พระสงฆ์โปรยเถ้าลงบนศีรษะ หรือที่หน้าผากของสัตบุรุษ นอกจากบทสูตรที่พูดว่า “มนุษย์เอ๋ย จงระลึกว่าเจ้าเป็นเถ้าธุลี สักวันจะกลับเป็นเถ้าธุลีอีก” อันหมายความว่า มนุษย์เราตายได้ สักวันหนึ่งจะต้องตายแน่นอน พระสงฆ์อาจจะเลือกสวดอีกบทสูตรหนึ่งว่า “จงกลับใจ และเชื่อฟังข่าวดีแห่งพระวรสารเถิด” ซึ่งหมายความว่า ให้เราเสียใจในบาปที่ได้กระทำลงไป และให้เราพยายามทำกิจพลีกรรมใช้โทษบาป และเต็มอกเต็มใจรับฟังข่าวดีของพระองค์
ข่าวดีเป็นข่าวในแง่บวก บ่งบอกว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเราแล้ว เป็นการเริ่มศักราชใหม่โดยองค์พระผู้เป็นเจ้า เช่นเดียวกับสิ่งดีๆ ทั้งหลายที่มีต้นกำเนิดโดยทางพระองค์ ช่วงเวลามหาพรตจึงเป็นช่วงเวลาที่เราระลึกถึงความดีของพระ และตัดสินใจที่จะตอบสนองด้วยความเหมาะสม
ข้อคิดข้อรำพึง พระวาจาพระเจ้า ของอาทิตย์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ปี B
“พระจิตเจ้าทรงดลให้พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร”
พระวรสารตอนนี้ เป็นตอนต่อจากเรื่องพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ และต่อจากนั้นพระจิตเจ้าทรงดลให้พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
น่าสังเกตว่าทำไมพระจิตเจ้าไม่ทรงดลให้พระองค์เสด็จไปที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี และจัดงานเลี้ยงต้อนรับพระองค์ที่นั่น แต่กลับถูกส่งไปในถิ่นทุรกันดารนานถึง 40 วัน หมายความว่าอย่างไร น่าจะเป็นภาพสะท้อนถึงชาวอิสราเอลที่อพยพมาจากอียิปต์เพื่อมุ่งหาอิสรภาพ พวกเขาได้พยายามและก็ล้มเหลวในการแสดงถึงความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเป็นเวลานาน 40 ปี พระเยซูเจ้าก็ทรงถูกทดลองและถูกประจญ เพื่อจะพิสูจน์ว่าพระองค์จะยังคงซื่อสัตย์ต่อพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่
หน้าที่ประจญนี้เป็นของซาตาน ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม ซาตานมักถูกวาดภาพรวมไปกับพวกสัตว์ป่า เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการแก้แค้นชนิดรุนแรงที่สุด “พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่า บรรดาทูตสวรรค์ปรนนิบัติรับใช้พระองค์” แสดงให้เห็นอำนาจของสองขั้วที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น พระองค์มิได้ทรงถูกสัตว์ป่าโจมตี เพราะมีกองสนับสนุนจากบรรดาทูตสวรรค์ซึ่งเป็นคำพูดสัญลักษณ์ หมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวทางด้านจิตของพระเยซูเจ้ากับพระเจ้านั่นเอง
เทศกาลมหาพรตนั้นพระศาสนจักรก็ดลใจให้เราสำรวจหนทางเดินชีวิตทางด้านฝ่ายจิตของเรา จริงอยู่ไม่ได้นำพาเราไปทุ่งหญ้าแดนสงบ แต่พาเราเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ในสนามประลองยุทธระหว่างความชั่วกับความดี เราจะเพียรพยายามต่อสู้และพบกับความล้มเหลวเหมือนชาวอิสราเอลที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระ หรือว่าเราจะต่อสู้กับซาตานและสัตว์ป่าดุร้ายด้วยพระจิตของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ยอมทำตามที่มันประจญ ไม่ยอมประนีประนอมกับมัน แต่ทรงพิสูจน์ว่าทรงซื่อสัตย์และนอบน้อมต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างเต็มที่
จึงทรงออกมาจากถิ่นทุรกันดาร เริ่มประกาศว่า “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด”
พระเยซูเจ้าเองทรงทราบดีว่า การกลับใจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะซาตานคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทุกวันนี้มันยังมาประจญในรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งโน้มน้าววิธีคิด วิธีปฏิบัติ ของคนเราให้หันเหออกไปจากหนทางของพระเจ้า ซาตานใช้วิธีคิดใหม่ๆ ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มนุษย์ติดกับดัก จนห่างเหินจากหนทางของพระเจ้า ยกตัวอย่างคนในสมัยนี้ยังคิดเช่นนี้
“สุขภาพและความงาม เงินทองและอำนาจ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสุข”
“นิยามตัวของฉันได้ด้วยร่างกาย บุคลิก และความมั่งมีของฉัน”
“ความสมบูรณ์พูนสุขของฉัน สำคัญกว่าของคุณ”
“ไม่มีใครเต็มใจจะละทิ้งความมีอำนาจไปหรอก”
“เขาทำร้ายฉัน ฉันต้องแก้แค้น”
“ฉันไม่รู้สึกดีเลย ถ้าฉันไม่ดีกว่าคนอื่น ๆ”
“ถ้าทุกคนเป็นคนดีหมด โลกก็น่าเบื่อมาก”
ครับ ลืมบอกไปว่าหลักๆ แล้ว ซาตานประจญเราให้หันเหเหินห่างจากพระเจ้า และให้เกิดความแตกแยกระหว่างมนุษย์ เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด และการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของพระวรสาร เราต้องอยู่กับข่าวดีในโลกที่ไม่ดี แบบที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินล่วงหน้าเราไป
มหาพรตเป็นเวลาที่เหมาะจริงๆ เป็นเวลาแห่งการกลับใจ เป็นเวลาแห่งพระพร
( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อปี ค.ศ. 2009 )