Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา ปี A

ภายใต้ "ศิลา" และ "กุญแจ"

ชายคนหนึ่งทำกุญแจตู้เซฟเก็บเงินหายไปตอนหัวค่ำ เขาจึงเริ่มมองหากุญแจอยู่ภายนอกบ้าน เพื่อนบ้านบางคนเห็นดังนั้นก็เลยมาช่วยกันหาด้วย เวลาผ่านไปนานพอควร ทุกคนเริ่มเหนื่อยและหมดแรง แต่ก็ยังหาไม่เจอ เพื่อนคนหนึ่งจึงถามขึ้นว่า “ทำกุญแจหายที่ไหนกันแน่” เขาตอบว่า “น่าจะเป็นภายในบ้าน” “อ้าว… แล้วทำไมพาเราออกมาหานอกบ้านล่ะ” เขาตอบว่า “ก็นอกบ้านมีแสงสว่างมากกว่าในบ้าน”

คนเรามักจะมองกุญแจผิดที่ผิดทางอยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่ ที่ตลกก็คือ กุญแจที่จะไขความเข้าใจเกี่ยวกับพระวาจาของพระเจ้าอาทิตย์นี้ก็คือเรื่องของ “กุญแจ” นั่นเอง ซึ่งในบทอ่านแรก หมายถึงกุญแจราชวังของกษัตริย์ดาวิด ส่วนในพระวรสารหมายถึง กุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์

ในโลกและภาษาของพระคัมภีร์ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบกุญแจ เป็นสัญลักษณ์หมายถึง เป็นผู้ดูแลทรัพย์สิน และยังหมายถึงอำนาจอีกด้วย ในบทอ่านแรกเล่าว่า อำนาจในการถือกุญแจของเชบนาถูกถอดออก และนำไปมอบให้แก่คนอื่น ส่วนในพระวรสาร สัญลักษณ์ของกุญแจปรากฏอีก คือการที่พระเยซูเจ้าได้ทรงมอบกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์ให้แก่นักบุญเปโตร เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องกุญแจดีมากขึ้น ขอยกอีกสองตัวอย่างที่พูดถึงเรื่องนี้ที่ปรากฏอยู๋ในหนังสือวิวรณ์

” เราเป็นผู้มีชีวิต เราตายไปแล้ว แต่บัดนี้เรามีชีวิตอยู่ตลอดนิรันดร เรามีอำนาจเหนือความตาย และเหนือแดนผู้ตาย (= แปลตามตัวอักษรว่า “เราถือกุญแจแห่งความตาย และกุญแจแห่งแดนผู้ตาย”) ดังนั้น จึงเขียนสิ่งที่ท่านได้เห็น คือสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ” (วว 1:18-19)

” จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองฟิเลเดลเฟียว่า ‘พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงสัตย์ ผู้ทรงถือกุญแจของกษัตริย์ดาวิด เมื่อพระองค์ทรงเปิด ไม่มีผู้ใดปิดได้ และเมื่อพระองค์ทรงปิดก็ไม่มีผู้ใดเปิดได้’ ” (วว 3:7)

ขอย้อนกลับไปเล่าเรื่องที่เป็นภูมิหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทอ่านแรก เชบนาเป็นมหาเสนาบดี เป็นนายกรมราชวังของกษัตริย์เฮเซคียาห์ ถือเป็นตำแหน่งใหญ่รองจากกษัตริย์เท่านั้น เชบนาผู้นี้เป็นผู้ต่อต้านนโยบายของประกาศกอิสยาห์ ที่เน้นให้ไว้วางใจแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น พระเจ้าจึงทรงดึงเชบนาลงจากตำแหน่ง และให้เอลียาคิมได้ตำแหน่งนั้นแทน ตำแหน่งนี้โดยธรรมประเพณีแล้ว ทุกๆเช้าเขาจะต้องส่งคนไปเปิดประตูวัง เป็นคนคอยกำกับดูแลว่าจะให้ใครเข้ามา และคอยส่งคนกลับออกไป จึงเทียบเท่ากับผู้ที่ถือกุญแจ หรือมีอำนาจไขประตูวังให้ใครเข้า ใครออก

จึงนำมาสู่การเปรียบเทียบเรื่องในพระวรสารของวันนี้ที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับนักบุญเปโตรว่า “เรามอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” นักบุญมัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสารวางนักบุญเปโตรในฐานะเป็นผู้นำ และเป็นโฆษกของบรรดาอัครสาวก เช่นใน มธ 14:28, 29 (นักบุญเปโตรขอเดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า และพระองค์ทรงอนุญาต) และใน มธ 15:15 (นักบุญเปโตรทูลพระองค์ว่า “โปรดอธิบายข้อความที่เป็นปริศนานี้เถิด”) ให้สังเกต ณ ที่นี้ว่า เมื่อพระเยซูเจ้าได้ตรัสถามบรรดาอัครสาวกว่า “ผู้คนเขาว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” พวกสาวกต่างตอบตามความหมายคำทำนายถึงพระเมสสิยาห์ที่เชื่อกันอย่างแพร่หลายทั่วไปว่า “เป็นยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นประกาศกเอลียาห์ เป็นประกาศกเยเรมีห์ หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” แต่นักบุญเปโตรกลับประกาศว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าจึงตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุข เพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย” แล้วพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งนักบุญเปโตรให้เป็นหัวหน้าดูแลพระศาสนจักรด้วยคำว่า “ท่านคือศิลา และบนศิลานี้เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้…”

อย่างไรก็ตาม นักบุญเปโตรไม่ได้เป็นคนหนึ่งที่เคยประกาศว่าพระเยซูเจ้าคือใครเท่านั้น แต่ได้เคยปฏิเสธพระองค์ด้วย ท่านไม่ได้เป็นผู้ที่ยืนยันความเชื่อในพระองค์เท่านั้น แต่ยังเคยลังเลสงสัยในพระองค์ด้วย จะเห็นได้ว่า ท่านต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้าในกิจการต่างๆเสมอ แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงเรียกท่านให้เป็นผู้นำ ให้ท่านเป็นผู้ที่ทำให้พี่น้องทุกคนเข้มแข็งขึ้น ให้ท่านเป็นผู้ปกครองพระศาสนจักร ทำให้พระศาสนจักรมีเอกภาพ ให้คอยดูแล คอยปกป้องความเชื่อ และการแพร่ธรรมต่างๆ นี่แหละ ถือเป็นภารกิจ “หิน” ที่ให้คนที่ชื่อ “หิน” เป็นผู้กระทำ

แต่แท้จริงแล้ว นักบุญเปโตรก็มีเคล็ดลับในการทำงาน การที่ท่านตระหนักว่าตนอ่อนแอ และเคยปฏิเสธพระเยซูเจ้ามาก่อน ทำให้ท่านไม่เย่อหยิ่ง แต่มีความถ่อมสุภาพ ท่านเข้าใจภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้กระทำเป็นอย่างดี ท่านกล่าวถึงท่านเองว่า “ซีโมน เปโตร ผู้รับใช้และอัครสาวกของพระเยซูเจ้า” (2ปต 1:1) และกล่าวด้วยว่า “แต่ละคนจงใช้พระพรที่ได้รับมาเพื่อรับใช้กันและกัน” (1ปต 4:10)

วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2005 เมื่อพระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้รับตำแหน่งพระสันตะปาปา ได้ทรงอธิบายพระองค์เองว่าเป็น “ผู้รับใช้ที่อ่อนแอของพระเจ้า” (= “weak servant of God”) แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งของการเป็น “ผู้รับใช้แห่งผู้รับใช้ทั้งหลาย” (servus servorum) ในขณะที่ถ้าย้อนกลับไปในเวลาที่นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา ในขณะที่เริ่มต้นสมณสมัยของพระองค์ ได้ตรัสว่า “จงเปิดประตูให้กว้างขวางเพื่อพระคริสตเจ้า” (“Open wide doors for Christ”) เหมือนกับทรงตระหนักทราบว่าพระองค์เป็นผู้ถือกุญแจ และทรงรู้ถึงความรับผิดชอบที่จะต้องรับใช้และเปิดประตูพระศาสนจักรให้กว้างไว้เพื่อกิจการของพระจิตเจ้า

คำว่า “ศิลา” หรือ “หิน” เตือนใจเราว่าพระศาสนจักรต้องมีความเข้มแข็ง ไม่ใช่ เข้มงวด คอยสนับสนุน ไม่ใช่จ้องลงโทษ ในขณะที่คำว่า “กุญแจ” หมายถึงแรงบันดาลใจในเรื่องของการเปิดออก และความเป็นมิตร อย่าลืมว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป ซึ่งเป็นดินแดนของคนต่างศาสนา ภารกิจของพระศาสนจักรนั้นต้องมีความเป็นสากล นั่นคือ เป็นผู้รับใช้ให้กับชาวโลกนั่นเอง

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ วันที่ 16 สิงหาคม 2020
Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds ; by Francis Gonsalves, S.J.)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา ปี A

"ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา"

นักบุญเปโตรเป็นสานุศิษย์รุ่นแรกๆของพระเยซูเจ้า ชื่อเต็มของท่านคือ ซีมอนบุตรของยอห์น อาชีพของท่านก็คือชาวประมง สถานที่ทำงาน คือ ทะเลสาบกาลิลี ท่านมาจากหมู่บ้านเล็กๆของเมือง คาเปอรนาอุม ซีมอนได้รับการตั้งชื่อใหม่ซึ่งเปิดเผยเป็นนัยถึงสิ่งที่ท่านจะต้องเป็นในอนาคต ชื่อใหม่นั้นเท่มาก คือ เคฟาส หรือเชฟาส (Cephas) ในภาษาอาราเมอิค (ซึ่งเป็นภาษาพูดในสมัยของพระเยซูเจ้า) หรือตรงกับคำว่า เปตรอส (Petros) ในภาษากรีก ซึ่งเป็นที่มาหรือเป็นรากของคำว่า หิน(rock) นั่นเอง

นักบุญมัทธิวแสดงให้เราเห็นในพระวรสารของท่านในวันนี้ว่าชื่อใหม่เป็นพระเยซูเจ้าที่ทรงตั้งให้ และยังบอกอีกด้วยว่าพระศาสนจักรจะถูกวางรากฐานจากคำประกาศที่ได้รับการดลใจของซีมอน ซึ่งต่อจากนี้ไปจะเป็นที่รับรู้กันว่าชื่อเคฟาสหรือเปโตร

คราวนี้เรามาลองพิจารณาดูอำนาจของนักบุญเปโตรในสมัยพระศาสนจักรแรกเริ่มกัน อย่าลืมว่าพระวรสารทั้งสี่เล่มเขียนขึ้นหลังจากนักบุญเปโตรสิ้นชีพแล้ว แต่จดหมายทั้งหมดของนักบุญเปาโลเขียนขึ้นก่อนที่นักบุญเปโตรจะสิ้นชีพ ดังนั้น เราค้นดูได้จากจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวกาลาเทีย โดยเล่าว่าหลังจากที่เปาโลกลับใจ ท่านได้ “ขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อเยี่ยมเยียนเคฟาสและได้อาศัยอยู่กับเคฟาสสิบห้าวัน” (กท 1:18) หมายความว่าชื่อเคฟาสเป็นชื่อที่เรียกแทนอัครสาวกองค์แรกนี้ เคฟาสได้รับความเคารพในฐานะเป็นผู้นำพระศาสนจักร นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเปาโลจึงไปหาท่านเป็นคนแรก แม้ต่อมาเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องการรับคนต่างศาสนาเข้ามา โดยเคฟาสไม่ยอมไปกินอาหารร่วมกับคนต่างศาสนาอีกต่อไป เพราะถูกกดดันจากกลุ่มที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เปาโลได้ไปต่อว่าต่อหน้าเคฟาสทีเดียวว่าทำไม่ถูกต้อง (กท 2:11) ถึงกระนั้นทั้งกลุ่มที่เยรูซาเล็มและกลุ่มของเปาโลก็ต้องการการสนับสนุนของเคฟาส และท่านก็เข้ามาโดยใช้อำนาจในการดึงสองกลุ่มให้เข้ามาปรองดองกัน และหลีกเลี่ยงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสมัยพระศาสนจักรแรกเริ่มได้สำเร็จ

สำหรับบทบาทอำนาจของซีมอน เปโตร ในพระวรสารทั้งสี่ฉบับเราจะพบว่า ชื่อของนักบุญเปโตรจะเป็นชื่อแรกเสมอในบรรดาอัครสาวก นอกจากนั้น พระภารกิจของพระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลีก็มีฐานของการทำงานอยู่ที่บ้านของนักบุญเปโตรในคาเปอรนาอุมนั่นเอง บ้านที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาแม่ยายของท่านนั่นแหละ ท่านเป็นโฆษกของกลุ่มอัครสาวก เป็นที่ยอมรับกันว่าท่านเป็นหัวหน้า ชื่อของท่านถูกกล่าวไว้บ่อยมาก มากกว่าอัครสาวกองค์อื่นๆ เหมือนกับผู้เขียนพระวรสารต้องการบรรยายถึงความทรงจำของพวกเขาที่มีต่อท่านด้วย ท่านไม่ได้เป็นเพียงคนหนึ่งที่ประกาศว่าพระเยซูเจ้าคือใคร แต่ได้ปฏิเสธพระองค์ด้วย ท่านไม่ได้เป็นเพียงคนที่แสดงความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น ยังเป็นผู้ลังเลสงสัยในความเชื่อนั้นด้วย ท่านต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้าในทุกกิจการที่กระทำ แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงเรียกท่านนี่แหละ ให้เป็นผู้นำกลุ่มคริสตชนในอนาคต ท่านเป็นผู้ที่จะกลับมาทำให้พี่น้องทุกคนเข้มแข็งขึ้น เพราะจริงๆแล้ว ท่านคือ “หิน”

นักบุญมัทธิวได้ชี้ให้เห็นว่า นักบุญเปโตรได้ถูกเลือกสรรจากพระเจ้าให้ได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ด้วยเลือดเนื้อ ไม่ใช่มาจากมนุษย์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าทรงสนองตอบพระประสงค์ของพระบิดา โดยทรงประทานกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์ให้ท่าน ให้ท่านมีอำนาจจะเปิดหรือปิด จะอนุญาตหรือไม่อนุญาต นี่เป็นเครื่องหมายว่า นักบุญเปโตรจะเป็นผู้ปกครองพระศาสนจักร เป็นผู้ต่องานของพระเยซูเจ้า ต่อมานักบุญเปโตรกลายเป็นผู้ที่ทำให้พระศาสนจักรมีความเป็นเอกภาพ เป็นคนแรกที่คอยปกป้องผู้ที่ได้รับภารกิจให้ประกาศข่าวดีแห่งพระวรสาร นักบุญเปโตรได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นชื่อใหม่ของท่าน ท่านเป็น “หิน” จริงๆ

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2008
Based on : Seasons of the Word ; by Denis McBride.)