บทความ ยุคโควิด-19 “เมื่อผ่านพ้นวิกฤต” (ตอนที่ 2)
"การพบกับเวลาของพระเยซูคริสต์"
โดย คพ. เฟเดริโก ลอมบาร์ดี้ เอส. เจ. (Fr. Federico Lombardi sj)
อดีตโฆษกแห่งสันตะสำนัก นครรัฐวาติกัน
เมื่อพูดถึงวิกฤตที่เกิดจากการแพร่ของเชื้อไวรัสโคโรนา คุณพ่อเฟเดริโก ลอมบาร์ดี้ เอส. เจ. (Federico Lombardi, S.J,) ได้เขียนบทความขึ้นชุดหนึ่งว่าด้วยเหตุการณ์เมื่อผ่านพ้นวิกฤต หรืออนาคตข้างหน้าที่กำลังรอพวกเราอยู่ สำนักข่าววาติกันเป็นผู้ที่จัดพิมพ์บทความของท่าน
ข้อความตอนที่สองนี้ คุณพ่อบาดหลวงคณะเยซุอิตผู้นั้พูดถืงเรื่อง “อาการตะลึง” ซึ่งชีวิตแบบเร่งรีบของพวกเรา ซึ่งได้รับและการค้นพบเวลาของพระเยซูคริสต์ ในช่วงที่เกิดโรคระบาด “เวลาสำหรับพระเยซูคริสต์ดูจะเล็กน้อยมากในแต่ละวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นั่นเป็นเวลาซึ่งบ่อเกิดแห่งความหมายและกฎระเบียบ อาจผุดโผล่ขึ้นมาสำหรับเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตของพวกเราท่ามกลางแสงสว่างแห่งพระวรสาร”
หนึ่งในข้อสังเกตแรกๆที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงกล่าวในสมณสาส์นเวียนชื่อ “Laudato Si’” ซึ่งมองอย่างวิคราะห์ไว้ว่า “อะไรกำลังเกิดขึ้นในบ้านส่วนรมของพวกเรา” อ้างถึง “การเร่งรัด” กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงในมนุษย์และในโลกที่กำลังเป็นไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับการเร่งจังหวะแห่งชีวิต และการทำงาน พระองค์ตั้งข้อสังเกตว่าอัตราความเร่งรีบนี้ไม่สอดคล้องกับเวลาตามธรรมชาติแห่งการพัฒนาชีวภาพ แล้วพระองค์ก็สงสัยว่าวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นเพื่อความดีอันเป็นประโยชน์สุขส่วนรวมกับการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวม และยั่งยืนได้หรือไม่?
พวกเราแต่ละบุคคลพอมีอายุได้พอสมควรเมื่อพิจารณาดูชีวิตสั้นๆของพวกเราบ่อยครั้งพวกเราจะเห็นว่าปริมาณที่เราเห็นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และหลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่ปีก็มีการเปลี่ยนแปลงอีก โชคดีที่หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเช่นสภาพชีวิตของคนจน ความสามารถในการเยียวรักษาและการทำศัลยกรรม การเดินทางอย่างเป็นอิสระ การศึกษา ข้อมูลข่าวสาร และการสื่อสาร แต่ในขณะเดียวกันพวกเราก็เห็นว่าสินค้าบางอย่างตกยุคสมัยเร็วเกินจำเป็น เพราะสังคมมุ่งตั้งหน้าตั้งตากันพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลเพียงบางกลุ่ม มีการโฆษณากันอย่างเอาเป็นเอาตายในสินค้ารุ่นใหม่ๆมากเกินไปจนกระทั่งสร้างการเสพติดกับผลิตภัณฑ์ของใหม่ กระทั่งถือว่าผลิตภัณฑ์นั้นที่ดีที่สุดเป็นสิ่งจำเป็น จึงทำให้หลายประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นความเสี่ยงที่จะเป็นเป้าหมาย ซึ่งเป็นการสร้างทาสมากกว่าความเจริญก้าวหน้า ดูเหมือนจะมีความชัดเจนว่าหนทางการปฏิบัติจะกระทำกันด้วยจังหวะที่ไม่สามารถมีความยั่งยืนได้ ซึ่งไม่เร็วก็ช้าจะพังสลายดังที่ปรากฏให้เห็นในธรรมชาติสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ
สำหรับมนุษย์ที่มีไฟแรงที่ถูกกลืนเข้ากับการทำงานของโลกสมัยใหม่ที่มีหน้าที่สำคัญโดยทั่วไปแล้วมักจะยุ่งอยู่กับกิจกรรมมากมายไม่อยากจะพูดว่าจนบ้าคลั่ง บ่อยครั้งพวกเขาจะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและอย่างที่ตนเองต้องการ แต่ต่อมาก็รับรู้ว่าพวกเขาต้องจ่ายด้วยราคาแพงในเรื่องของชีวิตมนุษย์ และครอบครัวสัมพันธ์ และความสมดุลแห่งบุคลิกภาพ
บัดนี้อัตราการเร่งรัดที่ยิ่งวันยิ่งรวดเร็วมากยิ่งขึ้นก่อให้เกิด “อาการตะลึง” หรือ “อาการช็อก” ที่น่ากลัว ดัชนีด้านเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปดุจสายฟ้าแลบ ธุรกิจของพวกเราคือการปฏิรูป การนัดหมายและการเดินทางของพวกเราต้องยกเลิก สำหรับผู้คนเป็นอันมากเวลากลายเป็นความว่างเปล่า แล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
ใช่แล้ว… เวลา… ควรใช้เวลากันอย่างไร? ในที่สุดแล้วพวกเราจะใช้เวลากันอย่างไร? มีเวลาสำหรับทำกิจกรรม แต่ก็มีเวลาที่รอคอย ซึ่งเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีด้วย เวลาที่จะอยู่ด้วยกันที่จะรักซึ่งกันและกัน เวลาที่จะไตร่ตรองถึงความงดงาม เวลาแห่งราตรีกาลอันยาวนานที่นอนไม่หลับ เวลาแห่งการรอคอยในระหว่างเผชิญกับความทุกข์… แล้วก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเสียเวลาโดยไม่จำเป็นอีกด้วย แล้วก็ยังมีเวลาแห่งความรู้สึกขมขื่นของความไร้ประโยชน์และความว่างเปล่าไร้สาระ… มีเวลาที่จะอยู่กับตนเอง… ทว่ามีเวลาบ้างไหมที่จะอยู่กับพระเจ้า? เวลาที่พวกเราเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาบ่อยครั้งพวกเราใช้ชีวิตจนสุดขอบ เพราะพวกเรามีสิ่งร้อยแปดพันอย่างที่ต้องกระทำ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องเร่งด่วน หรือเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจ ในขณะเดียวกันเรื่องราวชีวิตที่เกี่ยวกับพระเจ้านั้นพวกเรามักจะขอเลื่อนออกไปก่อน
สำหรับหลายคนถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่ต้องขังตัวอยู่แต่ภายในบ้านเพราะโรคระบาด นี่แหละเป็นเวลาที่ต้องค้นให้พบกับการสวดภาวนา พวกเราสงสัยว่าการงดการไปร่วมศาสนพิธีที่วัดจะมีผลกระทบต่อความเชื่อและชีวิตจิตในเชิงลบหรือไม่? แต่ว่าก็สามารถที่จะเป็นเวลาดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสกับหญิงชาวสะมาเรีย ณ บ่อน้ำนั้น พวกเราเรียนรู้ที่จะนมัสการพระเจ้าในจิตและในความจริงทุกหนทุกแห่ง รวมถึงที่บ้านของเราด้วย ณ ที่ซึ่งพวกเราถูกบังคับให้ต้องอยู่ร่วมกัน ทั้งต้องงดกิจกรรมภายนอกที่บังคับด้วย พระเยซูคริสต์ตรัสว่า พระจิตทรงพัดไปในสถานที่และเวลาที่พระองค์ทรงพอพระทัย แต่อย่าลืมว่าพวกเราเองก็สามารถโอกาสให้พระจิตพัดมาทางพวกเราเมื่อพระองค์ทรงพอพระทัย เพื่อช่วยให้พวกเรามีชีวิตในร้อยพันรูปแบบ ซึ่งเป็นการประทับอยู่ของพระเจ้าจนสุดขอบฟ้าแห่งยุคสมัยของพวกเราโดยอาศัยการเป็นประจักษ์พยานชีวิต วาจา และความใกล้ชิดในเมตตากิจ
เวลาสำหรับพระเจ้าดูจะเป็นเพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน แต่ในความจริงแล้วนั่นเป็นเวลาอันมีค่าและเป็นบ่อเกิดแห่งความหมาย และกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้สำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเราในแสงสว่างของพระวรสาร อะไรคือสิ่งที่ดีในวันเวลาของพวกเรา ในชีวิตวันนี้ของฉัน? ด้วยเจตนารมณ์ใดหรือข้อตั้งใจใดที่ฉัน ดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์ของฉันกับบุคคลที่พระเจ้ามอบให้เข้ามาในชีวิตฉัน หรือผู้คนที่ฉันพบปะ? พวกเราทุกคนเคยได้ยินกับคำว่า “การสำรวจมโนธรรมของตนเอง” ซึ่งเป็นการวางตัวเราต่อหน้าพระเจ้า และจัดชีวิตของพวกเราให้อยู่ในระเบียบ แต่บ่อยครั้งพวกเรามักจะลืม โรคระบาดที่เปลี่ยนแปลงจังหวะชีวิตของพวกเราอย่างไม่คาดฝัน ซึ่งเป็นเวลาและโอกาสทำให้พวกเราต้องจัดระเบียบวิถีชีวิตใหม่ เพื่อให้ชีวิตของพวกเรามีความหมายและคุณค่ายิ่งขึ้น ไม่ใช่แต่สำหรับตัวเราเองเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์สุขในชุมชนและสังของพวกเราด้วยมิใช่หรือ?
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทความที่น่าสนใจนี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง เรื่องการใช้เวลาในชีวิต)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม
- สันตะสำนักเรียกร้องให้ปราบการฉ้อราษฎร์บังหลวง….
- สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”
- พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงยืนยันว่า
เลบานอนคือประเทศต่อไปที่พระองค์จะเสด็จไปเยือน - พระสมณทูตเยือนสังฆมณฑลเชียงใหม่ และร่วมพิธีบวชสังฆานุกร เบธาราม