บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสวันที่ 14 เมษายน 2020
ณ วัดน้อยภายในสถานที่พำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน
“จงเปลี่ยนวิถีชีวิตแล้วหันกลับมาซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเถิด”
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสว่า พวกเราจำเป็นต้องลดละจากการอำนวยความสะดวกสบายต่างๆทางโลกให้น้อยลงแล้วหันกลับไปหาพระเยซูคริสต์
จงเป็นทุกข์เสียใจแล้วเปลี่ยนวิถีชีวิตของท่าน
จงหันกลับมาซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า
จงปฏิเสธพระเท็จเทียม และแหล่งความปลอดภัยแบบชั่วคราวอื่นๆ
ตามสำนักข่าววาติกันสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงตรัสเรื่องนี้ในวันอังคารที่ 14 เมษายน สองวันหลังปัสการะหว่างการถวายมิสซา ณ วัดน้อยภายในสถานที่พำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน
ตอนเริ่มพิธีมิสซาในขณะที่รำลึกถึงบรรดาผู้เคราะห์ร้ายไวรัสโคโรนา พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาวิงวอนพระเจ้าทรงประทานพระหรรษทานแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันให้กับพวกเรา
“ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากนี้” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสภาวนา “ขอพระองค์โปรดให้พวกเรามีความสามัคคี เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอให้พวกเราอยู่ในเอกภาพซึ่งมีความยิ่งใหญ่กว่าการแตกแยกใดๆ”
ในบทเทศน์สมเด็จพระสันตะปาปาทรงไตร่ตรองถึงการเชื้อเชิญของนักบุญเปโตรให้พวกเรากลับใจในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมา (กจ. 2: 36-41) เมื่อท่านกล่าวกับประชาชนแห่งกรุงเยรูซาเล็ม ขอให้พวกเขาเป็นทุกข์เสียใจและเปลี่ยนหนทางแห่งชีวิตรูปแบบใหม่
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัส “เปโตรได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน จงเป็นทุกข์เสียใจ จงเปลี่ยนวิถีชีวิต ท่านได้รับพันธสัญญา แล้วท่านได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้าไป ท่านกระทำความผิดมากมายหลายอย่างและหนึ่งอย่างในนั้นคือการบูชาพระเท็จเทียม… จงเป็นทุกข์เสียใจ” (เทียบ กจ. 2: 36) นี่คือการเป็นทุกข์เสียใจ: การกลับเป็นคนที่ซื่อสัตย์”
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสย้ำว่า ความซื่อสัตย์ไม่ได้เป็นทัศนคติโดยทั่วไปเสมอในชีวิตของประชากรและในชีวิตของพวกเรา “อาจจะมีการหลอกลวงอยู่บ่อยครั้งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเรา และบ่อยครั้งพวกเราก็อยากที่จะติดตามการหลอกลวงนั้น”
พระองค์ยังทรงขอร้องให้ประชาสัตบุรุษจงละทิ้ง ‘สิ่งที่พวกเขาชอบแสวงหา’ สิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า กล่าวคือการบูชาพระเท็จเทียม พระองค์ตั้งข้อสังเกตว่าบ่อยครั้งเพราะความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป และในความสะดวกสบายในชีวิตจะนำพวกเราไปสู่ความไม่ซื่อสัตย์ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง
พระองค์ตรัสว่าแม้ว่าพวกเราจะไม่คุกเข่าต่อหน้าพระเท็จเทียมเหล่านั้น แต่หากพวกเรายังพอใจชื่นชอบหันกลับไปหาสิ่งชั่วร้ายบ่อยๆ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องเริ่มสลัดทิ้งสิ่งเลวร้ายไป
สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเสนอว่า พวกเราจำเป็นต้องหันกลับไปหาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
ก่อนจบสมเด็จพระสันตะปาปาทรงเตือนให้สัตบุรุษร่วมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันในยามแห่งความทุกข์ยากนี้ และทรงลงท้ายด้วยการอวยพรศีลมหาสนิท
บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (ฉบับเต็ม)
การเทศนาของเปโตรทิ่มแทงหัวใจของประชาชน “ผู้ที่พวกท่านเอาไปตรึงบนไม้กางเขนนั้น บัดนี้ทรงกลับเป็นขึ้นมาแล้ว” (เทียบ กจ. 2”36) เมื่อได้ยิน “เช่นนี้พวกเขาหัวใจแทบแตกสลาย จึงพูดกับเปโตรและอัครสาวกคนอื่นๆว่า “แล้วจะให้พวกเราทำอย่างไร?” (กจ. 2: 37) เปโตรกล่าวอย่างชัดเจนว่า “จงเป็นทุกข์เสียใจ จงเปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะท่านที่ได้รับพันธสัญญาของพระเจ้า ท่านได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระองค์ไป ท่านได้ทำความผิดหลายประการและหนึ่งในนั้นคือการบูชาพระเท็จเทียม… จงเป็นทุกข์เสียใจ จงหันกลับไปซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า” (เทียบ กจ. 2: 38) นี่ทำให้พวกเราเข้าใจว่าการเป็นทุกข์เสียใจนั้นหมายความว่าอะไร นั่นคือความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตของมนุษย์ในชีวิตนี้แล้วมักจะไม่ค่อยเป็นทัศนคติทั่วไปในชีวิตของพวกเรา ซึ่งอาจจะมีการหลอกลวงที่ดึงดูดความสนใจของพวกเราและบ่อยครั้งพวกเราก็อยากจะติดตามการหลอกลวงเหล่านั้นทั้งในยามดียามร้าย มีข้อความตอนหนึ่งในหนังสือปัญญาจารย์เล่มที่สองที่กินใจพ่อมาก จากบทที่ 12 ในตอนเริ่มต้นบันทึกว่า “มีการกล่าวว่าเมื่อมีการตั้งกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดขึ้น เรโฮโบอัม (Rehoboam) ก็ทอดทิ้งบัญญัติของพระเจ้าพร้อมกับชนชาติอิสราเอล (เทียบ 2 ปญจ. 12: 1) พระคัมภีร์กล่าวไว้เช่นนี้ นี่คือความจริงทางประวัติศาสตร์ แต่ความจริงแล้วนี่เป็นความจริงสากล บ่อยครั้งเมื่อพวกเรารู้สึกมีความปลอดภัยพอควร พวกเรามักจะเริ่มวางแผน และทีละเล็กทีละน้อยพวกเราก็เริ่มลืมพระเจ้า พวกเราเร่มไม่ซื่อสัตย์ ความปลอดภัยแบบไม่แน่นอนของตัวเราไม่ใช่เป็นสิงที่พระเจ้าประทานให้แต่นั่นเป็นพระเท็จเทียม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับกษัตริย์เรโฮโบอัม (Rehoboam) และประชากรอิสราเอล พวกเขารู้สึกปลอดภัยในอาณาจักรที่ตั้งขึ้นมา พวกเขาลืมพระบัญญัติแล้วหันกลับไปบูชาพระเท็จเทียม ใช่แล้ว พวกเราอาจกล่าวได้ว่า “คุณพ่อครับ ผมไม่ได้คุกเข่าต่อหน้าพระเท็จเทียมเลย” บางทีลูกไม่ได้คุกเข่าก็จริงอยู่ แต่ความจริงก็คือว่าลูกๆแสวงหาและบูชาสิ่งปลอมหลายครั้งหลายหนในหัวใจของลูก หลายครั้งทีเดียว ความปลอดภัยของลูกคือการเปิดประตูให้กับการบูชาพระเท็จเทียม ติดใจกับเรื่องราวที่ไม่จีรังยั่งยืน
แต่ว่าความปลอดภัยของพวกเราเป็นความชั่วหรือ? เพื่อที่จะมีความปลอดภัย ต้องให้รู้แน่ว่าพระเจ้าประทับอยู่กับพวกเรา แต่เมื่อพวกเรารู้สึกมีความปลอดภัย พวกเราก็เริ่มยึดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางในชีวิต พวกเราเริ่มทอดทิ้งพระเจ้าเฉกเช่นกษัตริย์เรโฮโบอัม (Rehoboam) พวกเรากลายเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ เป็นการยากที่จะดำรงอยู่ในความซื่อสัตย์ ประวัติศาสตร์ทั้งสิ้นของอิสราเอลและประวัติศาสตร์ทั้งปวงของพระศาสนจักรล้วนเต็มไปด้วยความไม่ซื่อสัตย์ เต็มไปด้วยการเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยความไม่ปลอดภัยที่ทำให้ประชากรของพระเจ้าทอดทิ้งพระเจ้า จากนั้นก็เสียความเชื่อไป เสียพระหรรษทานแห่งความเชื่อ ในหมู่พวกเราและในหมู่ประชากรทั่วไปก็เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าความเชื่อไม่ใช่คุณธรรมขั้นสูงหรือฤทธิ์กุศลที่ทุกคนอาจมีได้ คนหนึ่งไม่ซื่อสัตย์กับอีกคนหนึ่ง แล้วก็มีกับอีกคนหนึ่ง… “จงเป็นทุกข์เสียใจ จงหันกลับมาซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า” (เทียบ กจ. 2: 38)
จากพระวรสารรูปแบบของความซื่อสัตย์ คือสตรีซื่อสัตย์ผู้นั้นซึ่งไม่เคยลืมพระเยซูคริสต์สำหรับสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำกับตน เธออยู่ที่นั่นอย่างสัตย์ซื่อต่อหน้าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต่อหน้าความหายนะ เป็นความซื่อสัตย์ที่ทำให้เธอคิดว่า เธอสามารถที่จะแบกร่างของพระองค์ได้… (เทียบ ยน. 20: 15) เธอเป็นสตรีที่อ่อนแอ แต่ว่าซื่อสัตย์ รูปแบบความซื่อสัตย์ของมารีย์ มักดาเลนอัครสาวกแห่งอัครสาวกทั้งหลาย นี่เป็นตัวอย่างเด่นชัดมาก
วันนี้ขอให้พวกเราวิงวอนขอพระหรรษทานแห่งความซื่อสัตย์ต่อพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระองค์จากหัวใจที่ทรงทำให้พวกเราปลอดภัยเมื่ออยู่กับพระองค์ แต่ขออย่าได้คิดว่านี่เป็นความปลอดภัย “ของตัวฉันเอง” แต่ขอให้มองข้ามความปลอดภัยส่วนตัวของพวกเราไปเสมอ วอนขอพระหรรษทานให้พวกเราซื่อสัตย์ต่อหน้าคูหาฝังศพ ต่อหน้าความล้มเหลวในสิ่งหลอกลวงในชีวิตต่างๆนานา ขอให้ในชีวิตเป็นความซื่อสัตย์ที่คงอยู่เสมอ แต่นั่นไม่ใช่ของง่ายที่จะดำรงไว้ ขอให้เป็นองค์พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นผู้ที่จะดำรงความซื่อสัตย์ไว้ในตัวของพวกเรา
สมเด็จพระสันตะปาปาทรงจบด้วยการอวยพรศีลมหาสนิทและทรงเชื้อเชิญสัตบุรุษให้ร่วมจิตใจเป็นเอกภาพในพระศาสนจักร
ต่อไปนี้เป็นพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปาตามด้วยการอธิษฐานภาวนาเพื่อจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ลูกขอกราบลง ณ แทบพระบาทของพระองค์ ลูกขอมอบการเป็นทุกข์ถึงบาปจากใจจริงของลูก ดวงใจที่มัวแต่สาละวนอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องอันไร้สาระต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ ลูกขอกราบนมัสการพระองค์ในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความรักของพระองค์ ในขณะที่กำลังรอที่จะรับความสุขแห่งศีลมหาสนิท ลูกปรารถนาที่จะรับพระองค์ทางจิตวิญญาณ ข้าแต่พระเยซูคริสต์ โปรดเสด็จมายังลูกเพื่อลูกจะได้เข้าไปหาพระองค์ ขอให้ความรักของพระองค์จงเผาตัวลูกทั้งในชีวิตและในความตาย ลูกเชื่อในพระองค์ ลูกไว้ใจในพระองค์ ลูกรักพระองค์ อาแมน
ก่อนออกจากวัดน้อยซึ่งยกถวายให้กับพระจิต ได้มีการขับร้องเพลงแม่พระที่ใช้มาเก่าแก่โบราณ คือบท “Regina Caeli” ซึ่งนิยมขับร้องกันในเทศกาลปัสกา
Regina caeli laetare, alleluia.
Quia quem meruisti portare, alleluia.
Resurrexit, sicut dixit, alleluia.
Ora pro nobis Deum, alleluia.
(Christ, whom you bore in your womb, alleluia,
Has risen, as He promised, alleluia.
Pray for us to the Lord, alleluia).
(ราชินีสวรรค์ จงชื่นชมยินดีเถิด อัลเลลูยา
เพราะพระองค์ที่พระแม่อุ้มไว้ในครรภ์ อัลเลลูยา
ได้ทรงกลับเป็นขึ้นมาตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ อัลเลลูยา
โปรดภาวนาต่อพระองค์เพื่อลูกด้วยเทอญ อัลเลลูยา)
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์นี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สาส์น “เพื่อวันแห่งพันธกิจประกาศข่าวดีสากล” ค.ศ. 2020 หรือพวกเราเคยเรียก “วันมิสซัง” Message 2020: WORLD MISSION DAY
- สมเด็จพระสันตะปาปาในคืนคริสต์มาส: พระเยซูเจ้าทรงแสดงทางจากความเล็กน้อยไปสู่ความยิ่งใหญ่
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความคิดที่จะปฏิรูปพระศาสนจักร
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงรำลึกถึง ครบรอบ 25 ปีของสมณสาส์นเวียน “UT UNUM SINT” (1995-2020)
- สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”