Skip to content

“พันธกิจที่กางแผ่อยู่ข้างหน้าเรียกร้องเราไม่เพียงแต่จะพูดเท่านั้น
แต่ต้องลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมจริงจัง”
บทเทศน์ โดย อาร์คบิช็อปโคเลริดจ์(Coleridge)มอบ 9 ขั้นตอน

บทเทศน์ของอาร์คบิช็อปโคเลริดจ์(Coleridge)ในพิธีบูชาขอบพระคุณในการปิดประชุมซัมมิตของการปกป้องคุ้มครองเด็ก/ผู้เยาว์ในพระศาสนจักรกล่าวว่ามนุษย์ในโลกต้องตายเพื่อที่มนุษย์คนใหม่จะได้บังเกิด

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019

“พันธกิจเปิดออกอยู่หน้าเรา – พันธกิจที่เรียกร้องไม่เพียงแต่ด้วยวาจาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องเป็นการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม”

นี่เป็นจุดเน้นของอาร์คบิช็อปมาร์ค โคเลริดจ์(Mark Coleridge)แห่งสังฆมณฑลบริสเบน(Brisbane)ประธานสภาประมุขบาทหลวงคาทอลิกแห่งประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นผู้เทศน์ในพิธีบูชาขอบพระคุณเวลา 9.30น. ณ ห้องโถงใหญ่ “ซาลา เรจิอา”(Sala Regia)ในวันสุดท้ายของการประชุมซัมมิตเรื่องการปกป้องคุ้มครองเด็ก/ผู้เยาว์ในพระศาสนจักรซึ่งมีการประชุมกัน ณ กรุงวาติกัน ในระหว่างวันที่ 21-24กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019

“ข้าแต่พระคริสตเจ้า เราเห็นพระองค์ถูกล่วงละเมิดเมื่อใด และที่เราไม่ได้เข้ามาช่วยพระองค์? แล้วพระองค์จะตรัสตอบว่า: เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ. 25: 44-45)

ท่านตั้งข้อสังเกตว่า พี่น้องชายหญิง เหยื่อ ญาติของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อที่ต่ำต้อยที่สุดในพวกเขาเหล่านั้น “เราจะพบกับพระคริสตเจ้าผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนผู้ไร้ซึ่งอำนาจซึ่งจากไม้กางเขนนั้นอำนาจแห่งพระเจ้าสูงสุดทรงหลั่งไหลออกมา ทรงเป็นผู้ไร้อำนาจที่พระศาสนจักรจะอยู่กับพระองค์ไปจนตลอดกาล เป็นผู้ไร้อำนาจที่แผลของพระองค์จะฉายรัศมีดุจดวงอาทิตย์”

เมื่อพูดว่าการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเป็นสิงจำเป็นที่สุด อาร์คบิช็อปจากประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่าสิ่งที่ต้องปฏิบัติมีดังต่อไปนี้:

  • เราจะทำทุกอย่างเท่าที่สามารถเพื่อนำความยุติธรรมและการเยียวยามาสู่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิด
  • เราจะฟังพวกเขา เชื่อพวกเขา และเดินไปพร้อมกับพวกเขา
  • เราจะสร้างหลักประกันว่าผู้ที่กระทำการล่วงละเมิดจะต้องหยุด ไม่สามารถทำการล่วงละเมิดต่อไปได้อีก
  • เราจะทำให้ผู้ที่ปกปิดการล่วงละเมิดต้องรับผิดชอบ
  • เราจะเข้มงวดในกระบวนการรับสมัครและการอบรมผู้นำพระศาสนจักร
  • เราจะให้ความรู้แก่ประชาชนของเราว่าการปกป้องคุ้มครองเด็ก/ผู้เยาว์นั้นต้องกระทำอย่างไร
  • เราจะทำทุกอย่างภายใต้อำนาจของเราเพื่อสร้างหลักประกันว่าเรื่องร้ายกาจน่าเกลียดน่าชังในอดีตจะไม่เกิดขึ้นอีก พระศาสนจักรจะเป็นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนเป็นมารดาที่รักโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเด็ก/ผู้เยาว์และผู้ที่เปราะบาง
  • เราจะไม่ทำงานโดยลำพังแต่จะร่วมมือกับทุกคนที่เกี่ยวข้องเพื่อความดีของเยาวชนและผู้ที่เปราะบางอ่อนแอ
  • เราจะพยายามสร้างความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับการล่วงละเมิดและผลกระทบ เหตุใดสิ่งเล็วร้ายนี้จึงเกิดขึ้นในพระศาสนจักร และต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะถอนรากถอนโคนความชั่วร้ายดังกล่าวให้จงได้

“ทุกอย่างเหล่านี้ต้องใช้เวลา  แต่ว่าเราไม่มีเวลาอีกต่อไปและเราจะพลาดไม่ได้อีกแล้ว

“มนุษย์ในโลกต้องตายเพื่อให้มนุษย์ในสวรรค์สามารถบังเกิด  อาดัมคนเก่าต้อง

หลีกทางให้กับอาดัมคนใหม่”

“ประเด็นนี้เรียกร้องให้มีการกลับใจอย่างแท้จริงซึ่งหากปราศจากการกลับใจเราจะตกอยู่ในระดับชอง  “การบริหารจัดการ” เท่านั้น  ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสไว้ในสมณสาส์น “ความปีติยินดีแห่งพระวรสาร”(Evangelii Gaudium)“เพียงแค่บริหารจัดการ” ซึ่งไม่สัมผัสกับหัวใจของวิกฤตการลล่วงะเมิด”

ต่อไปนี้เป็นบทเทศน์ของอาร์คบิช็อปมาร์ค โคเลริดจ์ (Mark Coleridge) ฉบับเต็ม ที่เผยแพร่โดยสำนักข่าววาติกัน

 

ในพระวรสารซึ่งเราได้ฟังไปเมื่อสักครู่นี้มีเสียงเดียวเท่านั้นที่เราได้ยินคือเสียงของพระเยซูคริสต์ก่อนหน้านั้นเราได้ยินเสียงของเปาโล และตอนจบพิธีบูชาขอบพระคุณเราจะได้ยินเสียงของเปโตร แต่ในพระวรสารเราได้ยินแต่เสียงของพระเยซูถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุดหลังจากคำพูดทุกอย่างของเราแล้วบัดนี้เหลือแต่พระดำรัสของพระเยซูในการประจักษ์พระวรกายพระองค์ (เทียบ ลก. 9:36)  พระองค์ตรัสกับเราถึงเรื่องของอำนาจแล้วพระองค์ตรัสกับเราที่ห้องโถงใหญ่ “ซาลา เรจิอา”(Sala Regia)ซึ่งก็พูดถึงเรื่องราวของอำนาจเช่นเดียวกัน  นี่คือภาพของสงครามของการกวาดล้างศาสนาและการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิ์กับพระสันตะปาปา

นี่เป็นจุดที่อำนาจของโลกและอำนาจแห่งสวรรค์มาพบกันซึ่งบางครั้งก็ได้รับการสัมผัสจากอำนาจนรกด้วย  ณ “ซาลา เรจิอา”(Sala Regia)นี้พระวาจาของพระเจ้าเชื้อเชิญให้เรามองไปที่อำนาจดังที่เราทำร่วมกันตลอดสามวันที่แล้ว ดังนั้นในช่วงของการประชุมเรามีเสียงที่สมานฉันท์กันทั้งที่ห้องโถงนี้และพระคัมภีร์

เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าซาอูลที่กำลังนอนหลับดาวิดดูจะเป็นคนที่มีอำนาจ ดังที่ อาบิชา(Abisha)ทราบดี   “วันนี้พระเจ้านำศัตรูมาไว้ในกำมือของท่าน ดังนั้นขอให้ข้าพเจ้าตรึงเขาไว้กับพื้นด้วยหอก”  แต่ดาวิดตรัสพ้อว่า “อย่าทำเช่นนั้น เราจะออกไปโดยไม่ถูกลงโทษหรือ?”  ดาวิดเลือกที่จะใช้อำนาจที่ไม่ใช่เพื่อทำลายแต่เพื่อช่วยชีวิตกษัตริย์เพราะเขาเป็นผู้ที่ได้รับการอภิเษกของพระเจ้า

นายชุมพาบาลของพระศาสนจักรเฉกเช่นดาวิดได้รับพระพรแห่งอำนาจ แต่เป็นอำนาจที่จะรับใช้  ที่จะสร้างสรรค์  เป็นอำนาจพร้อมกับและสำหรับแต่ไม่ใช่เหนือประชาชนดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า “เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างท่านขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อที่จะทำลายท่าน” (2 คร. 10:8)  อำนาจนั้นเป็นอันตรายเพราะว่ามันสามารถทำลาย และในวันเหล่านี้เราพิจารณากันว่าอำนาจของพระศาสนจักรจะกลายเป็นการทำลายเมื่อไขว้เขวไปจากการรับใช้ เมื่อไม่ใช่วิถีแห่งความรัก เมื่อเป็นการใช้อำนาจเหนือผู้อื่นไม่ถูกอย่างไร

ผู้ถวายตัวจำนวนมากของพระเจ้าถูกมอบไว้ในมือของเราโดยพระเจ้าเอง  ทว่าเราสามารถใช้อำนาจไม่ใช่เพื่อสร้างสรรค์แต่เพื่อทำลายจนกระทั่งในที่สุดถึงการสังหาร  ในการล่วงละเมิดทางเพศผู้มีอำนาจลงมือเล่นงานผู้ที่ได้รับการอภิเษกของพระเจ้า แม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีทางสู้และผู้ที่อ่อนแอมากที่สุด  พวกเขาตอบตกลงต่อการยุยงของอาบิชา(Abisha)พวกเขาหยิบหอกขึ้นพร้อมทำลาย

ในการล่วงละเมิดและในการปกปิดผู้มีอำนาจแสดงตนเองว่าไม่ได้เป็นของสวรรค์แต่เป็นคนของโลกดั่งคำพูดของนักบุญเปาโลที่เราได้ฟัง  ในพระวรสารพระเจ้าส่งสั่งให้เรา “รักศัตรู”

แต่ใครเล่าเป็นศัตรู?  แน่นอนว่าเป็นคนที่ท้าทายพระศาสนจักรมองเห็นการล่วงละเมิดและการปกปิดสำหรับสิ่งที่พวกเขาเป็น โดยเฉพาะเกี่ยวกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและญาติซึ่งทำให้เราทราบถึงความจริงอันแสนจะเจ็บปวดโดยเล่าเรื่องราวของพวกเขาด้วยความกล้าหาญ  แต่บางครั้งเรากลับเห็นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและญาติของเขาเป็นศัตรู  เราไม่รักพวกเขา เราไม่อวยพรเขา ในความหมายนี้เราคือศัตรูตัวร้ายของตัวเราเอง

พระเยซูคริสตเจ้าทรงขอร้องให้เรา “เป็นคนมีเมตตาดังที่พระบิดาของท่านทรงมีเมตตา” แต่แม้กระนั้นเราก็อยากจะมีพระศาสนจักรที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงแล้วเราก็ทำอะไรไปเพื่อสร้างหลักประกันนี้  เราไม่ได้เลือกความเมตตาของพระเจ้าแห่งสวรรค์เสมอไป  ตรงกันข้ามเราชอบที่จะเป็นคนเฉยเมยของโลกแล้วอยากที่จะปกป้องชื่อเสียงของพระศาสนจักรและแม้กระทั่งชื่อเสียงของเราเอง เราแสดงความเมตตาน้อยเกินไป เพราะฉะนั้นเราจะได้รับสิ่งเดียวกัน  เพราะด้วยมาตรการที่เราให้จะเป็นมาตรการที่เราได้รับเป็นการตอบแทน  เราจะไม่รอดจากการถูกลงโทษดังที่ดาวิดกล่าว และเราก็ทราบบทลงโทษนั้นแล้ว

มนุษย์ของโลกต้องตายเพื่อที่มนุษย์แห่งสวรรค์จะได้บังเกิด อาดัมคนเก่าต้องหลีกทางให้กับอาดัมคนใหม่  นี่เรียกร้องให้ต้องมีการกลับใจอย่างแท้จริงซึ่งหากปราศจากการกลับใจเราอยู่แค่ในระดับของ “การบริหารจัดการ”ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงลิขิตไว้ในสมณสาส์น “ความปีติยินดีแห่งพระวรสาร” (Evangelii Gaudium)“เพียงแค่การบริหารจัดการ” ที่ไม่มีการสัมผัสกับหัวใจของวิกฤตการของละล่วงเมิดทางเพศ (25)

การกลับใจเท่านั้นจะทำให้เราเห็นว่าบาดแผลของคนเหล่านั้นที่ถูกล่วงละเมิดคือบาดแผลของเรา ชะตากรรมของเขาคือชะตากรรมของเรา พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของเราแต่เป็นกระดูกและเลือดเนื้อของเรา (เทียบ ปฐก. 2: 23)  พวกเขาเป็นเราและเราเป็นพวกเขา

ความจริงการกลับใจเป็นวิวัฒนาการของโคแปร์นีกุส ซึ่งโคแปร์นีกุสพิสูจน์ว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนรอบโลกแต่เป็นโลกที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ สำหรับเราการวิวัฒนาการแบบนี้คือการพบว่าคนที่ถูกล่วงละเมิดไม่ได้หมุนรอบพระศาสนจักรแต่เป็นพระศาสนจักรต่างหากที่หมุนรอบพวกเขาในการพบความจริงนี้เราสามารถเริ่มที่จะมองเห็นและได้ยินเสียงของพวกเขา และเมื่อเราเห็นเช่นนั้นแล้วโลกและพระศาสนจักรก็เริ่มที่จะเห็นต่างกัน  นี่เป็นการกลับใจที่จำเป็น เป็นการพัฒนาที่แท้จริง และเป็นพระหรรษทานยิ่งใหญ่ที่สามารถเปิดศักราชใหม่แห่งพันธกิจให้กับพระศาสนจักร

ข้าแต่พระคริสตเจ้า เราเห็นพระองค์ถูกล่วงละเมิดเมื่อใดแล้วเราไม่ได้มาช่วยพระองค์?  แล้วพระองค์จะตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่ง ท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ. 25: 44-45) ในพวกเขาเหล่านั้นผู้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องชายหญิงคือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและญาติซึ่งเราพบพระคริสตเจ้าผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนผู้ทรงไร้อำนาจซึ่งจากพระองค์หลั่งไหลมาซึ่งอำนาจแห่งพระผู้ทรงพลานุภาพ พระผู้ไร้อำนาจที่พระศาสนจักรจะต้องหมุนรอบอยู่ตลอดกาล พระผู้ไร้อำนาจที่บาดแผลของพระองค์จะแผ่รัศมีดุจดวงอาทิตย์

ในสองสามวันนี้เราอยู่บนเนินเขากัลวารีโอ – .ใช่แล้ว แม้จะอยู่ในกรุงวาติกันและในห้องโถง “ซาลา เรจิอา”(Sala Regia)เราอยู่บนเนินเขาที่มืด  ในการฟังผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเราได้ยินพระคริสตเจ้าส่งเสียงร้องในความมืด (เทียบ มก. 15:34)  แต่ตรงจุดนี้เรามีความหวังจากพระทัยที่มีบาดแผลของพระองค์ แล้วความหวังก็กลายเป็นคำภาวนาในขณะที่พระศาสนจํกรสากลรวบรวมเราไว้ในห้องชั้นบน  ขอให้ความมืดแห่งเนินเขากัลวารีโอนำพระศาสนจักรไปทั่วพิภพเพื่อจุดแสงสว่างแห่งปัสกาไปสู่พระชุมพาน้อยผู้ทรงเป็นดวงอาทิตย์ของเรา (เทียบ วว. 21:23)

สุดท้าย สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่คือเสียงของพระคริสตเจ้าผู้ทรงเสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงเรียกร้องมิให้เรามัวแต่มองไปยังคูหาที่ว่างเปล่า มัวแต่สับสนว่าจะกระทำอย่างไรดีต่อไปและเราก็ไม่อาจที่อยู่ในห้องชั้นบนอีกต่อไปเมื่อพระองค์ตรัสว่า  “สันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งหลาย” (ยน. 20:19) พระองค์ทรงเป่าลมหายใจเหนือเรา (เทียบ ยน. 20:22) แล้วไฟแห่งพระจิตเจ้าเสด็จลงมาใหม่ก็สัมผัสเรา (เทียบ กจ. 2:2) พระผู้เป็นองค์แห่งสันติสุขทรงเปิดประตูห้องชั้นบนและทรงเปิดประตูแห่งดวงใจของเรา  จากความกลัวเกิดเป็นความกล้าหาญที่จะประกาศพระวรสาร จากความสิ้นหวังเกิดเป็นความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร

พันธกิจกางแผ่ออกอยู่หน้าเรา  พันธกิจที่เรียกร้องไม่ใช่แต่เพียงคำพูดเท่านั้น แต่ต้องเป็นการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม  เราจะทำทุกอย่างที่สามารถเพื่อนำความยุติธรรมและการเยียวยามาสู่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิด  เราจะรับฟังพวกเขา จะเชื่อพวกเขา และเราจะเดินไปด้วยกันกับพวกเขา  เราจะสร้างหลักประกันว่าผู้ที่ล่วงละเมิดจะไม่มีทางที่จะละล่วงเมิดซ้ำได้อีก เราจะเรียกร้องให้ผู้ปกปิดต้องรับผิดชอบ  เราจะเพิ่มความเข้มงวดให้กับกระบวนการรับสมัครและการอบรมผู้นำพระศาสนจักร เราจะให้ความรู้กับประชาชนว่าต้องทำอย่างไรบ้างในการปกป้องคุ้มครองเด็ก/ผู้เยาว์ เราจะทำทุกสิ่งที่เรามีอำนาจเพื่อสร้างหลักประกันว่าความผิดน่าเกลียดน่ากลัวในอดีตนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกและพระศาสนจักรจะเป็นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน จะเป็นมารดาที่รักโดยเฉพาะสำหรับเยาวชนและผู้ที่อ่อนแอเปราะบาง  เราจะไม่ทำงานโดยลำพังแต่จะร่วมมือกับทุกคนที่เกี่ยวข้องเพื่อความดีของเยาวชนและผู้ที่อ่อนแอเหล่านั้น  เราจะพยายามสร้างความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับกับการล่วงละเมิดและผลกระทบว่าทำไมสิ่งเล็วร้ายเหล่านี้จึงเกิดขึ้นในพระศาสนจักรและต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะถอนรากถอนโคนความชั่วร้ายเหล่านี้  ทุกอย่างต้องใช้เวลาแต่เราไม่มีเวลาอีกต่อไปแล้วและเราไม่อาจที่จะล้มเหลวได้อีก

หากเราสามารถทำสิ่งนี้และมากกว่านี้ เราไม่เพียงแต่จะทราบถึงสันติสุขของพระผู้ที่ทรงเสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพเท่านั้น แต่เรายังจะกลายเป็นสันติสุขของพระองค์ในพันธกิจจนสุดมุมโลก  แต่เราจะมีสันติสุขก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นเครื่องบูชา  สำหรับประเด็นนี้เราตอบตกลงด้วยเสียงเดียวกันเฉกเช่น ณ พระแท่นที่เราสำนึกความผิดพลาดและการทรยศของเรา ความเชื่อความไว้ใจและความรักทุกอย่างของเราร่วมกันกับการบูชาของพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นทั้งเหยื่อและเป็นผู้ทีมีชัยชนะ ผู้ที่จะทรง “เช็ดน้ำตาของทุกคน และจะไม่มีความตายอีกต่อไป จะไม่มีการคร่ำครวญ การร้องไห้ และความเจ็บปวดอีกต่อไป เพราะสิ่งในอดีตได้ผ่านพ้นไปแล้ว” (วว. 21:4)

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ที่มีพลังนี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)