Skip to content

คณะสงฆ์ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมจากสังฆมณฑลเชียงใหม่จำนวน 6 องค์ประกอบด้วย คุณพ่อบุญเลิศ   สร้างกุศลในพสุธา คุณพ่อวินัย  บุญลือ  คุณพ่ สุธน คีรีวัฒนสกุล คุณพ่อเจริญ  นันทการ  คุณพ่อ พงษ์ศักดิ์ นารินรักษ์และ คุณพ่อบรูโน  ซอปเปลซา นอกจากนั้นยังมากสังฆมณฑลอื่น ๆ ในประเทศไทยอีก  อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ 6 องค์ สังฆมณฑลราชบุรี 1 องค์   สังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี 1 องค์  สังฆมณฑลนครราชสีมา 1 องค์

พวกเรานัดรวมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 4 ทุ่มคืนวันที่ 7 ก.พ . 59 แต่ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 01.40  นาที ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559 โดยสายการบินการ์ตาแอร์ไลน์ด้วยเครื่องบินลำใหญ่ที่สุดคือแอร์บัส 380  ซึ่งจุคนได้กว่า 500 คน โดยมีคุณเช้งผู้นำทัวร์ เป็นผู้นำทัวร์ที่อายุน้อยกว่าพวกเราทุกคน และเป็นคนพุทธที่มีใจเป็นคริสต์  เพราะมีความศรัทธาต่อแม่พระมาก และรู้เรื่องเกี่ยวกับคาทอลิกอย่างดี แถมเป็นพลมารีย์ด้วยครับเราเดินทางช่วงแรกจากสุวรรณภูมิถึงเมืองโดฮาประเทศกาตาร์  ใช้เวลา 6 ชั่วโมงแวะพักเปลี่ยนเครื่อง นั่งรออีกประมาณ  3 ชั่วโมงเพื่อต่อเครื่องไปยังอีตาลีใช้เวลาเดินทางอีกกว่า 5 ชั่วโมงครึ่ง  ถึงกรุงโรมเวลา 12.40 น.ของวันที่ 8 ก.พ. เวลาที่อีตาลีช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง  เมื่อเดินทางถึงสนามบินฟูมิชิโน  นั่งรถบัสต่อไปยังที่วาติกันทันที เพื่อลงทะเบียน รับสิ่งของต่าง ๆ สำหรับคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมจากประเทศต่าง ๆ เมื่อมาถึงสำนักงานแล้ว ก็ลงทะเบียนเช็คชื่อตรงตามที่แจ้งมาก่อนหรือไม่  ถ้าทุกอย่างตรงตามนั้นก็จะได้รับถุงที่มีอุปกรณ์เช่น ป้ายชื่อ  ใบแต่ตั้ง  สตอลาสีม่วง   บัตรผู้รับเชิญ ฯลฯ  เมื่อได้ครบทุกคน แล้วเราก็เดินทางกลับไปที่โรงแรม

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559

          วันนี้เป็นที่เรามีนัดต้องเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาเวลา 17.30 น.  แต่ก่อนถึงเวลานั้นเช้านี้เราต้องไปเฝ้าศีลที่วัดแสวงบุญก่อนมี 3แห่ง คือวัดนักบุญ Sa;vatore in Lauroวัดนักบุญ Maria in Valicellaและวัดนักบุญ Giovanni Battista deiFiorentiniแต่เนื่องจากเวลาเรามีไม่มากจึงเลือกที่จะไปวัดที่ 2 เมื่อไปถึงเราก็เริ่มสวดสายประคำ สักพักหนึ่งคุณพ่อก็มาตั้งศีลมหาสนิท และเวลาเดียวกันที่นี่ก็มีพระสังฆ์ฟังแก้บาปตลอดเวลา  ส่วนบาทหลวงไทยที่พูดภาษาอีตาเลียนไม่ได้ ก็แก้บาปกับบาทหลวงไทยกันเอง  เราสวดสายประคำหนึ่งสายและร้องเพลงแม่พระหนึ่งเพลงเป็นอันว่าจบการเผ้าศีลในเช้านี้  จากนั้นเราก็ไป

ส่งนภาคบ่ายเวลา 15.00 น. ก็นัดรวมกันที่หน้าหน้าปราสาทเทวดาหรือหน้าลานวาติกัน เพื่อเดินทางเข้าที่ประตูศักดิ์สิทธิ์ โดยแยกเป็นภาษาต่าง ๆ เช่น อีตาเลียน  อังกฤษ  ฝรั่งเศส โปรตุเกส และสเปน  โดยมีการเขนปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรมนำขบวน  ในระหว่าทางมีการภาวนา ร้องเพลง และสวดสายประคำ  เมื่อผ่านเข้าไปที่ประตูศักดิ์สิทธิ์  ก็เลยไปที่หน้าแท่นเหนือหลุมศพนักบุญเปโตร  โดยที่ด้านซ้ายของการเดินผ่านนั้น ก็มีศพนักบุญปีโอ และ นักบุญ  เพื่อที่เราจะได้คำนับ  จากนั้นก็ผ่านออกไปทางด้านตะวันตก เพราะเราเข้าทางประตูด้านตะวันออก  ออกจากมหาวิหารแล้ว ก็เดินผ่านเข้าไปทางประตูที่จะเข้าไปยังที่พำนักของพระสันตะปาปา เดินวนขวาเข้าไปยังอาคาร  เพื่อที่จะเข้าไปที่ห้องประชุม ( Regis Apostolic Palace)   รอจนกระทั่ง 17.30 น. ตามที่นัดหมาย พระสันตะปาปาก็ออกมาพบกับบรรดาธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม  โดยได้ใช้เวลาไม่มากในการให้โอวาท  ซึ่งพระคุณเจ้าวีระ อาภรณ์รัตน์ ได้สรุปไว้ดังนี้

พี่น้องบาทหลวงที่รัก
                “ พ่อดีใจมากที่มาพบกับพวกท่านในวันนี้ ก่อนที่จะทำพิธีส่งธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม นี่เป็นเครื่องหมายพิเศษ เพราะว่าลักษณะของปีศักดิ์สิทธิ์ และให้พระศาสนจักรท้องถิ่นทุกแห่งมีชีวิตชีวาแห่งธรรมล้ำลึกสุดหยั่งถึงแห่งเมตตาธรรมของพระบิดา การเป็นธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมเป็นความรับผิดชอบที่พ่อขอฝากไว้ให้พวกท่าน เพราะเหตุว่า เราขอให้ท่านเป็นประจักษ์พยานส่วนตัวก่อนใคร ใกล้ชิดกับพระเจ้า และรูปแบบแห่งความรัก ไม่ใช่รูปแบบของเรา เพราะบ่อยๆ มีจำกัดและหลายครั้งก็ขัดแย้ง แต่รูปแบบความรักของพระองค์ รูปแบบการให้อภัย นั่นคือ เมตตาธรรม พ่อขอมอบข้อไตร่ตรองบางประการให้พวกท่าน… เพื่อเป็นเครื่องช่วยอีกหลายคนที่จะมาใกล้พวกท่าน

ประการแรก ลักษณะมารดาของพระศาสนจักร ให้กำเนิดลูกใหม่ๆ ในความเชื่อ พระศาสนจักรหล่อเลี้ยงความเชื่อ ให้อภัย ให้กำเนิดชีวิตใหม่ ผลของการกลับใจ… เมื่อฟังแก้บาป จำไว้ว่า เราคือพระคริสตเจ้า ที่ทรงฟัง ทรงให้อภัยบาป ทรงให้สันติภาพ เราเองก็ต้องรับอภัยบาปด้วยจากพระองค์

ประการที่สอง รู้จักเฝ้าดูความตั้งใจที่จะให้อภัยบาปเสมอในหัวใจของผู้มาสารภาพ ให้เขาได้รับพระหรรษทานและกิจการในชีวิต ให้คิดถึงพระเจ้า ความรักของพระองค์ นั่นคือ ตั้งใจกลับเนื้อกลับตัว ไม่อยากทำบาปอีก… ไม่ใช่แค่เรื่องสำนวนภาษาเท่านั้น และท่าทีท่าทางด้วย

สุดท้าย อย่าใช้คำพูดมากมาย แต่ความอับอาย ไม่ง่ายที่ใครจะมาเข้าใกล้ผู้ชายคนอื่น นอกจากตระหนักว่าเป็นผู้แทนของพระเจ้า… ความอายเป็นความรู้สึกลึกๆ ส่วนตัว บาทหลวงต้องมีท่าทีคอยให้กำลังใจ ดังในปฐมกาลที่อาดัมเอวาทำบาป แล้วอายจึงหลบซ่อนตัว (เทียบ ปฐก3:8-10)

ขอให้ท่านดูแบบอย่างของนักบุญ 2 องค์ เรื่องการให้อภัย คือ นักบุญเลโอโปลโด และนักบุญปีโอ ขอพระมารดาแห่งเมตตาธรรมปกป้องคุ้มครองท่านในงานบริการที่มีค่านี้ พ่ออวยพร และอย่าลืมสวดให้พ่อด้วย”ขอบใจ

หลังจากที่ได้พบกับพระสันตะปาปาแล้ว  ก็มีงานเลี้ยงอาหารค่ำให้แก่บรรดาบาทหลวงธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมจำนวนกว่า 800 องค์ ที่หอประชุม เปาโลที่ 6  เนื่องจากว่าเย็นมากแล้ว คนก็เยอะ อากาศก็หนาว กลุ่มของเราส่วนหนึ่งขอกลับไปที่โรงแรมก่อน (เพราะพระสันตะปาปาไม่ได้มาทานด้วย) ส่วนที่เหลือก็กลับมาหลังทานอาหารเสร็จแล้ว

วันที่  10 กุมภาพันธ์  2559

วันนี้อีกวันหนึ่งที่เป็นวันพิเศษสำหรับคณะสงฆ์ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม  เพราะจะได้มีโอกาสร่วมถวายมิสซาวันพุธรับเถ้าร่วมกับพระสันตะปาปา บรรดาพระคาร์ดินัล บิชอป พระสังฆ์ ตลอดจนนักบวชและฆราวาสจำนวนมากในมหาวิหารนักบุญเปโตรครั้งหนึ่งในชีวิตสงฆ์ ที่ได้ร่วมถวายมิสซากับพระสันตะปาปา ในมหาวิหารนักบุญเ)โตร ใครละจะไม่ภูมิใจ(ที่จริงผมก็มีโอกาสร่วมถวายมิสซาร่วมกับนักบุญ ยอห์นปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา ในโอกาสที่ได้แต่งตั้งแม่เทเรซา เป็นบุญราศี แต่ครั้งนั้นจัดที่ลานมหาวิหารนักบุญเปโตร)   ภาคเช้าเราก็ออกเดินทางเยี่ยมตามวัดต่าง ๆ ของกรุงโรม  เริ่มต้นจากมหาวิหารลาเตรัน (ซึ่งเป็นวิหารแม่ของพระศาสนจักร) เป็นที่พำนักของพระสันตะปาปาก่อนที่จะย้ายไปพำนักที่มหาวิหารนักบุญเปโตรในปัจจุบัน  ที่น่าสังเกตมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในกรุงโรม เพราะมีข่าวกลุ่มไอเอส จะโจมตีห้าเมืองใหญ่ในยุโรป  จากมหาวิหารลาเตรัน  ข้ามฟากมาที่วิหารกางเขนศักดิ์  วัดนี้มีบันใดขึ้นลง 3 ช่อง ช่องแรกเป็นการคุกเข่าขึ้นบันใด พร้อมกับสวดภาวนาสายประคำ  ช่องที่  2 นั้น ก็เดินขึ้นไปพร้อมกับสวดภาวนาสั้น ๆ ส่วนช่องที่ 3 นั้น เป็นบันไดลงหรือขึ้นแบบเร็วก็ได้ (ที่จริงผมอยากจะคุกเข่าขึ้นไปเหมือนกัน แต่ด้วยคนจำนวนมากและเวลาที่จำกัด จึงเลือกที่จะเดินขึ้นและสวดสายประคำ 10 เม็ด  จากวัดนี้เราก็ไปยังอีกวัดหนึ่งคือ วัดแม่พระ  หลังอาหารเที่ยง เราต้องกลับไปที่วาติกันเพื่อร่วมมิสซากับพระสันตะปาปาในเวลา 17.00 น. แต่เราใช้เวลาในการต่อแถวเพื่อเข้าไปในมหาวิหารนักบุญเปโตรตั้งแต่ บ่าย 2 โมง เพราะเรื่องของการตรวจความปลอดภัยและคนจำนวนมากจึงต้องรอกันนาน  แม้ว่าพวกเรากลุ่มบาทหลวงธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมจะมีช่องพิเศษให้ก็ตาม  แต่เนื่องด้วยบาทหลวงมีจำนวนมากกว่าวันก่อนจึงต้องเสียเวลามากขึ้นด้วย  เมื่อเข้าไปข้างในมหาวิหาร  ทุกคนอยากจะอยู่ชิดทางเดิน  เพื่อว่าจะได้เห็นพระสันตะปาปาอย่างใกล้ชิด บังเอิญหรือพระจัดให้ก็ไม่ทราบ  ผมรู้สึกว่าโชคดีเป็นของผม  เพราะเวลาที่ผมต่อแถวเข้าไป ผมได้นั่งตรงริมทางเดินพอดี (เพราะคุณพ่อบางท่านได้นับไว้แล้วว่า ลำดับนี้จะได้นั่งตรงนี้ตรงนั้นไว้แล้ว แต่ไม่ได้ตามที่นับไว้) ส่วนผมไม่ได้เตรียมตัวแบบนั้น แต่ก็มีโอกาส ขอบคุณพระ  เมื่อถึงเวลาแห่งบวนพิธีกรรมเข้ามา  มีบิชอปและพระคาร์ดินัลจำนวนมากอยู่ในขบวน  โดยมีผู้ช่วยพิธีกรรมนำหน้า  พระสันตะปาปา มาสุดท้ายขบวนพร้อมกับนายจารีต 2 ท่าน และสังฆานุกร 2 ท่าน ผมตั้งใจจะมองดูพระองค์อย่างใจจดใจจ่อ  ปรากฏว่าในบรรดา 5 ท่านสุดท้ายนั้น พระองค์ดูเหมือนจะเป็นคนตัวเล็กที่สุด ทำให้สี่คนนั้นบังพระองค์ และเมื่อพระองค์ผ่านไปผมแถบไม่เห็นพระองค์เลย ก็ได้หลังพระองค์เมือผ่านผมไปแล้วเสียดายมาก  มิสซาในวันนี้เป็นมิสซาวันพุธรับเถ้า จากที่คิดว่าจะใช้เวลานาน  แต่ไม่นานอย่างที่คิด  เพราะมีบาทหลวงบริการช่วงรับเถ้าและรับศีลจำนวนมาก  ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง และอีกอย่างหนึ่งพระองค์ทรงเทศน์ไม่นานและดูเหมือนพระองค์จะเหนื่อยมากด้วย  ส่วนบทเทศน์พระคุณเจ้า วีระ  อาภรณ์รัตนได้สรุปไว้ดังนี้

พระวาจาของพระเจ้าสอนเราให้เทศกาลมหาพรตนี้
นักบุญเปาโลกล่าวว่า “เราเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า พระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด” (2 คร5:20)

เราอาจมีอุปสรรคบางประการที่ปิดประตูใจ มีการผจญให้ปิดประตู ดำเนินชีวิตในบาป คิดว่าคนอื่นแย่กว่าเรา อีกประการ คือ อายที่จะเปิดประตูลับแห่งหัวใจ กลัว ประการที่สาม คือ อยู่ไกลประตู อยู่ในความสงสารตัวเอง รวมกลุ่มกับบรรดาผู้ทำผิด ทำให้อยู่ในคุกมืดแห่งวิญญาณ แต่อาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า ช่วยเราให้เป็นอิสระ ฟังพระเยซูเจ้า พระองค์จะประทานสันติสุขให้

บรรดาธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม เป็นเครื่องหมายและเครื่องมือแห่งการให้อภัยของพระเจ้า พี่น้อง พวกท่านจงช่วยเปิดประตูใจ ให้เอาชนะความอาย อย่าหนีไปจากแสงสว่าง มือที่อวยพรจะช่วยพี่น้องชายหญิงให้หายจากความเจ็บไข้
พระเจ้าเชิญเราให้กลับมาหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ (ยอล2:12) เพราะเราอยู่ไกล อยู่ในบาป ทำให้อยู่ไกลจากพระเจ้าและไกลจากเราเอง ขาดความวางใจในพระเจ้า พระวรสารจึงให้ยา 3 ประการ คือ

การภาวนา พบปะกับพระเจ้า

ทำบุญให้ทาน ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยความรักแท้

การอดอาหาร ใช้โทษบาป ทำให้เราเป็นอิสระ

พระเจ้าตรัสว่า จงกลับมาหาเรา ด้วยสิ้นสุดจิตใจ มิใช่ภายนอกเท่านั้น แต่ส่วนลึกในเราเอง มหาพรตเป็นเวลาแห่งพระพร จากความหลอกลวง จากการใฝ่โลก จากการเย็นเฉยต่อกัน กลับมามีความรักที่รับใช้ ไม่เห็นแก่ตัว… พร้อมกับพระศาสนจักร เรารับเถ้า เราจะกลายเป็นฝุ่นดิน ดังนั้น ให้เรามองไม้กางเขน พระองค์ทรงรักเรา และเชิญชวนเราให้ละทิ้งตนเอง มาคืนดีกับพระเจ้า เพื่อกลับมาหาตนเอง

หลังพิธีบูชามิสซา  เราไปทานอาหารเย็นแล้วกลับไปที่โรงแรม  เพื่อที่เก็บข้าวของ  เนื่องจากเราจะต้องไปเมืองอื่นต่อและจะกลับมานอนที่อีกในคืนสุดท้าย

 

วันที่ 11  กุมภาพันธ์ 2559

เช้าวันนี้เราออกเดินทางไปยังเมือง San Giovanni Rotondoเป็นที่ที่ตั้งศพนักบุญปีโอ  (แต่ว่าช่วงนี้ศพท่านถูกนำไปยังกรุงโรม จะกลับมาที่นี่ในวันอาทิตย์) เมืองนี้ห่างจากกรุงโรมประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง  โดยรถบัส (รถบัสนำเที่ยวที่นี่มีข้อกำหนดหลายอย่างเช่นต้องขับประมาณ 2 ชั่วโมงต้องหยุดพัก 1 ครั้ง ไม่ขับเกินวันละ 8 ชั่วโมง ความเร็วไม่เกินกำหนด เข้าเมืองบางเมืองต้องเสียค่าอยู่ในเมืองวันละ 100 ยูโร)  เพราะฉะนั้นเวลา 5 ชั่วโมงครึ่งเราต้องหยุดพัก 2 ครั้ง  กำหนดเวลา 16.30 น. เราจะถวายมิสซาที่วัด PedrePio Old Church Our Lady of Grace) แต่เนื่องจากเรามาช้า คนอื่นจึงทำพิธีก่อน  เราจึงพบกับเจ้าหน้าที่  เจ้าหน้าที่ก็เลยให้ไปอีกที่หนึ่งคือวัดน้อยที่อยู่ข้างหลุมศพนักบุญปีโอ  ประวัติสั้น ๆ นักบุญปีโอคือ เกิดที่เมือง เปเอเตรสซินา ในอัครสังฆมณฑลเบเนเวนโต  ได้เข้าคณะกาปูชิน ได้ชื่อว่า ปีโอ หลังบวชอยู่ที่ อาสนวิหารเบเนเวนโต แต่ด้วยสุขภาพไม่ค่อยดี จึงกลับไปอยู่บ้าน ต่อมาถูกส่งมาอยู่ที่อาราม ซาน โจวานนี โรตอนโด จนเสียชีวิต  ท่านมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสตเจ้า อภิบาลแนะนำวิญญาณ  ฟังแก้บาปวันหนึ่งถึง 15 ชั่วโมง  ถูกบิชอปห้ามฟังแก้บา และถวายมิสซาในสาธารณะ เนื่องจากถูกบิชอปและบาทหลวงรายงานว่างานอภิบาลของท่านไม่โปร่งใส   มีความศรัทธาต่อแม่พระมาก คุณพ่อได้บอกผู้มาหาเสมอว่า แม่พระเป็นช่องทางที่นำเราไปหาพระเยซูเจ้า ผู้เป็นแหล่งน้ำทรงชีวิต  คุณพ่อสวดสายประคำไม่หยุดหย่อน แม้วาระสุดท้ายท่านสวดไม่ได้ก็ตาม แต่ก็เอ่ยนาม เยซูและมารีอาเท่านั้น นักบุญ ยอห์นปอลที่ 2 พระสันตะปาปา ได้ประกาศให้ท่านเป็นนักบุญปีโอแห่งปีเอเตรสซินา เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2002

วันนี้คุณพ่อสมศักดิ์  ธิราศักดิ์ ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มนี้ได้เป็นประธานในมิสซา  หลังมิสซาไปทานอาหารเย็นแล้วก็กลับมาที่พัก

 

วันที่ 12  กุมภาพันธ์  2559

เช้านี้เรามีมิสซาเช้าเวลา 08.30 น. ก่อนเริ่มมิสซาก็มีคนมาบอกผมว่าเช้านี้พ่อต้องเป็นประธาน  ที่จริงได้เสนอให้อุปมุขนายกราชบุรี คุณพ่อ ไพยง  มนิราช เป็นประธาน แต่พ่อปฏิเสธและ ต่อมายังที่ผมในฐานะอุปมุขนายกเหมือนกัน  ตอนแรกผมก็ทาบทามคนอื่นที่อาวุโสกว่า แต่บรรดาคุณพ่อเหล่านั้นบอกว่าคุณพ่อเป็นดีแล้ว  ผมจะไม่ไปขอใครอีก แต่ผมมีแผนคือให้คุณพ่อท่านอื่นแบ่งปันแทน ได้คุณพ่อสมชาย อัญชลีพรสันต์ เป็นผู้แบ่งปัน  วันนี้ได้ทำมิสซาในวัดน้อย ST.Mary of Graceส่วนหนึ่งของวัดSanGiovanni Rotando เป็นแท่นที่หันหลังให้กับผู้ร่วมมิสซา  ซึ่งคิดว่าเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของผมที่จะได้ทำมิสซาหันหลังให้กับผู้ร่วมร่วมมิสซา หลังจากมิสซาแล้ว เราก็ออกเดินทางกลับไปยังเมือง เปสคารา แวะทานอาหารเที่ยงระหว่างทาง และเดินทางต่อไปยังโรมถึงประมาณ 4 โมงเย็น จากนั้นทัวร์ไปปล่อยเราที่ลานวาติกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่ได้มีโอกาสจัดซื้อของที่ระลึกรอบสุดท้าย หลังจากนั้นก็ไปทานอาหารแล้วเข้าที่พักโรงแรมเดิมที่มาคืนแรก

 

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2559

วันสุดท้ายที่จะอยู่ที่โรม แต่เราก็ยังมีอีกหลายที่ที่จะต้องไปเยี่ยมชม  หลังจากที่เก็บเข้าของขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางไปที่แรกคือ โคโลเซียม  ขณะที่เดินทางไปยังไม่ถึงที่ ปรากฏว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นคือ คุณพ่อปิยะ  โรจนมารีวงค์ ลืมพาสปอร์ตที่โรงแรม  พี่น้องครับการลืมพาสปอร์ตเวลาที่อยู่เมืองนอกเป็นเรื่องใหญ่ครับ  เพราะถ้าไม่มีพาสปอร์ตก็ทำอะไรไม่ได้เลย เหมือนเป็นเถื่อนเลยครับ  แต่เมื่อผู้นำทัวร์ก็ติดต่อกลับไปที่โรงแรม  ทางโรงแรมได้เก็บไว้แล้ว  ทุกคนจึงโล่งอก เพราะไม่มีปัญหาแน่นอน  จากโคลโลเซียมก็ไปที่น้ำพุเทรวี่  ที่นี่มีคนบอกว่าถ้าาอยากกลับมาอีกก็ขอให้หันหลังโยนเหรียญลงไปในน้ำพุ รับรองว่าได้กลับมา  แต่พ่อไม่มั่นใจ เพราะขนาดที่พ่อไม่ได้โยนเหรียญเลยได้กลับมาอีกตั้ง 2 ครั้ง  จากที่นี่ก็ไปที่บันไดสเปน  แต่วันนี้ปิดซ่อมแซมก็เลยไมได้ไปขึ้นบันไดกัน ที่นี่เราก็มีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ใครอยากไปที่ไหนก็ไปได้ แต่ให้มาเจอกันตอนเที่ยง  ภาคบ่ายหลังอาหารเที่ยงก็ยังมีอีก 2 ที่ คือ ที่คาตากอมม์ และ อาสนวิหารนักบุญเปาโล นอกเมือง เป็นการไปที่วัดแสวงบุญหลังสุดท้าย  วันแรกเราเริ่มต้นที่มหาวิหารนักบุญเปโตร วันสุดท้ายจบลงที่วัดนักบุญเปาโลถือครบสมบูรณ์  เราออกจากวัดนักบุญเปโลตรงไปยังสนามบิน เพื่อตรวจสอบสัมมภาระ  เราเดินทางออกจากกรุงโรม 21.50 ของวันเสาร์ที่ 13 ไปแวะที่เมืองโดฮา เวลาท้องถิ่น 08.35 น. วันที่ 14 เดินทางมาถึงประเทศไทย  18.45 น. วันที่ 14 เย็น  การเดินทางทุกอย่างราบรื่นและมีความสุขกันทั่วหน้า ส่วนพวกเราจากสังฆมณฑลเชียงใหม่ เดินทางต่อไปยังเชียงใหม่ถึงเที่ยงคืน พักผ่อน และเช้าวันที่ 15 พวกเราหลายคนต้องประชุมกันทันที

 

ก็ขอบคุณพระคุณวีระ  อาภรณ์รันตน์ อีกครั้งหนึ่งที่ได้ดำเนินการให้พวกเราทั้ง 6 คนได้ ไปร่วมงาน ทั้งค่าเดินทางและเงินใช้จ่ายบางส่วนให้กับพวกเราด้วย