
ไร่ข้าวโพด กับวิถีปกาเกอะญอที่เปลี่ยนไป
ความเข้มแข็งของกลุ่มชาติพันธุ์ จะทัดทานกระแสทุนนิยม (ข้ามชาติ) ได้หรือไม่?
(วารสารผู้ไถ่ ปีที่ 34 ฉบับที่ 93 เดือน กันยายน-ธันวาคม 2013)
แม่แจ่ม … เมืองแห่งข้าวโพด
จาก ตัวเมืองแม่แจ่ม รถขับเคลื่อนสี่ล้อกำลังไต่ระดับขึ้นไปบนความลาดชันของถนนเล็กๆ สายที่จะนำเราไปสู่หมู่บ้านเซโดซา หมู่บ้านชาวปกาเกอะญอที่อยู่บนยอดดอยสูงเทียมเมฆกลุ่มนั้น ตลอดสองข้างทาง สายตาเราจะปะทะกับดงกลุ่มพืชไร่ที่ชื่อว่า “ข้าวโพด” พืชเศรษฐกิจที่กำลังตกเป็น “ผู้ร้าย” ในขณะนี้
…เข้าสู่เดือนตุลาคม ไร่ข้าวโพดสีเหลืองซีดเซียวช่างดูแห้งแล้งในสายตาเรา …ดงข้าวโพดดงแล้วดงเล่าผ่านไปตามถนนสายนี้ รถยังคงไต่ระดับขึ้นไปสู่ยอดดอย มองไกลออกไป…เห็นหุบเขาสูงต่ำลดหลั่นกันโอบล้อมรอบตัวเรา ช่างดูสวยงาม! สีเขียวๆ บนดอยนั้นดอยนี้ถูกสลับด้วยสีเหลืองๆ ที่ดูจะเพิ่มมากขึ้น พี่สุนทรบอกว่า “สีเหลืองๆ นั่นล่ะ ไร่ข้าวโพดทั้งนั้น” ความรู้สึกที่มองเห็นทิวเขารอบตัวสวยงาม…ลดลงฮวบ! ช่างผิดกับครั้งก่อนเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วที่มีโอกาสมาเยือน ครั้งนั้นมีแต่สีเขียวของนาข้าวไร่ และต้นไม้มากมายในไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอะญอ เราหยุดรถเพื่อลงไปถ่ายภาพดงข้าวโพดที่โอบล้อมข้าวไร่ที่เริ่มเป็นรวงข้าวเขียวๆ ซึ่งเหมือนถูกปลูกแซมอยู่ดูน้อยนิด พี่สุนทรใช้คำได้อย่างเห็นภาพด้วยประโยคที่ว่า เห็นไหม“เงินล้อมข้าว”
ม็อบข้าวโพด หมู่บ้านปกาเกอะญอ
และความเปลี่ยนแปลง
“ตอนนี้สถานการณ์การปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กำลังน่าเป็นห่วง อย่างที่แม่ฮ่องสอน ไร่ข้าวโพดลุกลามขึ้นไปถึงบนดอยต่างๆ แล้ว มองไปทางไหนมีแต่ไร่ข้าวโพดพรืดเต็มไปหมด ส่วนแม่แจ่มตอนนี้กลายเป็นเมืองข้าวโพดไปแล้ว ขึ้นไปดูเองแล้วจะเห็นภาพ”
พี่สุนทรเกริ่นนำไว้เมื่อฉันติดต่อขอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องวิถีชาวปกาเกอะญอที่เปลี่ยนไปจากการปลูกพืชเกษตรเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งกำลังเป็นประเด็นถูกกล่าวถึงมากขึ้นทุกทีว่าเป็นต้นเหตุให้ชาวบ้านจำนวนมากขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดบุกรุกพื้นที่ป่า และรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าสงวนหลายต่อหลายแห่ง นอกจากนี้ยังเป็นต้นเหตุของหมอกควันที่ปกคลุมเมืองจากการเผาป่าหรือพื้นที่รกร้างเพื่อเปิดพื้นที่เพาะปลูก และการเผาตอซังข้าวโพดหลังเก็บเกี่ยวแล้ว รวมไปถึงปัญหาการพังทลายของหน้าดินบนภูเขา อันนำไปสู่การเกิดดินถล่มในหลายพื้นที่ และปัญหาอีกมากมายที่ตามมา
“อาทิตย์ที่แล้ว มีชาวบ้านประมาณ ๒,๐๐๐ กว่าคน มาประท้วงราคาข้าวโพดตกต่ำที่หน้าอำเภอแม่แจ่ม ทางอำเภอบอกว่าไม่มีอำนาจที่จะจัดการและให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ชาวบ้านได้ ในกลุ่มผู้ชุมนุมนี้ มีพี่น้องชาวปกาเกอะญอไปร่วมประท้วงกับเขาด้วย”
พี่สุนทรพูดถึงม็อบเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดจากหลายอำเภอ (แม่แจ่ม เชียงดาว ฝาง แม่วาง และ พร้าว) ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวนกว่า ๕,๐๐๐ คน ที่รวมตัวกันเรียกร้องต่อรัฐให้แก้ปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตกต่ำ ครั้งแรกพวกเขารวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่(วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖) และเมื่อเห็นว่ารัฐยังไม่ดำเนินการอะไรตามข้อเสนอที่พวกเขาเรียกร้อง กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดอำเภอแม่แจ่มนับพันคนจึงชุมนุมปิดล้อมที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม เพื่อทวงถามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาจนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ต้องหยุดงาน ๑ วัน เพราะไม่สามารถเข้าออกได้ (วันที่ ๑๕ ตุลาคม) นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่านายอำเภอยิงปืนขู่ผู้ชุมนุม สร้างความโกรธแค้นและไม่พอใจต่อกลุ่มผู้ชุมนุม จนถูกขับไล่และหนีออกมาได้กลางดึก ซึ่งในเรื่องนี้ พี่ประชา ซึ่งเป็นชาวปกาเกอะญอเช่นกัน ได้ให้ความเห็นว่า
“เรื่องการประท้วงในอำเภอ ผมเห็นไม่เหมือนชาวบ้านเขา พี่น้องหมู่บ้านแม่รองที่ไปร่วมชุมนุมเป็นชาวปกาเกอะญอ ปกติปกาเกอะญอจะเป็นคนอ่อนโยน แต่ครั้งนี้ด้วยการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพด มีหนี้สิน มีความต้องการ มีความโลภมาก ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไปประท้วงกับพี่น้องแม่แจ่ม กลับดุเดือดกว่า มีหลายคนเล่าให้ฟัง นี่ไม่ใช่ตัวตนของเขาแล้วน่ะ สงสัยจะเครียดกับหนี้สินที่ลงทุนไปเยอะ และคงมีการยุแยงว่าจะไม่ได้เงิน ราคาจะไม่ถึงที่ต้องการ ก็เลยเครียด”
ข้อมูลมากมายทยอยเข้าสู่โหมดการรับรู้ของฉันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้คุยกับแหล่งข้อมูลผู้ซึ่งทำงานพัฒนาชุมชนบ้านเกิดของพวกเขาเองมาเป็นระยะเวลายาวนาน อย่างพี่สุนทร วงศ์จอมพร เจ้าหน้าที่ของศูนย์สังคมพัฒนา และศูนย์วิจัยและฝึกอบรมศาสนาวัฒนธรรมชุมชน สังฆมณฑลเชียงใหม่ เขาเป็นชาวปกาเกอะญอ มีภูมิลำเนาอยู่หมู่บ้านดอกแดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ พี่สุนทรทำงานอยู่กับศูนย์สังคมพัฒนาฯ หรือรู้จักกันในชื่อ DISAC เชียงใหม่ หน่วยงานคาทอลิกที่ทำงานพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่บนดอยสูงในเขตจังหวัดทางภาคเหนือมาเป็นเวลากว่า 39 ปี
ส่วนพี่ประชา จันทร์ทอแสง อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านเซโดซา ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เขาเป็นผู้นำชาวบ้าน เป็นประธานศูนย์เด็กเล็ก บ้านเซโดซา ประธานเครือข่ายลุ่มน้ำแม่ตูมอยู่ ๓ วาระ เป็นกรรมการกองบุญข้าวตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ กระทั่งปัจจุบัน และยังทำงานให้กับศูนย์วิจัยและฝึกอบรมศาสนาและวัฒนธรรม อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีคุณพ่อนิพจน์ เทียนวิหาร เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ทั้งสองท่านต่างมองปัญหาการปลูกพืชพาณิชย์เชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ชาวปกาเกอะญอด้วยความเป็นห่วง พี่ประชาเล่าให้ฟังถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอำเภอแม่แจ่มที่กลายเป็นแหล่งปลูกข้าวโพดอันดับต้นๆ ของเชียงใหม่ และขยายพื้นที่ลุกลามมาสู่หมู่บ้านของเขาที่อยู่ไกลขึ้นไปบนดอยสูงว่า
“ความจริงผมเป็นคนอีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่มาอยู่ที่นี่ได้ ๑๐ กว่าปีแล้ว มาอยู่ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ประมาณ ๑๐ ปีมานี้มีความเปลี่ยนแปลงเยอะ แต่ในช่วงปีสองปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงเร็วในการปลูกพืชประเภทต่างๆ ชาวบ้านเริ่มปลูกข้าวโพดกันมา ๒ ปีแล้ว บ้านเซโดซามีประมาณ ๖๐% ที่ปลูกข้าวโพดกัน ปีนี้ที่ปลูกข้าวโพดกันเยอะ เพราะเขาเห็นกันว่าเพื่อนต่างหมู่บ้านปลูกข้าวโพดขายแล้วมีเงินซื้อรถ ซื้ออะไร ฐานะดีขึ้น ก็เลยหันมาปลูกกันบ้าง ใครที่มีศักยภาพจะปลูกได้แค่ไหน มีทุนน้อยก็ปลูกน้อย มีทุนเยอะก็ปลูกมากหน่อย ปีที่ผ่านมาปัญหารุนแรงขึ้นมาก ปลูกข้าวโพดต้องใช้ทุนเยอะ ต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธุ์ ซื้อปุ๋ย
อย่างไร่หมุนเวียนที่นี่ ปกติจะใช้เวลาหมุนเวียนรอบหนึ่ง ๗ ปี ต่อมาต้องให้ป่าไม้ดูแล ๑ ปี เหลือ ๖ ปี แล้วในปีหนึ่งเราต้องแบ่งว่าจะปลูกอะไรก็ได้ตามความสนใจของคนนั้น ได้มีการคุยกันกับชาวบ้าน เราก็ดูความจำเป็นเรื่องการใช้จ่ายใช้เงินเป็นปัจจัยจำเป็นในปัจจุบันนี้ เพราะเดี๋ยวนี้ค่าใช้จ่ายต้องส่งลูกเรียน ต้องมีพื้นที่ที่จะปลูกพืชขาย จึงได้มีการตกลงกันว่า ไร่ที่มีอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ให้ใช้ได้ในปีที่ ๖ ปรากฏว่าปีนี้เขาก็เลยแบ่งปลูกข้าวโพดกันเต็มเลย”
พี่ประชาได้อธิบายให้ฉันฟังถึงกฎระเบียบของชุมชนหมู่บ้านเซโดซาในการใช้ที่ดินไร่หมุนเวียนเพื่อทำการเกษตรซึ่งชาวบ้านที่นี่ยังยึดถืออย่างเคร่งครัดอยู่ แต่พี่ประชาเองก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีใครละเมิดแหกกฎระเบียบของชุมชนหรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชุมชน
“ส่วนปัญหาเรื่องหนี้สินที่นี่ยังไม่ค่อยมี แต่ก็น่าเป็นห่วงว่าถ้าแนวโน้มหันมาปลูกพืชที่ไว้ขายอย่างเดียว ต่อไปปัญหาหนี้สินและปัญหาสุขภาพจะเป็นปัญหาในอนาคต และอีกอย่างที่สำคัญคือเรื่องความเชื่อต่างๆ ที่อยู่ในกระบวนการผลิตข้าวในไร่หมุนเวียน ต่อไปจะไม่มีมิตินั้นแล้ว จะกลายเป็นปลูกเพื่อขายเพื่ออยากได้ทางวัตถุอย่างเดียว โดยไม่มีมิติของความเชื่อและสิ่งสูงสุด เพราะในกระบวนการผลิตข้าวในไร่หมุนเวียนของปกาเกอะญอ ตลอดกระบวนการผลิตจะมีมิติความเชื่ออยู่ในทุกขั้นตอน แต่ในการปลูกข้าวโพด การปลูกกะหล่ำจะไม่มี”