Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา ปี A

“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา”

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1947  มีคนเลี้ยงแพะ/แกะ ชาวเบดูอินคนหนึ่งชื่อ มูฮัมเหม็ด เดอะ วูล์ฟ  ได้พาฝูงแพะของเขาไปเลี้ยงแถวชายฝั่งตะวันตกของทะเลตาย (Dead Sea)  แต่มีแพะตัวหนึ่งหายไป  เขาต้องปีนหน้าผาสูงชันเพื่อไปตามหามัน  เขาผ่านถ้ำแห่งหนึ่งมีหินก้อนใหญ่อยู่บริเวณด้านหน้า  จึงขว้างก้อนหินเข้าไปข้างใน  ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงของแตกกระจาย  เขาตกใจและกลัว  จึงวิ่งไปเรียกเพื่อนอีกคนหนึ่งมา  และเข้าไปดูด้วยกัน  ปรากฏว่าเขาพบหม้อไหที่ทำด้วยดินเหนียวเผาหลายใบ  ข้างในนั้นพบว่ามีผ้าลินินห่อของที่มีลักษณะเป็นม้วนๆ  และนี่ก็คือ การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งทางโบราณคดี มันคือ ม้วนหนังสือแห่งทะเลตาย
เด็กทั้งสองที่พบขุมทรัพย์โดยบังเอิญนี้ไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก  เขาพยายามนำม้วนหนังสือไปเร่ขายให้พ่อค้าที่เมืองเบธเลเฮม  ด้วยราคาเพียง 20 ปอนด์  แต่พ่อค้าก็ไม่ยอมซื้อ  จนกระทั่งต่อมาม้วนหนังสือ 4 ม้วนตกไปอยู่ในมือของปาตริอาร์คชาวซีเรียที่อยู่ในเยรูซาเล็ม  และอีก 3 ม้วนถูกลักลอบออกนอกประเทศไปที่สหรัฐอเมริกา  นั่นเอง ความจริงที่ว่าของเหล่านี้มีคุณค่ามหาศาลจึงเป็นที่ปรากฏออกมา  ในจำนวนม้วนหนังสือ มีอักษรจารึกโบราณเขียนด้วยลายมือเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของกลุ่มสมาชิกกุมรานที่อยู่ด้วยกัน (the Qumran  community)  และชิ้นส่วนต่างๆ ของพระคัมภีร์ (fragments  of scripture) เมื่อพิสูจน์ด้วยวิธีคาร์บอน 14  กับผ้าลินินที่ห่อม้วนนี้ไว้ทำให้ทราบว่ามันอยู่ในช่วงกลางปี ค.ศ. 33
 
ช่วงเวลาประมาณนี้  ไม่ห่างจากสถานที่เก็บซ่อนม้วนหนังสือ  แต่ต้องขึ้นไปทางเหนือของกุมราน  พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเร็ธกำลังเทศน์สอนเรื่องชาวนาที่พบขุมทรัพย์ในทุ่งนา  แล้วก็ไปขายสมบัติทุกสิ่งที่มีมาซื้อนาแปลงนั้น  หรือเหมือนกับพ่อค้าที่พบไข่มุกเม็ดงามที่มีค่ามากที่สุด  ก็ไปขายทุกสิ่งที่มีเพื่อมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น
 
พระเยซูเจ้า ทรงต้องการให้เรามองดูอาณาจักรแห่งพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด  เพื่อเราจะได้สละทุกสิ่งที่มี  มาแลกกับการได้ครอบครองพระอาณาจักรแห่งพระเจ้า
 
กษัตริย์โซโลมอนในบทอ่านแรกไม่ได้เห็นว่าความมั่งคั่ง  หรืออายุที่ยืนยาว  หรืออำนาจที่จะทำลายศัตรูเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต  สำหรับพระองค์แล้วความรู้ความเข้าใจและปรีชาญาณในการตัดสินและปกครองประชากรของพระเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  จึงวอนขอพระพรจากพระเจ้าเช่นนี้ และเป็นการขอที่พระเจ้าทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง
 
สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว  สมบัติที่มีค่าอย่างยิ่งของพระองค์  คือ พระประสงค์ของพระเจ้า  พระองค์จึงทรงยอมสละทุกสิ่งที่มี  เช่น  ครอบครัว  บ้านของพระองค์  ความปลอดภัยของพระองค์  เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดาในการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า  ที่สุด ทรงยอมสละแม้กระทั่งชีวิต  ซึ่งคนอื่นๆ และรวมทั้งบรรดาสาวกด้วยในตอนนั้นที่ไม่เข้าใจการกระทำของพระองค์  แต่ถ้าเราดูให้ดีๆ จะเห็นชัดในจุดประสงค์ของพระองค์ที่ทรงทำเช่นนี้  นั่นคือ  แม้ในความตายพระเยซูก็ยังคงยึดสมบัติล้ำค่านี้ไว้  คือ  ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา
 
แล้วเราแต่ละคนเป็นอย่างไร  เรามองชีวิตของเราอย่างไร  เราเห็นคุณค่าของพระอาณาจักรพระเจ้าในแบบที่พระเยซูเจ้าทรงนำเสนอหรือไม่  คือพระอาณาจักรพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุด  เราต้องยอมสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งพระอาณาจักรนั้น  ความจริงของที่มีคุณค่ามากที่สุด  เช่น พระอาณาจักรนี้ก็อยู่ปลายจมูกเรา ที่เราสามารถค้นพบได้  ไม่เหมือนลอตเตอรี่ รางวัลที่ 1 ที่มีน้อยคนเท่านั้นที่จะถูก  ไม่เหมือนทุ่งนาที่พบว่ามีสายแร่ทองอยู่ข้างในนั้น  ซึ่งน้อยคนจะได้พบเช่นนี้  แต่พระอาณาจักรของพระเจ้าสำหรับเรา  อยู่กับบรรดาผู้คนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนี่แหละ  ต้องถือเป็นโอกาสที่เราพบหน้าค่าตากันทุกๆ วัน  เพื่อกระทำให้คุณค่าที่พระเยซูเจ้าทรงนำเสนอเป็นความจริงขึ้นมา  สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจจะไม่เปล่งแสงออกมาจากตัวมันเอง  แต่ภายในหัวใจของคนธรรมดาสามัญเหล่านี้แหละ  ที่เราพบการสถิตอยู่ของพระเยซูเจ้า  พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ทรงคุณค่าสูงสุด  ทรงซ่อนเร้นพระองค์ในสถานที่ธรรมดาๆ  หวังว่าเราจะพบความเป็นจริงนี้ได้โดยไม่ต้องรอคอยให้ยืดยาวออกไป
 
เราคงไม่เป็นเหมือนคนเลี้ยงแพะ/แกะ ชาวเบดูอิน 2 คนนั้น  ที่ไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่ได้พบโดยบังเอิญ  เพียงเพราะมันถูกหุ้มห่อด้วยสิ่งของธรรมดาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
(คุณพ่อ วิชา  หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2011
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R.)