
ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ปี A
เรื่องพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ เป็นหนึ่งในหกของความเชื่อที่สำคัญของคริสตชน อันประกอบไปด้วย
1. การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์
2. การสิ้นพระชนม์
3. การกลับฟื้นคืนพระชนมชีพ
4. การเสด็จสู่สวรรค์
5. การเสด็จมาของพระจิตเจ้า
6. การเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์
จากการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ บัดนี้เราทราบว่า พระองค์ประทับเบื้องขวาของพระบิดา เพราะภารกิจแห่งการไถ่บาปของพระองค์ได้สำเร็จแล้ว การเสด็จมาของพระจิตเจ้าจะเป็นการเติมเต็มคำมั่นสัญญาที่พระเยซูเจ้าทรงให้ไว้
บัดนี้พวกสาวกต้องรอคอยจนกว่าพระจิตเจ้าจะเสด็จมา และเมื่อนั้น พวกเขาจะพากันออกไปประกาศพระนามของพระเจ้า ข่าวดีที่พระเยซูเจ้าได้ทรงประกาศไว้จะถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์ พวกเขาจะทำให้ผู้คนมามีความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นบุตรของพระเจ้า และจะทำให้ผู้ที่เข้ามามีความเชื่อได้รับศีลล้างบาป เดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต นี่เป็นการทำตามที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสสั่งก่อนเสด็จขึ้นสวรรค์อย่างยอดเยี่ยมที่สุด
พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้เราร่วมมือกับพระจิตเจ้าด้วย เราต้องเป็นเหมือนบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์ ในการประกาศพระนามของพระเจ้า ทั้งเมื่อสบโอกาสเหมาะ และไม่สบโอกาสเหมาะ เราต้องเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงพระองค์ด้วยชีวิต บางคนจะอ้างว่า ฉันไม่มีความรู้ด้านคำสอนนัก จะให้ไปประกาศปาวๆ ได้อย่างไร ประกาศให้คนอื่นก็คงจะไม่ฟัง จะประกาศให้คนในครอบครัว หรือญาติสนิทมิตรสหาย เขาก็คงจะรำคาญ
อันที่จริง ในทางปฏิบัติ เราสามารถทำได้ซื่อๆ ง่ายๆ โดยพยายามเป็นคนในแบบที่พระบิดาเจ้าทรงสร้างเราให้เป็น
เราสามารถทำได้ซื่อๆ เรียบๆ โดยพยายามเป็นคนในแบบที่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราเป็น
เราสามารถทำได้ง่ายๆ โดยพยายามเป็นคนในแบบที่พระจิตเจ้าทรงดลบันดาลใจเราให้เป็น
นั่นคือเราได้เป็นพยานให้พระเยซูเจ้าแล้ว เมื่อเราสอนคนอื่นด้วยความรักของเราในยามที่เขาต้องการเรา หรือโดยความอดทนเมื่อคนอื่นมาทำให้เราเกิดความรำคาญ หรือโดยการยกโทษให้เมื่อคนอื่นมาทำผิดต่อเรา หรือโดยการยอมอยู่เป็นเพื่อน ทั้งๆ ที่เราอยากจะจากเขาไปแล้ว
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักประพันธ์คนหนึ่งที่ชื่อว่า Norman Lobsenz ในหนังสือชื่อว่า The Friendship Factor ของ Alan Loy McGinnis ความว่า ภรรยาของนอร์แมนป่วยหนักมากทั้งๆที่เธอยังอายุน้อยอยู่ และช่วงเวลาป่วยเป็นระยะเวลายาวนานมาก ทำให้นอร์แมนเครียดหนักมากทั้งกายและใจ ความเจ็บปวดที่ได้รับสุดจะทนไหว คืนหนึ่งเขาเกือบจะสติหลุดอยู่แล้ว แต่มีเหตุการณ์ในอดีตฉายแว่บเข้ามาในหัวเขา คือตอนที่เขายังเด็กอยู่ และแม่ของเขานอนป่วยอยู่บนเตียง ช่วงเวลาเที่ยงคืน เขาตื่นมาด้วยความกระหายน้ำ เขาต้องเดินผ่านห้องนอนของพ่อแม่เพื่อไปเอาน้ำดื่ม เขาเห็นพ่อของเขานั่งอยู่ข้างเตียงของแม่ที่กำลังหลับสนิท เขาตกใจวิ่งเข้าไปถามว่า “พ่อครับ แม่อาการแย่ลงหรือ” พ่อตอบว่า “ไม่หรอก แต่ที่พ่อนั่งอยู่ตรงนี้ เผื่อว่าถ้าแม่เขาตื่นมา และอาจจะต้องการอะไรบ้าง” การระลึกถึงเรื่องที่ผุดขึ้นมาในความคิดเวลานั้น ทำให้นอร์แมนมีกำลังใจและเข้มแข็งที่จะอดทนในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้
อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นของ Keith Miller เขาเล่าเรื่องที่พ่อเขากำลังจะตายอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เขาเล่าว่า “ขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่นั่น กำลังสั่นศีรษะ ก็มีซิสเตอร์โรมันคาทอลิกรูปร่างเล็กๆคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เธอเดินไปอีกด้านข้างหนึ่งของเตียงที่พ่อนอนอยู่ จับมือของพ่อขึ้นมา ลูบมือนั้นเบาๆ และพูดเสียงอ่อนโยนว่า ‘คุณได้ยินฉันไหม’ พ่อพยักหน้า และเธอก็พูดต่อ ‘คุณได้เคยยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นพระผู้ไถ่หรือไม่’ พ่อสั่นศีรษะตอบว่า ‘ไม่เคย’ ‘แล้วคุณจะยอมรับตอนนี้ไหม’ พ่อตอบว่า ‘โอ…รับครับ’ แล้วเธอก็ขอให้พ่อพูดตามเธอว่า ‘ฉันขอรับพระองค์ พระเยซูคริสตเจ้า ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ไถ่ของฉัน’ พ่อพูดตาม แล้วพ่อก็ตาย”
เห็นไหมครับ การเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพแบบซื่อๆ จากเหตุการณ์รอบๆตัวที่เราประสบ สามารถทำได้ไม่ยาก ถ้าเรามีทั้งความเชื่อและการกระทำ อย่าลืมว่า ชีวิตและการกระทำของเรามันดังกว่าคำพูดในการเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้า
ดังนั้นขอให้เรากระทำให้เห็นในสิ่งที่จะเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้า อย่าลืมว่า แม้เสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระบิดาแล้ว ก็ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ