Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 6 เทศกาลปัสกา ปี A

“และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา”

ชายคนหนึ่งกำลังเดินมาบนถนน เขาพบชาวนาคนหนึ่งจึงสอบถามว่า “ฉันเดินทางมาจากที่ไกล อยากจะตั้งหลักปักฐานที่เมืองข้างหน้านี้ ช่วยบอกฉันหน่อยว่า คนในเมืองนี้เป็นอย่างไร” ชาวนาถามกลับว่า “แล้วชาวเมืองที่ท่านละทิ้งมาล่ะ เป็นคนแบบไหน” เขาตอบว่า “โอ พวกเขาเป็นคนไม่ดี เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคุณ” ชาวนาก็ตอบบ้างว่า “คุณจะพบคนประเภทเดียวกันนั้นในเมืองข้างหน้าที่คุณตั้งใจจะเข้าไปอยู่” ชายนั้นจึงจากไปเพื่อไปแสวงหาเมืองอื่นที่ดีกว่า

ต่อมาในวันเดียวกันนั้น มีนักเดินทางอีกคนหนึ่งมาถามชาวนาคนนั้น เพราะเขาคิดจะมาอาศัยอยู่ในเมืองข้างหน้านี้เช่นกัน เขาถูกย้อนถามคำถามเดียวกันคือ “แล้วผู้คนในเมืองที่คุณจากมาเป็นคนแบบไหนกัน” เขาตอบว่า “โอ ผู้คนดีมาก ผมไม่อยากจากมาเลยถ้าไม่จำเป็น พวกเขาสนุกสนานยามมีความสุขด้วยกัน และช่วยเหลือกันในยามทุกข์ ผู้คนโดยพื้นฐานแล้วค่อนข้างดีและเป็นมิตร” ชาวนาตอบว่า “คุณจะพบคนแบบเดียวกันนั้นในเมืองข้างหน้า”

เพราะว่าเราทุกคนถูกสร้างขึ้นมาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า จึงเป็นความจริงด้วยที่เราจะพบพระในทุกๆคนที่เราพบเจอ นี่เองเป็นเหตุผลอย่างเพียงพอที่เราจะรักทุกๆคน

ในจดหมายของนักบุญยอห์นฉบับที่หนึ่งเขียนไว้ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1ยน 4:8) ดังนั้น ความรัก กับ พระเจ้า เป็นสิ่งเดียวกัน เราสามารถใช้คำแทนกันและกันได้ เมื่อไรก็ตามที่เราพบกับความรักที่แท้จริง เราพบกับพระเจ้า เมื่อเราพบพระ เราจะมีประสบการณ์ต่อการประทับอยู่ของพระองค์ เราเพียงแต่ฝึกฝนประสบการณ์ของการให้ความรักและรับความรัก แล้วเราจะพบว่าพระเจ้านั้น น่าพิศวง งดงามยิ่งนัก เปี่ยมด้วยพลัง และความยินดีเบิกบาน ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่การปฏิสัมพันธ์ของความรักเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พระเจ้าจะทรงมาประทับอยู่ ณ ที่นั้นเอง

กระแสเรียกของการเป็นคริสตชนของเราก็คือให้เราเป็นบุคคลที่น่ารักอย่างลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ ความรักของเราหมายถึงการมองไปสู่ทุกๆชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของคนจน เด็กๆ คนชรา คนทุกข์ยากลำบาก คนต่างด้าว คนทำผิด หรือคนที่นิ่งเฉย โดยที่เราต้องเข้าไปช่วยรับรองถึงศักดิ์ศรีและสิทธิของบุคคลที่ต้องรับแอกภาระหนักเหล่านั้น ถ้าเราจำกัดความรักเฉพาะตัวเรา เราจะพลาดสิ่งเหล่านี้ไป เพราะจุดมุ่งหมายจริงๆ ของการเจริญชีวิตคริสตชนคือการเผยแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงมาบังเกิดในเรา แม้ว่าเราจะไม่สมบูรณ์ครบครันก็ตาม

รูปแบบที่ชัดเจนเราจะพบในพระวรสารว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลที่น่ารักมาก พระองค์ทรงรักบรรดาศิษย์ ทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุด ในการกล่าวคำปราศรัยเพื่ออำลาบรรดาศิษย์ พระองค์ทรงมอบบทบัญญัติแห่งความรักให้กับพวกเขา พระองค์ทรงสัญญาว่าเมื่อพระองค์เสด็จสู่สวรรค์แล้ว จะทรงวอนขอพระบิดาให้ประทานพระผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้กับพวกเขา เพื่อจะได้อยู่กับพวกเขาตลอดไป ใครที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ พระองค์จะทรงรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา

บนกำแพงทางที่จะเดินเข้าไปในป้อม Alamo ที่อยู่ในเมืองซานอันโตนีโอ (San Antonio) มลรัฐเท็กซัส มีรูปภาพของบุคคลสำคัญคนหนึ่งตั้งไว้ มีคำจารึกเขียนไว้ว่า “James Butler Bonham” อันที่จริงไม่ใช่รูปจริงของท่าน แต่เป็นรูปของหลานท่านที่ตายไปแล้ว หลานคนนี้มีความเหมือนกับลุงมาก ที่ครอบครัวเขาเอารูปนี้มาแขวนไว้แทน ก็จะได้ให้ประชาชนพอที่จะมองเห็นภาพของคนๆหนึ่งที่ยอมตายเพื่ออิสรภาพของดินแดนแห่งนี้

เช่นเดียวกัน ไม่มีภาพจริงของพระเยซูเจ้าปรากฏอยู่ แต่ในความเหมือนกับองค์พระบุตรผู้ทรงไถ่เราให้เป็นอิสระ จะถูกมองเห็นได้ในบรรดาผู้ติดตามที่แท้จริงของพระองค์นั่นเอง ความรักของพระเยซูเจ้าจะแปรเปลี่ยนชีวิตของเราให้เป็นไปในแบบที่พระองค์ทรงถูกมองเห็นผ่านทางตัวเรา

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ อีวาน ที่ 4 (Ivan IV) เป็นพระเจ้าซาร์ของจักรวรรดิรัสเซีย เขาเป็นคนโหดร้ายมากจนผู้คนเรียกชื่อเขาว่า “อีวาน ผู้น่าขนพองสยองเกล้า” (“Ivan the Terrible”) เขาได้อภิเษกสมรส 7 ครั้ง และทำร้ายมเหสีทุกองค์ เขาเป็นคนไม่มีศีลธรรมและรุนแรงโหดร้าย เช่น ชอบโยนสัตว์ลงมาจากกำแพงเครมลิน เพื่อจ้องมองพวกมันตาย แต่แล้วเขาเองก็ตายในปี ค.ศ. 1584 นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า พวกลูกน้องของเขาได้จับศพโกนหัว และให้ใส่ชุดนักบวช คือชุดของฤาษี ก่อนที่จะนำไปฝัง โดยหวังว่า พระเจ้าจะทรงคิดว่า Ivan the Terrible เป็นฤาษี และจะทรงให้เข้าสวรรค์

เราไม่สามารถปลอมตัวเข้าสวรรค์ได้หรอกครับ เพราะพระเจ้าทรงรู้จักเราเป็นอย่างดี ทรงรู้จักเราทุกคน แต่ละคน และกิจการต่างๆที่เราได้กระทำ ความรักของเราต่อพระเจ้า และต่อเพื่อนพี่น้องต่างหาก ที่จะพิสูจน์ความเป็นบุคคลจริงของเรา

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ วันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2020
Based on : Ignite Your Spirit, by : Fr John Pichappily)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 6 เทศกาลปัสกา ปี A

หนึ่งในผลร้ายที่ตามมาหลังสิ้นสุดสงคราม ก็คือจะมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกทิ้งให้เป็นกำพร้า บางทีเราเห็นรูปภาพต่างๆของเด็กที่สิ้นหวังเหล่านี้ บางรูปอาจจะเห็นพวกเขาถูกโอบกอดโดยหมอของกองทัพ หรือบุคลากรของกาชาด แต่สายตาของพวกเขามีแต่ความว่างเปล่าและแสนเศร้า ผู้คนพยามช่วยเด็กๆเหล่านี้ให้มีอาหาร มีเสื้อผ้า และที่พักพิง แต่มีบางสิ่งที่เป็นที่ต้องการมากกว่ามากนัก มากกว่าความรักด้วย คือพวกเขาปรารถนาจะเป็นที่ต้องการของใครบางคน ต้องการมีครอบครัว ต้องการมีความรู้สึกเป็นบ้าน ซึ่งความช่วยเหลืออื่นๆไม่สามารถจัดหาสิ่งนี้ให้เขาได้ ความว่างเปล่า และ ความเศร้า สามารถเติมให้เต็มได้ด้วยสัมพันธภาพที่มีความหมาย และที่คงอยู่ตลอดไปเท่านั้น

มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนานมาแล้ว คือมีนักท่องเที่ยวสามีภรรยาชาวอเมริกันคู่หนึ่ง เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทยเป็นเวลาสามเดือน วันหนึ่งได้ไปเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง พวกเขาเห็นเด็กๆน่ารักมากมาย รู้สึกทั้งรักทั้งสงสาร อีกทั้งเขาทั้งสองก็ไม่มีลูก จึงคิดจะรับเด็กจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเป็นบุตรบุญธรรม พวกเขาตั้งใจจะรับเลี้ยงสองคนเพื่อจะได้เป็นเพื่อนกัน ในสมัยก่อนนั้น การขอเด็กกำพร้าจากสถานเลี้ยงเด็กทำได้ไม่ยากนัก ไม่ต้องตรวจคุณสมบัติต่างๆมากมายเหมือนปัจจุบัน ทั้งคู่ได้แจ้งไปยังสถานเลี้ยงเด็กแห่งหนึ่ง แสดงเจตจำนงว่าจะรับเด็กสองคนไปเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบพิจารณาเห็นว่าทั้งคู่มีเจตนาที่ดี และมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีหลักประกันที่มั่นคง จึงอนุญาตให้สามีภรรยาคู่นั้นมารับเด็กสองคนไป เมื่อทั้งคู่ไปถึง เจ้าหน้าที่พาไปยังห้องหนึ่ง มีเด็กนั่งเป็นแถวเป็นแนวเต็มห้อง เด็กที่หน้าตาน่ารัก เจ้าหน้าที่ก็จะจัดให้นั่งแถวหน้าไล่เรียงกันไปตามลำดับ สามีภรรยาคู่นี้ทักทายเด็กๆด้วยหน้าตายิ้มแย้ม และหลังจากนั้นทั้งคู่ได้บอกเจ้าหน้าที่ว่าต้องการเด็กสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังสุด เจ้าหน้าที่ตกลง แต่ด้วยความสงสัยจึงถามว่า “ทำไมพวกคุณไม่เลือกเด็กหน้าตาน่ารักที่นั่งแถวหน้าๆล่ะครับ” ทั้งคู่ตอบว่า “เด็กที่น่ารักที่อยู่แถวหน้าๆนั้น เดี๋ยวก็มีคนมารับไปอุปถัมภ์ แต่เด็กที่อยู่ท้ายห้อง เขาอาจจะไม่ค่อยมีใครต้องการเขา เราจึงต้องการให้เขารู้สึกว่าเราต้องการให้เขามาเป็นส่วนในครอบครัวของเรา”

รากศัพท์คำว่ากำพร้า (orphan) หมายถึงการที่ไม่มีพ่อ(without a father) คำนี้นำมาใช้ในพระวรสารวันนี้อธิบายถึงบรรดาศิษย์ที่จะสูญเสียการประทับอยู่ของพระอาจารย์ที่รัก เพลโต(Plato นักปราชญ์กรีกโบราณ อยู่ในช่วงปี 427 – 347 ก่อนคริสตกาล) ได้เล่าว่าเมื่อโซเครตีสตาย (Socrates นักปราชญ์กรีกโบราณ อยู่ในช่วงปี 469 – 399 ก่อนคริสตกาล) บรรดาลูกศิษย์ของเขาคิดว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายและสิ้นหวัง เหมือนลูกๆที่สูญเสียพ่อไป และพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป นี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงคิดไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาศิษย์ภายหลังการสิ้นพระชนม์ ดังนั้นจึงตรัสไว้ว่า “เราจะไม่ทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้า” นี่หมายความว่าจะไม่มี “ลูกกำพร้า” ในพระอาณาจักรของพระเจ้า

Margaret Fishback สาวน้อยผู้แสวงหาทิศทางเดินเมื่อชีวิตมาถึงทางแยก เธอได้ประพันธ์บทกวีที่งดงามบทหนึ่ง ใช้ชื่อว่า “รอยประทับ” หรือ “รอยเท้า” Footprints ซึ่งต่อมาแพร่หลายไปในที่ต่างๆ ในการ์ด ในปฏิทิน และโพสเตอร์ ให้คนเป็นล้านๆคนได้อ่านและรู้จักบทกวีนี้ ข้อความในบทกวีคือ :

“คืนหนึ่งฉันฝันไป ฝันว่ากำลังเดินที่ชายหาดกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ่านท้องฟ้าที่เป็นภาพสะท้อนฉากต่างๆในชีวิตของฉัน แต่ละฉากๆฉันสังเกตเห็นรอยเท้าคู่ประทับบนผืนทราย หนึ่งเป็นของฉัน อีกหนึ่งเป็นของพระองค์ เมื่อถึงฉากสุดท้ายของชีวิตที่สะท้อนกลับมาให้ฉันเห็น คือเมื่อฉันหันกลับไปมองรอยเท้าบนผืนทราย ฉันสังเกตเห็นว่ามีหลายช่วงระหว่างทางเดินของชีวิต ที่มีแค่รอยเท้าเดียวบนผืนทราย และฉันก็สังเกตด้วยว่ามันมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตกต่ำและเศร้าที่สุดในชีวิตของฉัน

สิ่งนี้รบกวนจิตใจฉันมาก ฉันจึงถามพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ได้ตรัสไว้ว่าเมื่อฉันตัดสินใจจะติดตามพระองค์ พระองค์จะร่วมเดินทางไปด้วยตลอดเส้นทาง แต่ฉันสังเกตว่าช่วงที่ฉันพบกับความยากลำบากที่สุดในชีวิต ทำไมมีแค่รอยเท้าเดียว ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาที่ฉันต้องการพระองค์มากที่สุด พระองค์ทรงละทิ้งฉันไปได้อย่างไร” องค์พระเจ้าตรัสว่า “เด็กน้อยที่เปี่ยมค่าของฉัน ฉันรักเจ้า และจะไม่มีวันละทิ้งเจ้าในช่วงเวลายุ่งยากและลำบากเดือดร้อน เมื่อใดก็ตาม ที่เจ้าเห็นรอยเท้าแค่ชุดเดียว มันหมายความว่าฉันได้กำลังแบกเจ้าไว้”

บางครั้ง เราอาจจะรู้สึกว่าเป็น “กำพร้า” “หงอยเหงา” และ “โดดเดี่ยว” ในพระวรสารของวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงรับประกันว่าจะไม่ทรงปล่อยให้เราเผชิญหรือดิ้นรนตามลำพัง พระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทับอยู่กับเราต่อไป โดยทางพระจิต ผู้ซึ่งจะเป็น

– พระผู้บรรเทา (consoler)

– พระผู้วอนขอแทน (intercessor)

– พระผู้คอยให้คำแนะนำ (counsellor)

– พระผู้คอยปกป้อง (protertor)

– พระผู้คอยสนับสนุน (supporter)

– พระผู้คอยปลอบโยน (conforter)

– พระผู้เป็นองค์ทนาย (advocate)

ในทุกๆช่วงชีวิตประจำวันที่ขึ้นๆลงๆของเรา

ข่าวดีที่บอกในที่นี้คือว่าในการเดินทางของชีวิตนี้ แม้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่เราไม่ได้ถูกปล่อยให้เดินทางอย่างเดียวดาย

(วิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2020
Based on : The Table of the Word
By : John Pichappilly)