Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลปัสกา ปี A

“วิถีทาง" ของพระเยซูเจ้าคือ "หนทางแห่งความรัก"

การเดินทางเพื่อประท้วงที่เมืองดันดีของมหาตมคานธี เริ่มต้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ.1930 ถือเป็นหมุดหมายในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประเทศอินเดีย มหาตมคานธีได้ร่วมเดินทางกับสัตยมิตรอีก 78 คน เป็นเวลา 23 วันโดยเริ่มออกจากเมือง Sabarmati Ashram ไปยังเมืองชายฝั่งทะเลที่ชื่อว่า Dandi ระยะทาง 380 กิโลเมตร เพื่อต่อต้านภาษีเกลือที่ออกบังคับใช้โดยพวกบริติช ระหว่างเดินทางเลียบชายฝั่ง คานธีบันทึกไว้ว่าท่านได้สอนประชาชนให้ทำเกลือตามชายฝั่ง ตรงไหนก็ได้ ที่สะดวกและเหมาะสมที่จะทำ และในการฉลองครบรอบ 75 ปีของเหตุการณ์นี้ ซึ่งจัดขึ้นในปี ค.ศ. 2005 มีการจัดกิจกรรมให้เดินตาม “รอยทางแห่งประวัติศาสตร์” นี้ เป็นการระลึกถึงผู้นำยิ่งใหญ่ที่ได้เคยประทับรอยเท้าบนหนทางที่น่าพิศวง เป็นรอยเท้าที่ประทับบนทรายแห่งกาลเวลา

พระเยซูเจ้าตรัสไว้ในพระวรสารของวันนี้ว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต” บางคนที่มีความคิดสุดโต่งบอกว่า พระเยซูเจ้าทรงต้องการปฏิเสธหนทางอื่น ทรงต้องการล้มล้างความจริงอื่นๆ และทรงต้องการลบรูปแบบชีวิตอื่นๆทั้งหมด เหมือนกับว่าทรงต้องการผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว แต่อย่าลืมว่า พระวรสารตอนนี้จัดอยู่ในหมวด “คำปราศรัยอำลา” ของพระเยซูเจ้า (เริ่มจากยอห์นบทที่ 13 – 17) ก่อนจะทรงถูกจับกุม เมื่ออยู่ในบริบทนี้ ต้องเข้าใจว่าจุดมุ่งหมายของพระองค์ก็คือ ทรงต้องการปลอบใจบรรดาอัครสาวกว่า อย่ากลัวเลย ถ้าต่อไปพระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ด้วยแล้ว พวกเขาต้องดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติใหม่ที่ทรงมอบให้พวกเขา นั่นคือ “จงรักกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักท่าน” พระองค์ทรงต้องการให้บรรดาอัครสาวกเดินไปบนหนทางที่คนจะจดจำได้ โดยตรัสว่า “ด้วยวิธีนี้ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา ถ้าท่านรักกันและกัน” ดังนั้น “วิถีทาง” ของพระเยซูเจ้าก็คือ “หนทางแห่งความรัก การบริการรับใช้ และการอุทิศตน” โดยมีแรงบันดาลใจมาจาก “ความคิดที่ถูกต้อง = ความจริง” และ “การกระทำที่ถูกต้อง = ชีวิต” นั่นเอง

ในคำกล่าวปราศรัยเพื่ออำลานั้น แน่นอนต้องมีคนถามว่า “แล้วคุณจะไปที่ไหน” ในที่นี้ โทมัสถามว่า “พระเจ้าข้า พวกเราไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด แล้วเราจะรู้จักหนทางได้อย่างไร” จริงอยู่ที่หลายๆครั้งพระเยซูเจ้าทรงทำนายถึงหนทางเบื้องหน้าของพระองค์ว่าจะต้องมีการทนทุกข์ทรมานและความตาย แต่พระองค์ก็ทรงเน้นด้วยว่าหนทางนั้นจะนำไปสู่จุดสูงสุด คือชีวิตนิรันดรอย่างแน่นอน “เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน… ในบ้านของพระบิดาของเรามีที่พำนักมากมาย” เหมือนกับว่าพระเยซูเจ้าทรงให้คำสัญญากับบรรดาอัครสาวกว่า ถ้าเขากล้าเดินตามทางของพระองค์ เขาจะได้เป็นทายาทแห่งบ้านแท้นิรันดรในสวรรค์

เราลองมาพิจารณาเนื้อหาของบทอ่านที่หนึ่งที่นำมาจากหนังสือกิจการอัครสาวกกันหน่อยนะครับ จำนวนคริสตชนในสมัยแรกเริ่มเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว บรรดาอัครสาวกใช้กรุงเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลางของการประกอบพันธกิจ ผู้กลับใจมาเป็นคริสตชนส่วนใหญ่เป็นชาวยิว แต่ต่อมาไม่นานก็มีชาวกรีกเข้ามาร่วมด้วย พระศาสนจักรกลายเป็นนานาชาติ และการเป็นสากลมากขึ้นนี้ก็นำมาซึ่งสาเหตุของความยากลำบาก และความขัดแย้งด้วย ซึ่งตอนที่นำมาในวันนี้เป็นความขัดแย้งในเรื่องการแจกทานให้คนจน ก่อนจะลงรายละเอียดเรื่องนี้ เรามาปูพื้นฐานความเป็นมากันก่อนนะครับ ดูจากธรรมเนียมของชาวยิวที่อิงกับข้อกำหนดว่า ทุกคนที่มีหลักแหล่งแน่นอนแล้ว ต้องใส่เงินลงในกล่องรับบริจาคสำหรับคนจนที่อยู่ในพระวิหารอย่างน้อยที่สุดเดือนละครั้ง จะมีชายสองคนคอยรวบรวมเงินบริจาคจากกล่องนี้ และด้วยวิธีนี้ อาทิตย์ละสองครั้งที่บรรดาคนจนจะได้รับการแจกอาหารเท่าๆกันสองมื้อในหนึ่งวัน และดูเหมือนระบบนี้นี่เองที่คริสตชนสมัยแรกๆได้นำมาใช้ด้วย แต่เมื่อมีคนจนมากขึ้น จึงเกิดปัญหาขึ้นมา เรื่องก็คือบรรดาแม่ม่ายที่พูดภาษากรีกถูกละเลย จึงไปบ่นให้บรรดาอัครสาวกฟัง นี่น่าจะเป็นหนึ่งในปัญหาที่เริ่มเกิดขึ้น บางทีพวกพูดกรีกอาจจะไม่มีผู้นำของพวกเขาเอง บรรดาอัครสาวกก็เป็นชาวยิว และพวกท่านก็ปฏิเสธที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงิน งานหลักของพวกท่านคือการประกาศพระวาจาและสวดภาวนา ดังนั้นจึงตั้งชายเจ็ดคนที่พูดภาษากรีก(จะเห็นชื่อของพวกเขาทุกคนเป็นชื่อภาษากรีก) พวกนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรับใช้คนยากจนทั้งหลาย มีสองคนจากเจ็ดคนที่โดดเด่นคือ สเทเฟน และฟิลิป เพราะนอกจากทำงานรับใช้แล้ว บรรดาอัครสาวกยังอนุมัติให้ทั้งสองช่วยงานประกาศพระวาจาอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า นี่เป็น “วิถีทาง” ของการดำเนินชีวิตของคริสตชนในสมัยแรกๆ พระศาสนจักรในสมัยเริ่มแรกกำลังค่อยๆเปิดทางสู่ความพร้อมโดยองค์พระจิตเจ้า เพื่อจะเติบโตขึ้นเป็นพระศาสนจักรคาทอลิก ศักดิ์สิทธิ์ สากล ที่คนทุกชาติมีที่มีทางของตนเองอยู่ในนั้น

ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือพระศาสนจักรสมัยแรกเริ่ม หรือคริสตชนกลุ่มแรกๆ ถูกเรียกว่าเป็น “วิถีทาง” ( = The Way ) เรามาดูข้อความที่บันทึกไว้ในหนังสือกิจการอัครสาวกมีว่าดังนี้ “(เซาโล)ขอหนังสือมอบอำนาจไปยังศาลาธรรมต่างๆในเมืองดามัสกัส เพื่อจะได้จับกุมทุกคนที่พบ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ดำเนินชีวิตตาม วิถีทาง ของพระคริสตเจ้า แล้วนำไปยังกรุงเยรูซาเล็ม” (กจ 9:2) ถ้าดูฟุตโน้ตจากหนังสือพระคัมภีร์ของคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์อธิบายดังนี้ “คำว่า ‘วิถีทาง’ คือแนวทางดำเนินชีวิตซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มคริสตชน คำนี้ยังมีความหมายเพิ่มเติม หมายถึงกลุ่มคริสตชนด้วย”

บทสรุป เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นหนทาง” ประการแรกทรงต้องการให้เราทราบว่า พระวาจาของพระองค์คือความจริงที่จะเป็นเหมือนแผนที่สำหรับการก้าวย่างของเรา ประการที่สอง พระองค์ทรงรับรองว่าจะทรงอยู่กับเราในทุกๆก้าวเดินของชีวิต เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มสับสน หรือกำลังจะหลงทางไป พระองค์จะตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงตามเรามาเถิด” และประการสุดท้าย พระเยซูเจ้ามิได้ทรงเป็นแค่เพียง “หนทาง” เท่านั้น แต่ยังทรงเป็นพาหนะที่ช่วยแบกอุ้มพยุงเราไปสู่หนทางสวรรค์ด้วย เราอาจเคยได้ยินเรื่อง “รอยเท้าบนผืนทราย” เมื่อคนๆหนึ่งบ่นว่าพระเจ้าว่า เขาเห็นแค่รอยเท้าเดียวบนผืนทราย ในยามที่เขาตกทุกข์ยาก ต้องทนทรมาน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “รอยเท้าเดียวที่เห็นนั้นเป็นของเราเอง เป็นเราที่แบกเจ้าขึ้นบ่าให้ผ่านมาได้”

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่วันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2020

Based on : (1) Sunday Seeds For Daily Deeds ;
by Francis Gonsalves, S.J.

(2) Speak, Lord! Year A ;
by Fr. Herman Mueller, SVD.)