Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลปัสกา ปี A

พระวรสารของนักบุญลูกาในวันนี้ เล่าเรื่องพระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ศิษย์สองคนที่กำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส (ลก 24:13-35) ซึ่งเป็นเรื่องราวการประจักษ์ที่ยาวที่สุดในพระวรสารทั้งสี่ และเป็นเรื่องที่งดงามที่สุดเรื่องหนึ่งในพันธสัญญาใหม่เลยทีเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องของการเดินทางหรือการอพยพในชีวิตของศิษย์สองคน จริงๆเรื่องการอพยพเป็นจุดศูนย์กลางพระวรสารของนักบุญลูกา ท่านได้เล่าเรื่องว่าพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดมาในช่วงที่บิดามารดาอพยพหรือเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม จบช่วงแรกนี้ตรงที่พระเยซูเจ้าทรงอยู่ในอ้อมแขนของพระนางมารีย์ในการถวายพระองค์ที่พระวิหาร การเดินทางครั้งที่สองคือการที่พระเยซูเจ้าเมื่อพระชนมายุ 12 พรรษาเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับแม่พระและนักบุญโยเซฟ จบช่วงนี้ตรงที่พระวิหารเช่นกัน โดยพระองค์ทรงตั้งใจจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระบิดาของพระองค์ และเมื่อพระชนมชีพเปิดเผยก็นำไปสู่การอพยพครั้งที่สามสู่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งหมดนี้บันทึกไว้ในพระวรสารของนักบุญลูกา ตั้งแต่บทที่ 9-19

ในเมื่อชีวิตของพระเยซูเจ้าเป็นการเดินทางไปสู่พระบิดา ชีวิตสานุศิษย์ของพระองค์ย่อมเป็นการเดินทางสู่กรุงเยรูซาเล็มสวรรค์ตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้าด้วย นักบุญลูกาเล่าเรื่องมาถึงตอนที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ บรรดาศิษย์พากันเสียใจมาก คิดว่าตอนจบมาถึงแล้ว ไม่มีพระเมสสิยาห์อีกต่อไป ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอด พวกสาวกกลับไปบ้านของตนอย่างสิ้นหวัง ไม่มีพระศาสนจักรอีกต่อไป ไม่เหลืออะไรเลย ช่วงเวลาสามปีที่วิเศษที่สุด ที่พวกเขามีความฝันที่งดงาม แต่บัดนี้ พวกเขาตระหนักว่าเป็นเพียงแต่ฝันเพ้อจริงๆ และการตื่นจากหลับก็โหดร้ายมาก ไม่มีความหวังใดๆหลงเหลืออยู่เลย

แต่แล้ว… ก็มีสตรีบางคนทำให้บรรดาศิษย์ประหลาดใจอย่างยิ่ง พวกเธอไปที่พระคูหาในตอนเช้าตรู่ แต่ไม่พบพระศพ แล้วกลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ ซึ่งพูดว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ศิษย์บางคนไปที่พระคูหา และพบทุกอย่างตามที่สตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็นพระองค์ ศิษย์สองคนนี้จึงตัดสินใจเดินทางออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปหมู่บ้านเอมมาอูส คือแทนที่จะมุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม กลับเดินทางออกห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม แทนที่จะมุ่งไปยังทิศตะวันออกสู่แสงสว่าง เขากลับมุ่งไปยังทิศตะวันตกสู่ความมืด ซึ่งไม่ใช่การเดินทางของความเชื่อสู่พระเจ้า แต่เป็นการเดินทางอย่างสิ้นหวัง ออกห่างจากพระองค์ ยิ่งกว่านั้น ลูกายังบอกเราอีกด้วยว่าพวกเขากำลัง “ถกเถียงกัน” คำว่า “ถกเถียง” ในพระวรสารตรงข้ามกับคำกิริยา “ฟัง” ถกเถียงมีความหมายว่า พยายามจะค้นพบด้วยตัวเอง แทนที่จะฟังพระเจ้า ศิษย์สองคนนี้เลือกที่จะออกห่างจากพระเจ้า และยังถกเถียงกันแทนที่จะฟังเสียงของพระองค์ พวกเขาได้หลงทางไป ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงพยายามที่จะช่วยพวกเขาให้รอด เพราะพระองค์เสด็จมาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอด (ลก 19:10)

ดังนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาทั้งสองจำพระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง คิดว่าพระองค์เป็นนักเดินทางคนหนึ่ง แต่พระองค์ทรงเริ่มบทสนทนากับพวกเขาก่อน จะสังเกตเห็นในตอนนี้ว่า พระเยซูเจ้าทรงมีความรักและความพากเพียรมากต่อศิษย์สองคนที่ขลาดกลัว พระองค์อาจไม่ต้องมาเสียเวลาอธิบายพระคัมภีร์ เพียงแต่บอกไปในทันทีว่า “ลืมตาดูสิ เป็นเราเอง” ก็ได้ แทนที่จะทรงทำเช่นนั้น กลับทรงอธิบายทุกสิ่งในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระองค์อย่างอดทน ทรงต้องการให้พวกเขาค้นพบเอง แล้วพวกเขาก็จะเปิดตา พระองค์จะไม่ทรงเปิดตาเขา พระองค์ตรัสไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่า “ดูเถิด เรากำลังเคาะประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารกับเขา และเขาจะกินอาหารร่วมกับเรา” (วว 3:20) และศิษย์ทั้งสองก็ถึงหมู่บ้านจุดหมายปลายทางของพวกเขา จึงรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับเราเถิด เพราะใกล้ค่ำและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปัง และทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือ เมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง และทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง” แล้วนั้นศิษย์ทั้งสองออกเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น ไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทาง และเล่าว่าจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง

เราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์การกลับใจจากศิษย์สองคนที่เดินทางไปเอมมาอูสได้ดังนี้ ประการแรก เราต้องหยุดถกเถียงกัน และฟังพระวาจาของพระเจ้า เราจะรู้สึกหรือไม่ว่าใจของเราเร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายใน ประการที่สอง คือการยอมรับความทุกข์ทรมานในชีวิตของพระเยซูเจ้า และในชีวิตของพวกเราด้วย อย่าลืมพระวาจาของพระองค์ที่ว่า “จำเป็นที่เราต้องทนทรมานเช่นนี้ เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ” การยอมรับทนทรมานนี้จะทำให้ขั้นตอนที่สามเป็นไปได้ คือการพบกับเยซูเจ้า ลูกาเขียนว่า “พวกเขาจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง” เครื่องหมายที่เปิดตาของศิษย์ที่เอมมาอูสคือ เครื่องหมายแห่งการหักปัง กล่าวคือจะทำให้เข้าใจในมุมมองที่พระองค์เป็นปังที่ถูกหัก เพื่อมนุษย์ผู้อื่น เป็นผู้ให้โดยสิ้นเชิง ความตายบนกางเขนไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการที่พระองค์ทรงช่วยให้ชาวเราได้รอดอย่างแท้จริง และจะทำให้เราทุกคนเข้าใจด้วยว่า เราทุกคนได้รับเรียกให้กลายเป็นปังที่ถูกหักในพระเยซูคริสตเจ้า เป็นมนุษย์เพื่อผู้อื่น

ในพิธีบูชามิสซานั้น เราจะได้ฟังพระวาจาของพระเจ้า จะได้เข้าไปอยู่ในพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูเจ้า และจะได้รับศีลมหาสนิท ซึ่งคือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นปังที่ถูกหัก เพื่อเราจะได้เป็นเหมือนพระองค์ คือเป็นปังที่ถูกหักเพื่อคนอื่นๆทั้งหลาย มีเรื่องเล่าที่งดงามจากหนังสือ “Illustrated Sunday Homilies – Year A.” ของ Mark Link, SJ ดังนี้

“หญิงคนหนึ่งเล่าเรื่องหนึ่งที่เธอประทับใจว่า ในฐานะที่เธอเป็นแม่ เธอสวดภาวนาเป็นปีๆ เพื่อให้ลูกชายทั้งสองของเธอกลับมามีความเชื่อศรัทธาอีกครั้งหนึ่ง เช้าอาทิตย์วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังรอฟังมิสซาในวัด เธอเห็นลูกชายสองคนของเธอเข้ามานั่งรอฟังมิสซาไม่ไกลจากที่นั่งของเธอ เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่ก็มีความดีใจอย่างท่วมท้น ภายหลัง เธอถามลูกๆว่าเกิดอะไรขึ้น อะไรทำให้ทั้งคู่กลับมาเข้าวัดอีก ลูกชายคนเล็กเล่าว่า เช้าอาทิตย์วันหนึ่ง ทั้งคู่กำลังขับรถไปเที่ยวแถบภูเขา แต่วันนั้น ฝนตกหนักมาก ทันใดก็เห็นชายชราคนหนึ่งเดินอยู่บนถนน ไม่มีร่มด้วย และเขาเปียกโชกไปทั้งตัว แต่ก็ยังมุ่งหน้าเดินต่อไป ทั้งคู่จึงจอดรถถามว่า ลุงจะไปไหน ลุงบอกจะไปร่วมพิธีมิสซาที่วัดซึ่งอยู่ห่างจากที่นั่นประมาณสี่กิโลกว่า ทั้งคู่จึงพาลุงไป เนื่องจากฝนยังคงตกหนัก และไม่มีอะไรทำ อีกทั้งต้องการจะรับลุงกลับไปส่ง และทั้งคู่ก็ไม่อยากนั่งอยู่ในรถ จึงเข้าไปนั่งในวัดที่เก้าอี้ตรงท้ายๆ ทั้งคู่ได้ฟังพระวาจาของพระเจ้า และอยู่ต่อไปจนถึงภาครับศีลฯ จนจบมิสซา มีบางสิ่งเกิดขึ้นในใจลึกๆของพวกเขา ลูกสรุปว่า “แม่ครับ เรารู้สึกเหมือนกับว่า ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ที่เราจะกลับมาสู่บ้าน หลังการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยและยาวนาน”

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ วันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2020
Based on : รำพึงและเข้าใจพระวรสารนักบุญลูกา
By : คณะภคินีเซนต์ ปอล เดอ ชาร์ตร
– บทเทศน์ของ Fr Andre Gelinas)