Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ปี A

พระวาจาของพระเจ้าที่ตั้งคำถามมาถึงเรา

ครูคำสอนคนหนึ่งกำลังสอนคำสอนเด็กๆ เรื่องการสร้างของพระเจ้า หลังจากอธิบายว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ต่างๆมากมายทุกชนิดแล้ว คุณครูถามเด็กๆว่า “พวกหนูรู้ไหม พระเจ้าทรงสร้างอะไรต่อจากบรรดาสิงห์สาราสัตว์เหล่านั้น” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้น แล้วตอบเสียงดังว่า “คนเฝ้าสวนสัตว์ค่ะ”

เพื่อจะเข้าใจสภาพปัจจุบัน เราต้องมองย้อนกลับไปในอดีต ถ้าเราจะมุ่งดำเนินชีวิตไปข้างหน้า เราต้องเข้าใจในสิ่งเบื้องหลัง จริงๆแล้วทุกๆศาสนา ทุกๆวัฒนธรรมใหญ่ๆยุคโบราณมักจะมีเรื่องเล่าศักดิ์สิทธิ์ที่อธิบายต้นกำเนิดของโลกนี้ แม้เรื่องเหล่านี้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่สิ่งที่เป็นความสำคัญของเรื่องเป็นสิ่งเดียวกัน กล่าวคือ แต่แรกเริ่มมีความดี แต่ต่อมากลับแย่ลง

บทอ่านแรกจากหนังสือปฐมกาล เราได้ยินเรื่องต้นกำเนิดของสิ่งต่างๆ ตามความเชื่อของชาวฮีบรู และยังเล่าต่อไปว่ามันเกิดผิดพลาดในเวลาต่อมาได้อย่างไร ฉากแรกเป็นสถานภาพความสุขในสวนเอเดน ชายและหญิงที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมามีแต่ความสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน ปราศจากความอายใดๆ เพราะดำเนินชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ และอาณาจักรที่มีสัตว์ต่างๆอย่างผาสุก มันเป็นยุคของความไร้เดียงสา และมีสันติสุขกับพระเจ้า แต่อนิจจาสถานการณ์กลับแปรเปลี่ยนไป ในการที่เอวาได้ตัดสินใจกินผลไม้ต้องห้าม พร้อมทั้งยื่นให้อาดัมได้กินด้วย ก็เท่ากับการไม่ฟังพระวาจาของพระเจ้านั่นเอง แล้วนั้น ตาของพวกเขาก็เปิด ได้สัมผัสกับความรู้ใหม่ และขณะเดียวกันก็สูญเสียความไร้เดียงสาไป ความอายต่อตัวเองและความกลัวต่อพระเจ้าก็เข้ามาแทนที่ ปฏิกิริยาแรกของพวกเขา คือการซ่อนบางส่วนของร่างกายของตน และหลบซ่อนตนเองทั้งหมดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า หาอะไรก็ตามมาปกปิดตนเองเอาไว้ หรือมาปกคลุมตนเองไว้ กลายเป็นวิถีทางใหม่ของความสัมพันธ์กับพระเจ้า และความสัมพันธ์ต่อกันและกัน

ผู้เขียนหนังสือปฐมกาลบอกให้เราทราบถึงความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับบาป และผลของบาปที่ตามมา เพราะบาปทำให้เราต้องหลบซ่อนตัว ทุกอย่างบิดเบี้ยวไปจากเดิม ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนดั้งเดิมที่เคยมี หมายความว่า เราไม่สามารถเปิดเผยตนเองทั้งต่อพระ และต่อกันและกัน เราใช้เวลาและพละกำลังของเราไปในการปกปิดซ่อนเร้น เราไม่สามารถเผชิญหน้ากับพระ ในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าต้องเสด็จมาตามหาอาดัมและเอวา ดังนั้น คำถามแรกของพระเจ้าต่อมนุษย์ในพระคัมภีร์คือ “ท่านอยู่ที่ไหน” นี่เป็นคำถามที่มนุษย์จะได้ยินเสมอไป กล่าวคือ ถ้าเรื่องความรอดพ้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่เราจะถูกพบโดยพระเจ้า คำถามแรกนี้ก็จะเป็นพื้นฐานของทุกๆคำถามในพระคัมภีร์ว่า “ท่านอยู่ที่ไหน”

เรื่องที่ดำเนินต่อไปคือ เมื่อพระเจ้าทรงขับไล่อาดัมและเอวาจากสวนเอเดน ไปสู่ที่รกร้างว่างเปล่าแห่งแผ่นดิน มนุษย์รุ่นแรกๆก็เป็นพวกอพยพ ตั้งแต่แรกแล้วที่มีการเนรเทศเกิดขึ้น พวกเขาต้องมาดิ้นรนทำงานอยู่ในโลกเพื่อมีชีวิตรอด โลกที่ความสัมพันธ์ประสามนุษย์มีความเปราะบาง โลกที่ความซื่อตรงต่อพระวาจาของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ท้าทายเสมอ หนังสือปฐมกาลบอกเราว่า บาปเข้ามาในโลกเพราะความไม่นอบน้อมเชื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า แต่ก็ยังมีคำสัญญาของการช่วยไถ่ให้รอดพ้น ที่ทำให้เรามองเห็นแสงแห่งความหวังอยู่รำไร

เหมือนดังที่นักบุญเปาโลบอกเราไว้ในบทอ่านที่สองของวันนี้ว่า “การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ทุกคนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็นำความชอบธรรมที่บันดาลชีวิตมาให้มนุษย์ทุกคนฉันนั้น” และผู้นั้น คือ พระเยซูแห่งนาซาเร็ธนั่นเอง

พระเยซูเจ้าเสด็จมาในพระนามของพระ เหมือนพระเจ้าเสด็จไปในสวนเอเดน พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อแสวงหาผู้ที่หลบซ่อนตนเองจากพระเจ้า “เรามาเพื่อตามหาและช่วยผู้ที่สูญเสียไปให้รอดพ้น” พระเยซูเจ้าคือผู้ที่เสด็จมาหาพวกเรา ทรงเรียกชื่อของพวกเรา ทรงเคาะที่ประตูบ้านของเราเพื่อจะขอเข้าไปข้างใน พระองค์คือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อค้นหาประชาชนที่สูญหายไปนั่นเอง พระภารกิจของพระเยซูเจ้าคือการช่วยให้รอด คำกริยาที่อธิบายถึงพระเยซูเจ้าว่าทรงทำอะไร ต้องถือคำว่า “ช่วยให้รอด” เป็นคำที่สำคัญที่สุด อธิบายได้ครบถ้วนที่สุด ดังนั้นคำว่า “ช่วยให้รอด” ถือเป็นคำกริยาของพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่ หรือพระผู้ช่วยให้พวกเรารอดพ้นนั่นเอง

แต่การช่วยให้รอดของพระองค์ก็ไม่ได้หมายความว่า พระองค์จะเป็นอิสระจากความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ในพระวรสารได้ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงถูกผจญจากปีศาจให้ละทิ้งความไว้วางใจในพระบิดา และให้พระองค์แสวงหาหนทางของอำนาจด้วยการสั่งก้อนหินให้กลายเป็นขนมปัง ให้แสดงความโอ้อวดต่อสาธารณะด้วยการกระโดดจากยอดพระวิหาร และให้แสวงหาสิทธิพิเศษด้วยการครอบครองอาณาจักรรุ่งเรืองต่างๆของโลก ที่จริง นี่เป็นการผจญแบบเดียวกับที่ชาวอิสราเอลเคยได้รับในการเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารก่อนเข้าสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา และเป็นการผจญเดียวกับพวกเราทุกคนที่กำลังเดินทางในเหวน้ำตาแห่งโลกนี้ เพื่อมุ่งสู่บ้านแท้นิรันดร

เราต้องถอดบทเรียนจากการที่พระเยซูเจ้าทรงต่อสู้กับการผจญที่มาเป็นชุดๆเหล่านั้น ทรงเอาชนะปีศาจด้วยอำนาจของพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทรงใช้พระวาจาจากพระคัมภีร์ และทรงใช้ความซื่อสัตย์ต่อพระวาจานั้นเป็นหมุดหมายแห่งพระภารกิจของพระองค์ ทรงดำรงชีวิตด้วยพระวาจาของพระเจ้า และด้วยความนอบน้อมเชื่อฟังต่อพระวาจาของพระองค์นี่เอง ที่ทำให้พระองค์ผ่านพ้นความทุกข์ยากและการผจญต่างๆ จนบรรลุถึงไม้กางเขน ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ยิ่งใหญ่สำหรับความรอดของพวกเรา กล่าวคือ ในความนอบน้อมเชื่อฟังของพระเยซูเจ้าต่อพระวาจาของพระเจ้านั่นเอง เรามนุษย์จึงได้รับการช่วยให้รอด

ตัวอย่างเรื่องการสร้างทางรถไฟในประเทศสหรัฐอเมริกา เส้นทางที่เรียกว่า The Union Pacific Railroad ช่วงที่กำลังก่อสร้างนั้น เขาได้สร้างขาหยั่งสะพานเพื่อข้ามหุบเขาลึกที่กว้างใหญ่ในตะวันตก และเพื่อทดสอบสะพาน ผู้สร้างได้นำเอาตู้รถไฟขบวนหนึ่ง พร้อมเครื่องมือที่มีน้ำหนักเพิ่มเป็นหนึ่งเท่าตัว รถไฟถูกวิ่งไปหยุดอยู่กึ่งกลางสะพานและปล่อยทิ้งค้างไว้ทั้งวัน กรรมกรคนหนึ่งถามว่า “คุณกำลังพยายามจะทำลายสะพานนี้ให้หักลงมาหรือ” พวกผู้ก่อสร้างตอบว่า “ไม่ใช่หรอก เรากำลังพยายามพิสูจน์ว่าสะพานจะไม่หักโค่นลงมาต่างหาก”

เช่นเดียวกัน การผจญที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเผชิญหน้ากับปีศาจ ไม่ได้ออกแบบมาว่าพระองค์จะทรงพ่ายตกในบาปหรือไม่ แต่เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่มีวันที่จะทรงเป็นเช่นนั้น ในเทศกาลมหาพรตนี้ เราถูกเชื้อเชิญให้ยินยอมให้พระเจ้าทรงค้นพบว่าเราอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงถามคำถามเดียวสำหรับทุกคนว่า “ท่านอยู่ที่ไหน” เราจึงควรใช้เวลาในช่วงนี้พิจารณาชีวิตของเราว่ากำลังอยู่ตรงไหน เราถูกท้าทายให้มีเวลาสำหรับฟังพระวาจาของพระเจ้า เราถูกเชื้อเชิญให้ยอมที่พระองค์จะทรงเข้าใกล้เรา เพื่อจะรู้ว่าเราเป็นใคร และเราเป็นอย่างไร

ตามธรรมเนียมแล้วมหาพรตเป็นช่วงเวลาที่เราละเว้นบางสิ่งและรับบางสิ่งเข้ามา จะเป็นการดีหรือไม่ ที่เราจะยอมให้พระวาจาของพระเจ้าอยู่ชิดสนิทกับเรา พระวาจาที่จะมาถามคำถามว่าเราเป็นใคร จึงน่าจะเป็นเวลาที่ช่วยให้เราเป็นผู้ที่ควรจะเป็น เราอาจจะสละเวลาเพียงเล็กน้อย เช่น วันละห้าถึงสิบนาที เพื่ออ่านและรำพึงพระวาจา ยอมให้พระวาจาของพระเจ้ามีอิทธิพลต่อทุกสิ่งที่เราทำ หรือทุกสิ่งที่เราพูด ให้พระวาจาของพระเจ้าค้นพบตัวเรา เพื่อเราจะได้โผล่ออกมาจากที่ซ่อน และค้นพบสันติสุขใหม่อีกครั้งจากการที่มีพระองค์เสด็จมาประทับอยู่กับเรา

((คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride))

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ปี A

“จงทำสงครามให้มีชัยชนะต่อการผจญล่อลวง”

เราเริ่มเทศกาลมหาพรตเมื่อวันพุธรับเถ้าที่ผ่านมา

เถ้าเป็นสัญลักษณ์ถึงการเป็นทุกข์กลับใจ และระลึกว่าเราเป็นมนุษย์ที่รู้ตาย เป็นแต่เพียงดินที่สักวันก็จะกลับไปเป็นดินอีก

เทศกาลมหาพรตจึงเป็นเทศกาลที่เรารื้อฟื้นความเชื่อของเรา โดยเฉพาะเมื่อเรารับศีลล้างบาป เราซึ่งเป็นมนุษย์ผู้รู้ตายได้เข้าร่วมในวงไพบูลย์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร เพราะเมื่อเราตายพร้อมกับพระคริสต์ในการเป็นคนเก่าของเรา เราก็กลับคืนชีพมีชีวิตใหม่ในองค์พระคริสต์ซึ่งเป็นชีวิตนิรันดร

นอกจากนี้ พระศาสนจักรยังเน้นให้เราปฏิบัติศาสนกิจ และกิจการกุศลเป็นพิเศษ เพราะเป็นวิธีที่แสดงออกถึงความเสียใจของเราต่อบาปต่างๆ ที่ได้ทำผิดไป และบาปเหล่านี้แหละที่ทำให้พระเยซูเจ้าทรงยอมรับทนทุกข์แทนมนุษย์ทุกคน

ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย การจะได้รับชีวิตนิรันดรหรือชีวิตพระก็เช่นเดียวกัน ต้องต่อสู้อย่างจริงจังโดยไม่ยอมแพ้ต่อเล่ห์กลของปีศาจ และไม่ยอมแพ้ต่อสัญชาตญาณที่มักจะเข้าข้างตัวเอง ที่มักเห็นแก่ตัวนั่นเอง

พระวรสารของอาทิตย์แรกในเทศกาลมหาพรตนี้ได้พูดถึงเรื่องปีศาจมาผจญพระเยซูเจ้าในถิ่นทุรกันดาร นี่เป็นช่วงก่อนการประกาศข่าวดีของพระองค์ เราจะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เริ่มงานทีเดียวที่พระเยซูเจ้าต้องประกาศสงครามกับปีศาจ และทรงมีชัยชนะเหนือการผจญของมัน เช่นเดียวกัน เมื่อเราเริ่มต้นสู่เทศกาลมหาพรตในปีนี้ เราควรเริ่มต้นด้วยการ ต่อต้านอำนาจของปีศาจและอำนาจของความมืดในตัวเรา และต้องมีชัยชนะให้จงได้ โดยอาศัยความช่วยเหลือของพระ และจริงๆ แล้วเวลาในช่วงนี้เป็นเวลาแห่งพระพร เป็นเวลาแห่งพระเมตตา คือเมื่อเราเสียใจและขออภัยจากพระองค์ ก็จะทรงยกให้และประทานพระหรรษทานแถมอีกต่างหาก

นักเขียนผู้หนึ่งเขียนว่า ถ้าเราย้อนเวลากลับไปในอดีต เช่นกลับไปในสมัยพระเยซูเจ้า สมมุติว่าเราพบชาวยิวห้าคนแรก เราถามพวกเขาคำถามเดียวกันว่า อะไรคือการปฏิบัติศาสนกิจของเขา ให้บอกมาสักสามอย่าง เ ราอาจจะแปลกใจมากที่ทุกคนจะตอบเหมือนๆ กัน คือ การทำบุญให้ทาน การภาวนา และการจำศีลอดอาหาร

ทั้งสามอย่างนี้แหละที่พระศาสนจักรเชื้อเชิญให้เราปฏิบัติ แต่ก็เน้นให้เราทำด้วยจิตบริสุทธิ์ ทำโดยให้พระเท่านั้นที่รู้ ไม่ใช่ทำเพื่อให้มนุษย์เห็น ให้คนจำนวนมากมาชมเรา อาจจะทำให้หน้าเราขยายใหญ่ขึ้น แต่ก็ถือว่าได้คำชมไปแล้ว แต่ควรทำแบบลับๆ ให้แต่พระบิดาผู้เดียวได้ทรงรู้จะยิ่งดียิ่งนัก

ขอให้เราตั้งใจจริงกับการทำกิจใช้โทษบาป เป็นทุกข์กลับใจต่อสู้กับอำนาจของปีศาจ และต่อสู้กับสัญชาติญาณฝ่ายต่ำของตนเอง เพื่อให้การเดินทางแห่งเทศกาลมหาพรตในปีนี้ นำเราไปสู่การเฉลิมฉลองธรรมล้ำลึกปัสกาของพระเยซูเจ้าอย่างมีความหมายต่อชีวิตของเรามากที่สุด

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2011)