
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา ปี A
“จงรักศัตรู”
เฮโรดผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นปาเลสไตน์ในสมัยที่พระเยซูเจ้าทรงบังเกิด ได้ชื่อว่าเป็นคนหวาดระแวงจนเป็นโรคจิต เขาหวาดระแวงเสมอๆ และยิ่งชราก็ยิ่งระแวงมากขึ้น ในวัยชราเขาได้รับการขนานนามว่า “ชายชราผู้กระหายเลือด”
เมื่อเขาเริ่มสงสัยว่าใครจะมาเป็นคู่แข่งทางอำนาจกับเขา เขาจะกำจัดบุคคลนั้นโดยฉับพลันทันที เขาได้สังหารภรรยาคนที่สองของเขาที่ชื่อมาเรียมและแม่ของเธอ เขาได้สังหารบุตรหัวปีของเขาที่ชื่อแอนติเปเตอร์ด้วย และลูกๆ อีกสองคนของเขาที่ชื่ออเล็กซานเดอร์ และอริสโตบูลูส เขาช่างเป็นฆาตกรโรคจิต ซึ่งแม้แต่จักรพรรดิออกัสตัสแห่งอาณาจักรโรมันยังกล่าวว่า “เป็นหมู(สัตว์เลี้ยง)ของเฮโรด ดีกว่าเป็นลูกชายของเขา”
เพราะหลักในการใช้ชีวิตของเฮโรดขึ้นอยู่กับอำนาจ เขาทำทุกสิ่งเพื่อมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่มากดอำนาจของเขาให้ต่ำลง
เราแต่ละคนก็มีหลักการแห่งชีวิตที่เรายึดมั่น และถือว่ามาเป็นลำดับแรกๆ ของชีวิตเรา เช่นบางคนถือเอาเรื่องของความสนุก บางคนถือเรื่องของความปลอดภัย หรือความพึงพอใจ หรือความสำเร็จ หรือชื่อเสียง หรือเงินทอง
แต่หลักการที่สำคัญของชีวิตของพระเยซูเจ้าคือความรัก คำสอนที่โดดเด่นของพระองค์ คือ รักพระเจ้า สุดจิตใจ สุดปัญญาและความคิด และจงรักเพื่อนพี่น้องเหมือนรักตนเอง ถ้าปฏิบัติเช่นนี้ได้ เราจะมีชีวิตนิรันดร
พระเยซูเจ้าทรงกระตือรือร้นในการเป็นทนายแห่งความรัก พระองค์ทรงทราบถึงพลังที่ขับเคลื่อนอยู่ในความรักเป็นอย่างดี ว่ามันไม่เป็นเพียงพลังงานเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งการเยียวยาทั้งผู้คนและโลกนี้ที่กำลังจะย่อยยับไป
คุณพ่อทิยาร์ด เดอ ชาแดง เป็นทั้งพระสงฆ์และนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้ว่า
“หลังจากการควบคุมลม คลื่น กระแสน้ำ และแรงโน้มถ่วงต่างๆ แล้ว ถ้ามนุษย์เริ่มต้นเข้าแสวงหาพลังแห่งความรักต่อพระเจ้า มนุษย์จะค้นพบไฟเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ของโลกนี้ทีเดียว”
พระเยซูเจ้าได้ทรงสอนบรรดาอัครสาวกให้มีความรักไม่เฉพาะแต่เพื่อนบ้านเท่านั้น แต่จงรักศัตรูด้วย ที่จริงความรักต่อศัตรูนั้นไม่เพียงเพื่อความดีของศัตรูเท่านั้น แต่เพื่อความดีและคุณประโยชน์สำหรับผู้ปฏิบัติด้วย เพราะไม่ทำให้เราเสียสุขภาพจิต เวลาที่เราด่าว่าศัตรู หรือคิด หรือลงมือทำร้ายศัตรู เปรียบเหมือนการยิงลูกกระสุนออกไป และมันจะไม่กระทบเป้าหมายโดยทันทีนอกจากผ่านทะลุกายและใจของผู้ที่ลงมือกระทำเสียก่อน
ส่วนการให้อภัย และการตอบสนองความไม่ดีด้วยความรัก กระทำคุณประโยชน์ให้กับชีวิตเราอย่างมากมาย เป็นการสะท้อนให้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นองค์แห่งความดีบริบูรณ์ “พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม”
ดังนั้น ถ้าเรารู้จักให้อภัยต่อศัตรู เราก็ปฏิบัติการเหมือนองค์พระเจ้า (When we forgive our enemies, we act like God)
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา ปี A
“จงรักศัตรู”
มีเรื่องเล่าว่า มีชายชราศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งชอบไปนั่งรำพึงภาวนาภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาในตอนเหนือของอินเดีย สถานที่ท่านเลือกเผอิญอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่นักแสวงบุญชาวฮินดูจะมาอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชำระล้างพวกเขาจากบาป เช้าวันหนึ่ง เมื่อท่านรำพึงภาวนาเสร็จแล้ว ท่านสังเกตเห็นแมงป่องตัวใหญ่กำลังลอยในสายน้ำที่ไหลเชี่ยวแบบที่ไร้ความหวัง แต่เผอิญมีรากไม้ที่ยื่นลงไปในแม่น้ำที่มันเข้าไปติดในรากไม้ยาวนั้น ยิ่งมันพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดเป็นอิสระขึ้นมาให้ได้ มันกลับยิ่งถูกพันเข้าไปในระหว่างรากลึกลงไปอีก ชายชรานี้เห็นดังนี้ก็เอื้อมมือไปจนถึงเพื่อช่วยให้มันรอดขึ้นมาให้ได้ แต่ทันทีที่สัมผัสตัวมัน แมงป่องก็ยกหางทิ่มพิษของมันเข้าไปในชายชรานั้นอย่างแรง แต่ชายชราก็เข้าไปสัมผัสมันอีก และช่วยจนมันเป็นอิสระในที่สุด ระหว่างนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาเห็นพอดี เขาตะโกนว่า “ลุงๆ ลุงปกติดีหรือเปล่า หรือลุงถ้าจะบ้า ทำไมเสี่ยงชีวิตไปช่วยสัตว์ที่เป็นสิ่งสร้างแสนน่าเกลียดนี้” ชายชราแม้จะเจ็บมือจากการถูกต่อย หันมาพูดว่า “หนุ่มเอ๋ย มันเป็นธรรมชาติของแมงป่องที่มันจะต้องต่อย แล้วทำไมลุงจะต้องละทิ้งธรรมชาติของลุงในการช่วยรักษาชีวิตมันไว้ล่ะ”
.
วิถีของการเป็นศิษย์ของพระคริสต์
.
ในพระวรสารของวันนี้ เราจะได้ยินคำสอนของพระเยซูเจ้าว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความร้ายกาจและความเกลียดชัง พระเยซูเจ้าทรงพัฒนาความหมายทางกฎหมายให้ถูกต้อง ทรงต่อเติมให้เต็มกว่าแต่ก่อนที่ถือๆกันมา ทรงใช้สำนวนโวหารว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า… แต่เรากล่าวว่า…” คือพระองค์ทรงอ้างหลักกฎหมายโบราณก่อน เช่นกฎของการแก้แค้น ที่กฎโบราณกำหนดแน่ชัดว่ามีขอบเขตทำได้แค่ไหน เรามาลองสำรวจดูนะครับ
.
“ผู้ใดทำให้เพื่อนบ้านบาดเจ็บ ต้องรับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน ถ้าเขาหักกระดูกของผู้อื่น กระดูกของเขาจะถูกหักด้วย ถ้าเขาควักนัยน์ตาของผู้อื่น เขาจะถูกควักนัยน์ตาออกด้วย ถ้าเขาทำให้ผู้อื่นฟันหัก เขาจะต้องถูกทำให้ฟันหักด้วย เขาทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บอย่างไร เขาจะต้องรับบาดเจ็บแบบนั้นด้วย” (ลวต 24:19 ff)
.
นี่ฟังดูเผินๆคิดว่าป่าเถื่อน แต่จริงๆแล้วเป็นการกำหนดทางกฎหมายที่จำกัดวงการเสียเลือดเนื้อในกลุ่มประชาชน ธรรมเนียมโบราณของชนเผ่าหลายๆเผ่า ถ้าคนหนึ่งจากเผ่าได้รับการทำร้ายจากคนหนึ่งที่มาจากเผ่าอื่น อาจจะมีสงครามระหว่างเผ่าทั้งสองคนเกิดขึ้น คราวนี้ทุกคนจากทั้งสองฝ่ายก็จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถ้าไม่มีขอบเขตจำกัดการแก้แค้น ก็อาจจะฆ่ากันทั้งครอบครัว หรือฆ่ากันจนหมดเผ่าไปเลยก็ได้ ดังนั้นกฎ “ตาต่อตา” ก็จำกัดการแก้แค้นโดยการลงโทษเพียงการทำร้ายแบบเดียวกัน กฎนี้ในสมัยโน้นถือได้ว่าเป็นกฎของความเมตตาด้วยซ้ำ เพราะเป็นการหยุดไม่ให้ครอบครัวทั้งหมดมาทะเลาะกัน
.
แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เมตตามากไปกว่านั้น วิถีของการเป็นศิษย์ของพระคริสต์คือ ต้องไม่ยอมให้ความเป็นศัตรูของผู้อื่นมาผลักดันให้เราทำผิดไปด้วย พระองค์ได้ตรัสไว้ในพระวรสารของวันนี้ “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย…… ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน”
.
จะเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธการตีความทางกฎหมายใดๆก็ตาม ที่อนุญาตให้ประชาชนเกลียดศัตรูของตน นี่เป็นการพัฒนาไปอย่างกว้างไกล จากที่แต่ก่อนมีคำแนะนำในพระคัมภีร์เรื่องการยึดครองเมืองที่เป็นศัตรู ดังนี้ “เมื่อท่านจะเข้าโจมตีเมืองใด…จงเสนอเงื่อนไขสันติภาพก่อน ถ้าเขายอมรับ ประชาชนในเมืองนั้นจะต้องเป็นทาสและทำงานให้ท่าน แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับ ก็ประกาศสงคราม เมื่อท่านชนะเมืองนั้นได้แล้ว ท่านต้องใช้ดาบประหารชีวิตผู้ชายทุกคน ส่วนผู้หญิง เด็ก และของทุกสิ่งจะเป็นของเชลย ท่านจะใช้ได้ตามใจชอบ” (ฉธบ 20:13) นโยบายทางการเมืองที่ทำลายล้างกันเช่นนี้ พระเยซูเจ้ามิทรงเห็นด้วยกับธรรมเนียมโบราณนี้
.
อีกประการหนึ่ง กฎหมายบอกชาวอิสราเอลให้รักเพื่อนบ้านของเขา แต่เพื่อนบ้านถูกเข้าใจว่าเฉพาะพวกที่เป็นชาวอิสราเอลด้วยกันเท่านั้น พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธการขีดวงจำกัดของความรักเช่นนี้ พระองค์ทรงขอบรรดาศิษย์ของพระองค์ให้รักศัตรูของพวกเขา ให้ยกข้อจำกัดเรื่องความรักออกไปทั้งหมด ต้องไม่มีใครถูกกันออกไปอยู่นอกความรักของคริสตชน ไม่แม้แต่ผู้ที่เบียดเบียนเรา
.
ตัวอย่างนักบุญเปาโล มีกิ และเพื่อนมรณสักขี ที่เราระลึกถึงพวกท่านวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ท่านอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1562 – 1597 กล่าวกันว่า หลังจากนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ ได้เริ่มงานแพร่ธรรมในญี่ปุ่น มีผู้ที่กลับใจเป็นจำนวนมากพอสมควร สามสิบปีหลังจากนั้น งานแพร่ธรรมได้ประสบปัญหาเพิ่มมากขึ้น พวกที่มีอำนาจทางฝ่ายบ้านเมืองเริ่มลงมือเบียดเบียน และเขาได้จับกุมผู้ที่เป็นคริสตชนกลุ่มหนึ่ง นักบุญเปาโล มีกิ พระสงฆ์เยสุอิตที่เป็นชาวพื้นเมืองเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกจับกุม พวกเขาถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ และที่สุด ทุกคนถูกจับตรึงกางเขน ถูกแทงด้วยหอก หรือแหลนจนถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1597 ณ สถานที่ที่ทุกวันนี้เรียกว่า “เนินเขามรณสักขี” อยู่ที่เมืองนางาซากิ แต่ภารกิจสุดท้ายตอนที่นักบุญเปาโล มีกิ ถูกตรึงกางเขน ท่านได้กล่าวว่า “…ตามแบบอย่างของพระคริสตเจ้า ฉันให้อภัยผู้ที่ฆ่าฉัน ฉันไม่เกลียดพวกเขา ฉันขอพระเจ้าให้ทรงเมตตาต่อทุกคน และฉันหวังว่าเลือดของฉันจะตกลงบนเพื่อนพี่น้องของฉันประดุจดังฝนที่ก่อให้เกิดผล”
.
ตัวอย่างของนักบุญเปาโล มีกิ เป็นบทสรุปของพระวรสารวันนี้ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสอนไว้ “ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020
Based on : Seasons of the Word ; by Denis McBride)