Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี A

ผู้มีใจยากจนให้คุณค่าพระเจ้าเหนือกว่าทุกสิ่ง และมอบความไว้วางใจทั้งหมดให้แด่พระองค์

นายแพทย์นามว่า Dr Tom Dooley ได้กลายเป็นผู้ที่ผู้คนในโลกจับตามอง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1950 หลังจากจบการศึกษาทางด้านแพทย์ เขาได้เข้าประจำหน่วยทหารเรือในฐานะนายแพทย์ วันที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเกิดขึ้นตอนบ่ายของเดือนกรกฎาคม ณ ชายฝั่งทะเลเวียดนาม คือเรือของราชนาวีสหรัฐได้ช่วยมนุษย์เรือชาวเวียดนามอพยพราว 1,000 คน ซึ่งเรือเกือบจะจมลงอยู่แล้ว ผู้อพยพส่วนมากเจ็บไข้ได้ป่วย และเนื่องจากเขาเป็นหมอเพียงคนเดียวในที่นั้น เขาจึงลงมือช่วยรักษา และให้ยาแก่คนเหล่านั้น มันเป็นงานหนักและเหน็ดเหนื่อยมาก แต่เมื่อเขาพบว่าการทำเช่นนั้นช่วยคนได้เป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “อีกหลายชั่วโมงต่อมา ตอนที่ผมหยุดพักเพื่อยืดไหล่และแขน ผมได้ค้นพบว่า ผมมีความสุขมาก มากกว่าที่เคยมีมาแต่ก่อน มันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” จากประสบการณ์ในครั้งนั้น หลังจากที่เขาออกจากกองราชนาวี เขากลับไปที่ทวีปเอเซีย ไปสร้างโรงพยาบาลเล็กๆ ในป่าเพื่อบริการคนยากจน และคนเจ็บไข้ได้ป่วย

หนึ่งในข้อความจากพระคัมภีร์ที่ Dr Tom Dooley ชอบก็คือพระวรสารของอาทิตย์นี้ เรื่องความสุขแท้จริง ที่พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนบนภูเขา เขากล่าวว่า งานที่เขาทำให้กับพวกคนจน ทำให้เขาเข้าใจความหมายของความสุขแท้จริงอย่างลึกซึ้ง เช่นว่า “ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าย่อมเป็นสุข” เขานำมาประยุกต์คิดดังนี้ “เมื่อเราตระหนักว่าโลกนี้มีความโศกเศร้ามากกว่าความสุข เราต้องลงมือทำบางสิ่ง ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน คือทำให้ความโศกเศร้าลดน้อยลง คุณจะพบกับความสุขแน่นอน”

ให้เราพิจารณาความสุขแท้จริงอีกประการหนึ่งที่นักบุญมัทธิวเขียนไว้ว่า “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข” ดุจดังเช่นพวกคนยากจนที่ Dr Tom Dooley ไปช่วยรักษาในป่าของประเทศแถบเอเซียนั่นแหละ พวกเขาอยู่ในสถานะที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ สิ่งนี้จึงทำให้พวกเขามอบความไว้วางใจทั้งหมดในพระเจ้า พวกเขาเป็นเหมือน “ประชากรที่ถ่อมตนและต่ำต้อย” ดังที่ประกาศกเศฟันยาห์กล่าวไว้ในบทอ่านแรก และพวกเขาเป็น “พวกที่โลกถือว่าอ่อนแอ และต่ำช้าน่าดูหมิ่น” ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ในบทอ่านที่สอง ดังนั้น คนที่ยากจนฝ่ายจิตใจคือคนไม่ติดใจจะพึ่งพาสิ่งที่เป็นของโลกนี้เลย แต่จะมอบความวางใจทั้งหมดกับสิ่งของสวรรค์ พวกเขาคือพวกที่ถือว่าสิ่งของของโลกนี้ไม่เป็นอะไรเลย แต่พระเจ้าทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง

คนที่ยากจนฝ่ายจิตใจไม่ใช่พบได้ในเฉพาะพวกที่สังคมปฏิเสธพวกเขาเท่านั้น แต่เรายังพบในบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงอีกด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ นักบุญยอห์น ที่ 23 พระสันตะปาปา หนึ่งในภารกิจแรกเมื่อขึ้นครองสมณสมัย คือ เสด็จไปเยี่ยมคุกใหญ่ในกรุงโรม พระองค์ตรัสกับพวกนักโทษจำคุกเหล่านั้นว่า “พวกท่านออกไปหาฉันไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงมาหาพวกท่าน” พระองค์ตรัสเสริมว่า ครั้งล่าสุดที่พระองค์ได้ไปที่คุก คือไปเยี่ยมญาติของพระองค์ วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ของวาติกันรายงานเรื่องที่พระสันตะปาปาเสด็จไปเยี่ยมคุกใหญ่ในโรม แต่จงใจไม่รายงานเรื่องที่พระสันตะปาปาตรัสถึงญาติของพระองค์ กลัวคนอื่นจะช็อกที่รู้ว่าพระองค์มีญาติอยู่ในคุก แต่ถ้าเราพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นว่า พระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่โลกยกย่องว่าประสบความสำเร็จ พระองค์ยังทรงมีความสุภาพมาก และทรงถ่อมพระองค์เหมือนประชาชนธรรมดาๆ ทั้งหลาย พระสันตะปาปาได้ทำให้เราตระหนักความจริงที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ คนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ของโลกเรานี้ มักจะไม่มองเห็นว่าตนเองยิ่งใหญ่อะไร ณ ที่นี้เราอาจจะคิดถึงพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นบุคคลยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งปวง พระองค์ตรัสว่า “….มาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน” (มธ 11 : 29)

พระวรสารของวันอาทิตย์นี้เชื้อเชิญให้เราพิจารณาดูให้ดี ดูให้แน่ใจกับชีวิตของเราว่า ความสุขแท้จริงที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงนั้น เราให้ความสำคัญในขั้นไหน เช่น เราเป็นคนเหล่านั้นไหมที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกว่า “ผู้มีใจเมตตา” “ผู้มีใจอ่อนโยน” “ผู้สร้างสันติ” ฯลฯ และสุดท้ายเหนือสิ่งอื่นใด เราเป็นคนที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกว่าเป็น “ผู้มีใจยากจน” หรือเปล่า กล่าวคือเราเป็นคนที่ไม่ติดใจใ ดๆ กับของโลกนี้เลย แต่ผูกพันติดแน่นกับสิ่งของสวรรค์ เราเห็นว่าสิ่งถูกสร้างทั้งหลายไม่เป็นอะไรเลย เมื่อเปรียบเทียบกับพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง และท้ายสุด เรามอบความไว้วางใจทั้งหมดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ตาม

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2023
Based on : Illustrated Sunday Homilies – Year A
by : Mark Link, SJ )