
ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์ ปี A
โหราจารย์บางท่านจากทางทิศตะวันออก เดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม สืบถามว่า “กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์”
จะเห็นได้ว่า บรรดาโหราจารย์เหล่านั้นแสวงหาความรู้จากทางวิทยาการสมัยของเขา ก็พบว่าผู้มีบุญผู้หนึ่งประสูติมา และแม้จะยังเป็นแค่เพียงทารก แต่จิตใจของพวกท่านก็เปิดกว้าง เดินทางเสาะแสวงหาให้พบให้จงได้ เพื่อที่จะนมัสการพระองค์
การที่พระคริสตเจ้าประสูติมาในโลกที่มืดมิดนี้ เปรียบเหมือนแสงสว่างที่ลุกโชนขึ้น ผู้ที่มีน้ำใจดีก็จะพบพระองค์และพระกรุณาของพระองค์ สมกับที่ประกาศกอิสยาห์เคยทำนายไว้ว่า “เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้า เพราะความสว่างของเจ้ามาแล้ว พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทอแสงเหนือเจ้า” และ… ”นานาชาติจะเดินมาหาความสว่างของเจ้า บรรดากษัตริย์จะทรงดำเนินมาสู่ความสดใสที่ทอแสงเหนือเจ้า”
แต่อนิจจา ผู้ที่มีจิตใจคับแคบและเคยชินกับความมืดมน แม้จะอยู่ใกล้ๆ ที่พระองค์ประสูติมา ก็ไม่อาจทำจิตใจให้รับรู้ได้ และแม้ได้รับการแจ้งให้ทราบถึงการเสด็จมา ก็เกิดความวุ่นวายใจ
กษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้จากพวกโหราจารย์ ว่ามีกษัตริย์ผู้มีบุญประสูติมา ก็วุ่นวายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย พวกเขาไม่อยากให้พระองค์เสด็จมา พวกเขาไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่พระองค์ต้องเสด็จมา พวกเขาไม่อยากให้ความสำคัญใดๆ กับการเสด็จมาของพระองค์ พวกเขาก็อยู่ดีกินดีกันอยู่แล้ว พระองค์จะมาทำให้วุ่นวายอีกทำไม
บางทีเราต้องถามใจของเราดู ว่าเรารู้สึกกับการบังเกิดมาของพระเยซูอย่างไร เราดีอกดีใจเสาะแสวงหาพระองค์ เ ปิดใจกว้างต้อนรับพระองค์ ให้แสงสว่างของพระองค์ส่องลงสู่เบื้องลึกแห่งจิตใจเราหรือเปล่า หรือว่าเราเฉยๆ หรือเรารู้สึกวุ่นวายใจ เรารู้สึกว่าพระองค์มายุ่งอะไรกับชีวิตเรา เราจะต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตรวมทั้งแนวคิด แนวปฏิบัติเสียใหม่ เพื่อถวายให้แด่พระองค์หรือ
พี่น้องครับ ให้เราออกจากหนทางแห่งความมืด ลุกขึ้นก้าวเดินไปตามแสงแห่งดวงดาราที่ให้ความหวัง เมื่อเสาะแสวงหาพระองค์ด้วยน้ำใจดี ก็จะพบพระกุมารน้อยอย่างแน่นอน ขอจบด้วยบทเพลงคริสต์มาสเพลง In the bleak midwinter (ในคืนกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ)
What can I give Him, poor as I am?
If I were a shepherd, I would bring a lamb;
If I were a Wise Man, I would do my part;
Yet what I can I give Him: give my heart.
ที่แปลเป็นไทยได้ว่า
“ฉันจะมอบอะไรถวายพระองค์ได้ คนจนๆ อย่างฉัน
ถ้าฉันเป็นชุมพาบาล ฉันจะถวายลูกแกะแด่พระองค์
ถ้าฉันเป็นโหราจารย์ ฉันจะถวายตามส่วนของฉัน
ฉันรู้แล้วว่าจะถวายอะไร ฉันจะมอบดวงใจให้แด่พระองค์”
ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์ ปี A
ในหนังสือที่ชื่อว่า “กลับสู่โลก” (Return to Earth) ซึ่งเขียนโดย Ed Aldrin หนึ่งในนักอวกาศที่ไปเหยียบดวงจันทร์ เล่าเรื่องตอนที่กลับมาแล้ว และได้รับเชิญไปในประเทศต่างๆ ที่วาติกันเป็นที่หนึ่งที่เขาประทับใจมาก ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ปอล ที่6 และพระองค์ทรงมอบของขวัญให้กับนักอวกาศทั้งสาม เป็นรูปโหราจารย์ 3 องค์ ทำด้วยเครื่องเคลือบดินเผา ตรัสกับพวกเขาว่า
“โหราจารย์ทั้งสามได้รับการนำทางไปสู่พระกุมารน้อย โดยการมองดูดวงดาว เช่นเดียวกับท่านทั้งสามที่เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยการมองดูดวงดาว”
ครับ คนสมัยก่อนดูการโคจรของดวงดาราว่าเกี่ยวข้องกับดวงชะตาของมนุษย์ และมีความเชื่อในเรื่องดาราศาสตร์ แม้คนในสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะคนไทยก็เชื่อในเรื่องดูดวงกันมากทีเดียว โดยนำดวงเกิดไปผูกกับดวงดาวต่างๆ มิฉะนั้น จะมีหมอเดา…เอ๊ย…หมอดูเกลื่อนเมืองขนาดนี้หรือ พี่น้องคริสตชนขนานแท้อย่าไปเชื่อเรื่องการดูของหมอเดานะครับ เรามีความเชื่อในพระเจ้าและไว้ใจในพระญาณสอดส่องของพระองค์ก็เพียงพอแล้ว
แต่ในที่นี้ จะพูดถึงประสิทธิภาพอย่างหนึ่งของดวงดาวคือ การนำแสงสว่างมาให้ พระคัมภีร์เปรียบโลกของเราว่าอยู่ในความมืด พระคริสตเจ้าเป็นผู้นำแสงสว่างมาในโลก พระองค์จะเสด็จมาเพื่อสถาปนาพระอาณาจักรของพระให้สว่างรุ่งโรจน์
จากบทอ่านแรกของหนังสือประกาศกอิสยาห์เล่าว่า “จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้า เพราะความสว่างของเจ้ามาแล้ว พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทอแสงเหนือเจ้า”
ส่วนในพระวรสารนั้น บรรดาโหราจารย์บางท่านจากทางทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อสืบหากษัตริย์ชาวยิว โดยบอกกับชาวเมืองว่า “พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” ซึ่งในที่สุดก็ได้นมัสการพระกุมารน้อยสมใจ พร้อมทั้งถวายของขวัญอันได้แก่ ทองคำ กำยาน และมดยอบ
วันสมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์จึงเป็นวันสมโภชที่ยิ่งใหญ่ เพราะพระผู้ไถ่โลกไม่ได้เสด็จมาเป็นแสงสว่างสำหรับชาวยิวเท่านั้น แต่ยังเสด็จมาส่องสว่างให้แก่คนชาติอื่นๆ ด้วย อาจเปรียบได้ว่า วันพระคริสตเจ้าแสดงองค์ ก็คือวันคริสต์มาสของคนอื่นๆ ที่มิใช่ชาวยิวนั่นเอง
เมื่อพระคริสต์ทรงเป็นแสงสว่างสำหรับชีวิตของเราแล้ว เราจะทำอะไรบ้าง คำตอบก็คือ เราต้องทำให้ภารกิจที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยพระเยซูเจ้าทรงมาบังเกิดดำเนินต่อไป กล่าวคือ ทำให้พระองค์เป็นที่รับรู้ของชนทุกชาติ
เราต้องแบ่งปัน “ข่าวดี” ให้กับพวกเขาว่า พระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า ได้รับเอาเนื้อหนัง และมาประทับท่ามกลางเรา
เราต้องแบ่งปัน “ข่าวดี” ให้กับพวกเขาว่า พระเยซูเจ้าทรงเข้ามาในประวัติศาสตร์ของโลก ไม่ใช่เพียงเพื่อชาวยิวเท่านั้น แต่เพื่อทุกๆ คนและชนทุกชาติ
เราต้องแบ่งปัน “ข่าวดี” ว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระเจ้า ทรงมาเพื่อจัดระเบียบให้โลกใหม่ ซึ่งจะขจัดความทุกข์โศก ความเสียใจ และความเจ็บปวดให้หมดไป เป็นโลกที่ผู้ที่ต้องการจะพบกับเพื่อนๆ ที่น่ารักคอยช่วยเหลือกัน ซึ่งต่างกับแต่ก่อนที่แต่ละคนเป็นเหมือนคนแปลกหน้าในตอนกลางคืนที่มืดมิด
ขอให้สิริรุ่งโรจน์แห่งวันสมโภชบันดาลให้จิตใจของทุกท่านสว่างไสวด้วยไฟแห่งความรักของพระคริสตเจ้าเทอญ
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2011)