
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี C
เราอยู่ในช่วงสัปดาห์ก่อนสุดท้ายของปีพิธีกรรม พระวาจาของพระเจ้าจึงเน้นเรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก่อนโลกของเราจะถึงกาลอวสาน
.
“นี่แน่ะ วันนั้นจะมาถึง คือวันที่จะลุกไหม้เหมือนเตาอบ” (มลค 4:1)
.
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย” (ลก 21:5)
.
หลายคนคิดว่า เวลากำหนดมาถึงแล้ว ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง จะมีแผ่นดินไหว โรคระบาด และความอดอยากอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวและเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า
.
จะมีการจับกุมเกิดขึ้น มีการเบียดเบียน การนำไปไต่สวน การจองจำในคุก จะถูกทรยศโดยคนชิดใกล้ และบางคนจะถูกประหารชีวิตด้วย ผู้ที่เป็นพยานเพราะพระนามของพระเจ้าจะถูกเกลียดชัง แต่ถ้ายืนหยัดมั่นคงในพระเจ้า ก็จะรักษาชีวิตไว้ได้
.
ฟังดูแล้วน่ากลัวใช่ไหมครับ ที่จริงในโลกนี้มีเหตุการณ์ต่างๆ เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ยกตัวอย่าง โจเซฟ สตาลิน เขาเคยเป็นเผด็จการที่โหดเหี้ยมของประเทศสหภาพโซเวียตในอดีต ในฐานะที่เขาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปี 1922 จนถึงปี 1953 ในปี 1928 เขาออกแผนปฏิบัติ 5 ปี เพื่อเร่งรัดให้อุตสาหกรรมเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว โดยบังคับให้มีการรวมผลผลิตทางเกษตรเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมด มีคนไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้มากมาย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความรู้สูง พวกนี้มีจำนวนเป็นร้อยเป็นพันที่ถูกสตาลินฆ่าทิ้งอย่างโหดเหี้ยม กล่าวกันว่า จริงๆ แล้วสตาลินได้ฆ่าคนทิ้งมากกว่าฮิตเล่อร์ผู้บ้าคลั่งด้วยซ้ำ
.
น่าแปลกใจไหมครับ เมื่อตอนที่สตาลินยังอยู่ในวัยหนุ่มได้เคยเข้าบ้านเณรเพื่อจะเป็นพระสงฆ์ แต่ถูกขับไล่จากบ้านเณรเพราะหัวคิดปฏิวัติของเขานั่นเอง ความมุ่งมั่นปรารถนาที่ดีกลับกลายเป็นความเลวร้ายที่น่ากลัว คนหนึ่งที่เคยปรารถนาจะช่วยวิญญาณของผู้อื่นกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายที่ได้ฆ่าผู้คนเป็นล้านๆ คน
.
ในพระวรสารของวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงทำนายล่วงหน้าถึงพระวิหารกรุงเยรูซาเล็มที่จะถูกทำลาย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเยี่ยม แต่ชาวเมืองและเจ้าหน้าที่ของพระวิหารต่างพากันปฏิเสธพระองค์ และเหตุการณ์ที่ทรงทำนายก็เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา
.
นั่นเป็นเพราะองค์พระคริสต์ทรงพระดำเนินจากพระวิหารไป พระวิหารที่ไม่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่นั้น :
.
ความศักดิ์สิทธิ์ย่อมถูกพรากจากไป
.
พระสิริรุ่งโรจน์ของพระย่อมถูกพรากจากไป
.
การปกปักพิทักษ์รักษาของพระก็จางหายไป
.
จึงในประมาณปี ค.ศ.70 กองทัพโรมันก็ทำลายพระวิหารที่เยรูซาเล็มราบเป็นหน้ากลอง ไม่เห็นหินเหลือซ้อนกันแม้แต่ก้อนเดียว
.
พี่น้องครับ พระเจ้าทรงสร้างเรามาแต่ละคนให้มีกายและจิตวิญญาณที่สวยงามประดุจพระวิหาร และพระองค์ประทับอยู่ในนั้น วันใดที่เราขับพระองค์ออกไป หรือปฏิเสธการประทับอยู่ของพระองค์ เราจะกลายเป็นวิญญาณที่อ้างว้าง และจะถูกทำลายไปเหมือนพระวิหารที่เยรูซาเล็ม
.
วันสุดท้ายของเราจะน่าโศกเศร้าสักเพียงใด
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี C
ยังจำชายคนที่ชื่อ จิม โจนส์ (Jim Jones) ได้ไหม ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1978 ผู้นำลัทธิ “People ‘s Temple” คนนี้ได้กระทำอัตวินิบาตกรรมหมู่ผู้ติดตามลัทธินี้มากกว่า 900 คน ณ เมือง Jonestown ใน กายน่า (Guyana) หัวหน้าคนที่ชื่อ จิม โจนส์ นี้เป็นผู้หลงใหลในอำนาจของตนที่จะวางแนวทาง และเทศน์สอนให้ผู้ติดตามเขาทำการปฏิวัติต่อสู้ ซึ่งจะนำไปสู่จุดจบแค่เพียง 2 ทางเท่านั้น คือได้ชัยชนะ หรือ (ถ้าไม่ชนะก็จะต้อง)ฆ่าตัวตาย น่าเศร้าที่เหตุการณ์จบลงด้วยการฆ่าผู้ติดตามจำนวนถึง 918 คน โดยใช้ยาพิษ Cyanide ในจำนวนนี้มีเด็กถึง 304 คน พระเยซูเจ้าได้ทรงเตือนไว้แล้วในพระวรสารของวันนี้ว่าจะมีลางร้าย และเหตุการณ์ต่างๆที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นก่อนที่จะถึงวาระสุดท้ายมิใช่หรือ
.
เรากำลังอยู่ในอาทิตย์ก่อนสุดท้ายที่จะจบปีพิธีกรรมปี C ดังนั้นในพระวรสารสองอาทิตย์นี้จะพูดถึงการที่พระเยซูเจ้าทรงทำนายล่วงหน้าถึงเวลาสิ้นสุดของโลก ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์หลายๆท่านยังไม่ฟันธงลงไปชัดๆว่า แค่ไหนที่เป็นเนื้อหาแท้จริงที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ และแค่ไหนที่เป็นเนื้อหาที่เกิดจากการตีความโดยผู้นิพนธ์พระวรสาร เพราะพวกเขาเชื่อว่าเวลาสุดท้ายกำลังจะมาถึงในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราอาจจะคิดว่าเวลาสุดท้ายของโลกจะยังไม่อยู่ใกล้นัก แต่พระวาจาของอาทิตย์นี้ก็ได้ให้ข้อแนะนำกับเราในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ดังว่านี้ ไม่ว่าจะเกิดเร็วๆนี้หรืออีกนานก็ตาม
.
ประกาศกมาลาคีในบทอ่านแรกเป็นประกาศกที่เราไม่มีข้อมูลชัดเจน แม้ชื่อของท่านซึ่งในภาษาฮีบรู มีความหมายว่า “ผู้ถือสารของเรา” (my messenger) ก็อาจจะเป็นการอนุมานจาก มลค 3:1 ก็เป็นได้ เราไม่รู้หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเมื่อไร จึงยากที่จะพิกัดทั้งสถานที่และเวลาว่าคำทำนายนี้อยู่ประมาณช่วงไหนตามประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่เหมือนกับประกาศกคนอื่นๆ แต่ถึงกระนั้น คำทำนายของมาลาคีก็ใช้ได้ทุกเวลา เพราะเป็นการเตือนว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึงพร้อมกับเคราะห์กรรมของผู้กระทำความชั่วทั้งหลาย และที่ตรงกันข้ามคือ ยังมีความหวังอยู่ด้วย เพราะ “สำหรับท่านทั้งหลายที่ยำเกรงนามของเรา ความเที่ยงธรรมของเราจะขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์ซึ่งส่องรัศมีรักษาโรคให้หายได้” ดังนั้น สำหรับผู้ที่ดำเนินตามวิถีทางของพระเจ้า ก็จะพบความยินดี และการไถ่ให้รอด
.
พระวรสารวันนี้เริ่มต้นด้วยบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้กล่าวชื่นชมว่าพระวิหารมีหิน และของถวายตกแต่งอย่างงดงาม กษัตริย์เฮโรด ทรงใช้เวลาถึง 50 ปี ในการปฏิรูปพระวิหารให้กลับไปรุ่งโรจน์ดุจดังแรกเริ่มที่ทรงสร้างโดยกษัตริย์โซโลมอนเมื่อห้าศตวรรษก่อนหน้านี้ และมาสำเร็จสมบูรณ์เมื่อบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้กล่าวชมด้วยความพิศวงใจนี่แหละ แต่พระองค์ทรงทำนายล่วงหน้าว่า “ทุกสิ่งที่เห็นอยู่นี้จะถูกทำลายไป” แล้วก็เป็นจริง ภายในเวลา 40 ปี พวกชาวโรมันยกทัพมาปราบกบฏบาร์ซับบัส(Barsabbus) แล้วก็ทำลายพระวิหารจนสิ้นซาก คงเหลือไว้แค่ “กำแพงร้องไห้” ที่ยังคงยืนอยู่จวบจนทุกวันนี้
.
เราจะว่าคำทำนายเกี่ยวกับอนาคตของพระเยซูเจ้าเป็นการมองในแง่ลบที่กำหนดโชคชะตาเราไว้แล้วเท่านั้นหรือ หามิได้ เพราะพระองค์ได้ตรัสไว้ด้วยว่า “จงปฏิเสธที่จะไปเข้าร่วมกับพวกเขา” เช่น ปฏิเสธที่จะไปเข้าร่วมกลุ่มลัทธิ People ‘s Temple, New Age groups และกลุ่มลัทธิอื่นๆ ที่อ้างว่ารู้วันเวลาสุดท้ายของโลก หรืออ้างว่าเป็นพระคริสต์ หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำลายล้าง การต่อสู้ การปฏิวัติ การเบียดเบียน การถูกจับกุมไปขังคุก พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “จงอย่าตกใจ… เพราะนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา… เราจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้”
.
ถ้าสมมุติว่าวัดและวิหารทั้งหมดถูกทำลายลงไปสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ หรืออาจจะมาจากภัยธรรมชาติ แล้วเราจะทำอย่างไร พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้เป็นนัยเมื่อทรงชี้ไปที่พระองค์เองในฐานะทรงเป็นพระวิหารนั้นนั่นเอง (ยน 2:19) และนักบุญเปาโลได้บอกเราด้วยว่าร่างกายของเราเป็น “พระวิหารของพระจิตเจ้า” (1คร 6:19) ดังนั้น ในท่ามกลางความมืดมิดและความตายที่อยู่ล้อมรอบเรา เราแต่ละคนถูกเรียกให้เป็น “พยาน” ( = witness) ถึงพระโดยกระทำตนให้เป็นพระวิหารของพระเจ้า เป็นบ้านของพระนั่นเอง
.
คำว่าพยาน ( = witness) มาจากภาษากรีก “marturia” ซึ่งจากคำนี้เราใช้ในภาษาอังกฤษว่า “martyr” ( = มรณสักขี) ดังนั้น การเป็นพยานที่เปี่ยมอำนาจมากสุดมาจากคนที่ยอมตายเป็นมรณสักขี เพื่อถวายตนเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า หรือเพื่อเห็นแก่คนอื่นๆ ในช่วงเวลานี้ใกล้ถึงวันระลึกถึงบุญราศีมรณสักขีชาวเม็กซิโกที่ชื่อว่า Blessed Miguel Pro ท่านได้ทำงานอภิบาลให้กับบรรดาคริสตชนที่ถูกเบียดเบียนโดยการปลอมตนในหลายๆแบบ เพื่อเข้าไปส่งศีล หรือประกอบพิธีกรรมอื่นๆ จนกระทั่งถูกจับได้ในที่สุด และถูกยิงเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1927 พระวิหารที่แสนสวยงามของพระจิตองค์นี้เมื่อถูกยิงล้มลง ท่านร้องว่า “พระคริสตเจ้า ผู้เป็นกษัตริย์ ขอทรงพระเจริญเทอญ” (Long Live, Christ the King) นี่คือการเป็นพยานทั้งคำพูด และการกระทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
(ถอดความโดย : คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019
Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds
By : Francis Gonsalves, S.J.)