
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี C
หลังจากอธิบายเรื่องอุปมาของพระเยซูเจ้าเรื่องลูกล้างผลาญให้เด็กนักเรียนคำสอนชั้นประถมฟังแล้ว คุณครูจึงถามเด็กๆว่า “ไหนลองบอกครูซิว่า ใครต้องทนทุกข์มากที่สุดในเรื่องนี้” เด็กชายก้องตอบว่า “ลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วครับ” ที่จริงเด็กชายก้องตอบถูกเพราะลูกวัวอ้วนนั้นถูกนำไปฆ่าเพื่องานเลี้ยงฉลอง แต่นอกจากบรรดาสัตว์แล้ว บทพระวาจาทั้งสามของอาทิตย์นี้ยังบอกเล่าถึงผู้คนอีกมากมายที่ต้องทนทุกข์เพราะบาปส่วนตัวของพวกเขา และบาปที่มีผลกระทบต่อหมู่คณะ
บทอ่านแรกพูดถึงเรื่องที่พระเจ้าได้ตั้งพระทัยจะทำลายชาวอิสราเอลที่หันเหไปจากพระองค์อย่างรวดเร็ว พวกเขาพากันหลงลืมความดีของพระเจ้า และกำลังจะไปกราบนมัสการรูปลูกโคทองคำ แต่โมเสสซึ่งเป็นประกาศกของพระเจ้า และเป็นคนกลางของประชาชน ซึ่งต้องทนทุกข์และเจ็บปวดต่อความไม่ซื่อสัตย์ของประชาชนที่อยู่ใต้การปกครองดูแลของเขา ก็ยังอ้อนวอนขอต่อพระเจ้าในนามของประชาชนนั้น เราจะพบคำอ้อนวอนขอแบบนี้ได้อีกในบทสดุดีที่ 106 : 23 และนี่เป็นเงาสะท้อนที่มาก่อนชี้ไปถึงงานไถ่ให้รอดของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงวิงวอนขอเพื่อเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาป
โมเสสอ้อนวอนขอความเมตตาโดยอ้างถึงพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ภาพเดียวกันนี้ฟื้นมาใหม่ในพันธสัญญาใหม่เมื่อพระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงแขวนอยู่บนกางเขน และทรงวอนขอพระเมตตาของพระเจ้าให้กับพวกที่ทำทารุณกรรมต่อพระองค์ “ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดทรงอภัยให้กับพวกเขาเถิด” โดยแท้จริงแล้วพระเยซูเจ้าผู้ทรงฟื้นคืนพระชนมชีพยังทรงคงเป็นคนกลาง (The Mediator) ผู้ยอดเยี่ยมระหว่างพระเจ้ากับชาวเรา ผู้เป็นเหมือนแกะที่หายไป
ในบทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลได้สารภาพถึงบาปความผิดในอดีตของท่านว่าเคยพูดดูหมิ่นพระเจ้า เบียดเบียน และทำทารุณ แต่ท่านกลับได้รับพระเมตตากรุณาจากพระองค์ จนทำให้ท่านประกาศให้ทุกคนยอมรับว่า “พระคริสตเยซูเสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอดพ้น” และท่านเป็นคนแรกในบรรดาคนบาปเหล่านี้ จะเห็นว่าท่านเปรียบเทียบให้เรามองเห็นชัดเจนถึงความบาปของท่านว่าช่างตรงกันข้ามกับพระหรรษทานของพระที่หลั่งไหลมาแบบท่วมท้น
ส่วนในพระวรสารนั้น ได้พูดถึงอุปมาสามเรื่องของพระเยซูเจ้าที่แสดงให้เห็นพระเมตตากรุณาของพระเจ้า ได้แก่ เรื่องแกะที่พลัดหลง เงินเหรียญที่หายไป และลูกล้างผลาญกับลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้ว (พระวรสารแบบยาวของอาทิตย์นี้) พระสงฆ์หลายองค์อ่านแบบสั้น (อุปมา 2 เรื่องแรก) และละไว้อุปมาเรื่องที่สาม โดยอ้างว่าเราได้รำพึงเรื่องลูกล้างผลาญฯมาแล้ว ในอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต แต่ในอาทิตย์นี้ไม่ควรละทิ้งอุปมาเรื่องที่สาม เพราะแท้จริงแล้วจุดเน้น (focus) ของอุปมา ทั้ง 3 เรื่องนี้ไม่ได้เน้นที่ แกะพลัดหลง, เหรียญ และลูก แต่เน้นอย่างมากถึงนายชุมพาที่เอาใจใส่ หญิงคนที่พบเหรียญ และพ่อที่พร้อมให้อภัย ผู้คนทั้งสามประเภทนี่ต่างก็ชื่นชมยินดีที่ได้พบแกะ เหรียญ และฟื้นฟูเยียวยาลูกชาย ของพวกเขาตามลำดับ
เฉกเช่นเดียวกับโมเสสที่ได้รับความทุกข์ใจในบทอ่านแรก พ่อของลูกล้างผลาญในพระวรสารก็เจ็บปวดที่เห็นลูกรักของเขากำลังทำลายชีวิตของตนเอง ดังนั้น เมื่อเห็นเขากลับมาแต่ไกล พ่อจึงวิ่งไปโอบกอดลูก แล้วจัดงานฉลองใหญ่โดยสั่งให้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีมาเลี้ยงกัน ยังมีอีกคนในเรื่องนี้ที่เกิดความทุกข์ใจ คือพี่ชายคนโต – เขาเป็นรูปแบบของฟารีสีที่เคร่งครัด ซื่อตรง – ที่เขาทุกข์ใจเพราะทั้งความนึกคิดและจิตใจของเขาเห็นว่า จะต้องไม่มีความเมตตา และการให้อภัยแก่คนที่ทำผิดเลย
เราอาจเหมือนชาวอิสราเอลในสมัยของโมเสสก็เป็นได้ หากว่าเรากราบไหว้นมัสการต่อรูปปั้นลูกโคทองคำแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย แห่งเนื้อหนังมังสาของเรา แห่งพรสวรรค์และสติปัญญาความเฉลียวฉลาดของเรา และพระเท็จเทียมรูปแบบอื่นๆ อีกมากที่เราหลงใหลได้ปลื้มไปกับมัน แต่เราต้องจดจำไว้ว่า ระหว่างพระเจ้า กับ เรานั้น มีผู้หนึ่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ คือ “ลูกแกะของพระเจ้า” (Lamb of God) ทรงเป็นคนกลางของเรา ผู้ทรงยกบาปของเราออกไป และนำเอาความรักและความเมตตาของพระมาให้เป็นของขวัญกับชาวเรา
พระเจ้าทรงทนทุกข์ในความบาปผิดของเราเป็นอย่างมาก เหมือนแม่ที่ทนทุกข์ที่เห็นลูกของเธอกำลังทำลายตนเองในรูปแบบอบายมุขต่างๆ ดังนั้น ให้เราตระหนักรู้สถานภาพของเราว่าเป็นเช่นแกะที่พลัดหลงไป หรือเกือบจะอยากเป็นหมูเหมือนลูกล้างผลาญในอุปมาเรื่องที่สาม แต่เหนือสิ่งใดให้เราระลึกไว้ว่า พระเจ้าจะทรงยินดียิ่ง และจะเฉลิมฉลองอย่างอึกทึกครึกโครมที่เห็นเรากลับมา หรือว่า “ลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว” จะพลอยดีใจไปด้วยที่ได้ถูกฆ่าเพื่องานเลี้ยงฉลองในโอกาสอันเป็นมงคลเช่นนี้
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี C
“คนนี้ต้อนรับคนบาป และกินอาหารร่วมกับเขา”
มีบางคนหรือบางกลุ่มที่นึกว่าตนเป็นคนดีกว่าคนอื่นๆ ชอบบ่นว่าพระเยซูเจ้าคบค้าสมาคมกับพวกคนบาป พระองค์จึงตรัสอุปมาให้เขาฟังถึงสามเรื่องด้วยกันในบทที่ 15 ของพระวรสารนักบุญลูกา คือ
1. เรื่องแกะที่พลัดหลง
2. เรื่องเงินเหรียญที่หายไป
3. เรื่องลูกล้างผลาญ และลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้ว
เรื่องที่สามเป็นเรื่องเอกของพระเยซูเจ้าที่แสดงให้เห็นพระเมตตารักของพระเจ้าอย่างชัดเจน เป็นการเล่าของนักเล่าที่ยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยความเป็นอัจฉริยะ เนื้อหากระทบกระเทือนใจ มีความหมายแฝงไว้อย่างลึกซึ้ง
พ่อคนหนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กขอแบ่งสมบัติ แล้วก็เดินทางจากพ่อไปยังประเทศที่ห่างไกล ไม่นานก็ผลาญทรัพย์จนหมดสิ้น เกิดกันดารอาหาร และเขาเริ่มขัดสน จึงไปรับจ้าง ถูกจับไปเลี้ยงหมูและอยากแย่งแม้อาหารของหมู แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต จึงรู้สำนึกและคิดถึงพ่อ “ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด”
เขาก็กลับไปหาบิดา ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปโอบกอดและจูบเขา ลูกรีบพูดความในใจตามที่เตรียมมา แต่ยังพูดไม่ถึงประโยคที่จะขอเป็นผู้รับใช้ของคุณพ่อเลย คุณพ่อไม่ยอมฟังอะไรอีกแล้ว รีบบอกคนใช้คนหนึ่งให้ไปเอา เสื้อที่สวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ และให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างเอิกเกริก เพราะเหมือนตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก
คุณพ่อแสนดีในเรื่องอุปมานี้ได้ทำในสิ่งที่มีความหมายสามสิ่งด้วยกัน
หนึ่ง คือ คุณพ่อได้โอบกอดลูก การโอบกอดลูกชายแสดงให้เห็นว่า พ่อได้ต้อนรับการกลับมาของลูกอย่างเต็มที่ จึงได้แสดงสัญลักษณ์ของความรักออกมาอย่างชัดเจน
สอง พ่อได้สั่งให้นำรองเท้ามาสวมใส่ให้ลูกชาย การสวมรองเท้าให้แก่เท้าของลูกชาย แสดงว่า พ่อได้ยกโทษทั้งหมดให้แก่เขา ภาษาและสมัยของพระคัมภีร์นั้นรองเท้าเป็นสัญลักษณ์ของบุคคลผู้เป็นอิสระ คนที่เป็นทาสจะเดินด้วยเท้าเปล่า การนำรองเท้ามาสวมใส่ให้เท้าของลูกชายที่เปลือยเปล่าอยู่ ซึ่งบ่งบอกชั้นต้นว่าเด็กชายนั้นเป็นทาสของใครบางคนอยู่ แต่บัดนี้ได้กลายมาเป็นลูกของคนบางคนแล้ว
ที่สุด พ่อมอบแหวนให้แก่ลูก การนำแหวนมาสวมที่นิ้วของเด็กชาย แสดงให้เห็นว่าพ่อได้รื้อฟื้นสถานภาพให้เขาได้เป็นเหมือนก่อนที่เขาหนีจากไป แน่นอนว่า แหวนนั้นเป็นแหวนที่มีตราประจำตระกูล การมีแหวนนี้ย่อมหมายถึง มีอำนาจในนิติกรรม ในนามของครอบครัว
ดังนั้น การกอด การให้รองเท้า การมอบแหวนให้ จึงแสดงให้เห็นว่าพ่อได้ต้อนรับลูกกลับมาอย่างเต็มที่ ให้อภัยเขาหมดทุกอย่าง และคืนสภาพให้เขาอยู่ในสถานะที่เคยเป็นก่อนตีจากไป
ยิ่งกว่านั้น พ่อยังจัดงานฉลองให้อย่างเอิกเกริก พ่อปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับเขาไม่เคยทำผิดมาก่อนเลย
พระเจ้าก็ทรงเมตตารัก และให้อภัยเราคนบาปทั้งหลายเช่นนี้ เมื่อเรากลับมาหาพระองค์ด้วยจริงใจ พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อเราเหมือนกับเราไม่เคยทำผิดมาก่อนเลย
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2010)