Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา ปี C

ชุมพาบาลขี้ขโมย และแกะขี้อาย

เจ้าอาวาสองค์หนึ่งร้องขอรับเงินบริจาคโดยไม่รู้สึกละอายเลย จนกระทั่งบรรดาลูกวัดเห็นพ้องต้องกันว่า เจ้าอาวาสไม่ได้ถือพวกเขาเป็น “ฝูงแกะ” (flock) แต่ถือเป็นแค่ “ขนแกะ หรือ ขนสัตว์” [fleeced แต่ถ้าเป็นคำสแลง(slang) หมายถึง “การปอกลอก หรือ การรีดไถ”]

ที่ประเทศเยอรมนี คริสตชนต้องจ่ายภาษีศาสนาจากเงินรายได้สุทธิของพวกเขา เพื่อบำรุงบรรดาสมณะและพระศาสนจักร (เหตุฉะนี้ จึงมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งระบุตนเองว่า “ไม่มีศาสนา” (= atheist เพื่อจะไม่ต้องจ่ายภาษีนี้ – ผู้แปล) จนผู้คนชอบพูดติดตลกโดยเรียกเจ้าอาวาสว่าเป็นพันธุ์ “German shepherds”

คำว่า “นายชุมพา” (Shepherd) “แกะ” (sheep) “ลูกแกะ” (lamb) และ “ฝูงแกะ” (flock) ต่างก็เป็นคำที่มีบทบาทเด่นในบทอ่านทั้งสามของวันอาทิตย์นี้ เราลองมาพิจารณาดูบทบาทหน้าที่ของนายชุมพา และฝูงแกะที่อยู่ในความดูแลของพวกเขากันดีกว่า

พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง “แกะ” ประมาณ 400 ครั้ง และอีก 100 ครั้งที่พูดถึง “นายชุมพา” เหตุผลเป็นเพราะว่า

(1) แกะมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตด้านเกษตรกรรมของชาวฮีบรู

(2) คุณสมบัติของ “แกะ” และ “นายชุมพา” มีลักษณะที่เหมาะจะใช้เป็นต้นแบบเพื่อเปรียบเทียบให้เข้าใจความจริงในด้านฝ่ายจิต

มีบุคคลสำคัญๆ มากมายในพระคัมภีร์ที่เป็นนายชุมพา เช่น อับราฮัม อิสอัค โมเสส กษัตริย์ดาวิด และประกาศกอาโมส (ปฐก 12:16 ; 26:14 ; อพย 3:1 ; 2ซมอ 7:8 ; อมส 1:1) ส่วนนางราเชล (ปฐก 29:9) และบรรดาลูกสาวของเยโธร (อพย 2:16) ก็เป็นชุมพาบาลหญิง (= นางชุมพา – ผู้แปล)

บรรดาชุมพา นอกจากการเป็นผู้นำ(leaders)ให้กับบรรดาแกะแล้ว ยังต้องเป็น ผู้จัดหา (providers) ผู้ปกป้อง (protectors) และเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างแกะเสมอ (constant companions) ผลตามมาก็คือ บรรดาแกะจะจำเสียงของนายชุมพาได้ และจะติดตามเขาไป เพราะรู้ดีว่าจะปลอดภัย มากกว่านั้น ลูกแกะมักเป็นเหยื่อในการถวายบูชา ดังนั้น พระคัมภีร์จึงพัฒนาภาพพจน์ในหัวข้อต่างๆ ดังนี้

(1) เปรียบเทียบบรรดาผู้นำ ในฐานะของนายชุมพา

(2) ประชากรที่ได้รับเลือกสรร ในฐานะเป็นแกะของพระเจ้า

(3) พระเจ้า ในฐานะทรงเป็นนายชุมพา และ

(4) พระเมสสิยาห์ ในฐานะทรงเป็น นายชุมพา-และ-ลูกแกะ

บทอ่านที่หนึ่งของวันนี้พรรณาถึง “การเดินทางธรรมทูตครั้งแรก” ของนักบุญเปาโลและบารนาบัส จะมีรูปแบบการเล่าเหตุการณ์ธรรมทูตดังนี้

(1) บรรดาอัครสาวกไปเทศน์สอนในศาลาธรรม

(2) จะมีชาวยิว และคนต่างศาสนาที่มารับลัทธิยิว จำนวนหนึ่งที่เชื่อ

(3) ส่วนคนอื่นๆ จะปฏิเสธข่าวดีนั้น และตั้งตนเป็นปฏิปักษ์

(4) แล้วนั้น บรรดาอัครสาวกจึงหันไปประกาศให้คนต่างศาสนาฟังแทน

ในการประกาศพระวาจาของพระไม่ได้มีคำสัญญาสวยหรูว่าผู้ฟังจะประสบความสำเร็จ แต่ผู้ที่เป็นนายชุมพาก็จำเป็นต้องประกาศออกไป ไม่ว่าผู้คนจะรับหรือจะปฏิเสธก็ตาม อย่างไรก็ตาม การประกาศพระวาจาอย่างซื่อสัตย์นั้น จะทำให้ “บรรดาศิษย์ต่างมีความชื่นชมและได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม”

บทอ่านที่สองมาจากหนังสือวิวรณ์ ซึ่งเป็นตอนที่ใช้ในวันสมโภชนักบุญทั้งหลายด้วย กล่าวถึงบรรดามรณสักขีมากมาย “คนเหล่านี้คือผู้ที่มาจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่ เขาซักเสื้อของเขาจนขาวในพระโลหิตของลูกแกะ” (=พระเยซูเจ้า) และบัดนี้พวกเขามีความสุขกับรางวัลที่ได้รับ โดยใช้ภาพพจน์ว่า “ลูกแกะที่ทรงยืนอยู่กลางพระบัลลังก์ก็จะทรงเลี้ยงดูเขา จะทรงนำเขาไปยังธารน้ำพุแห่งชีวิต” ณ ที่นี้นำเสนอพระเยซูเจ้าในรูปแบบที่ทรงเป็นทั้ง “นายชุมพา-และ-ลูกแกะ”

บางคนอาจคิดว่าพระวรสารของวันนี้ต้องนำมาจากนักบุญยอห์นในตอนที่กล่าวถึง “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” (ยน 10:1-18) แต่กลับไม่ใช่เช่นนั้น พระวรสารของอาทิตย์นี้นำมาจาก ยน 10:27-30 เป็นตอนสั้นๆ ที่พูดถึงแกะโดยตรง มีนักบวชคณะเยสุอิตคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ในเมื่อ “องค์พระเจ้าทรงเป็นนายชุมพาของฉัน ก็ทรงทำให้ฉันมีความรู้สึกเป็นเหมือนแกะที่ขี้อาย หรือขี้ขลาด” บางทีการแปลคำอุปมาตามตัวอักษรตรงๆ อาจทำให้เราเสี่ยงไปเข้าใจผิดๆ แบบพวก fundamentalist (ที่เน้นว่าทุกสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นจริงตามตัวอักษร) ที่สรุปเอาดื้อๆว่า “ในเมื่อองค์พระเจ้าทรงนำเราแล้ว เราก็จงตามพระองค์ไปแบบแกะที่ขี้ขลาด หรือแบบแพะที่งี่เง่า”

ในพระวรสารตอนสั้นๆของวันนี้ พระเยซูเจ้าได้ตรัสถึง 3 ครั้งว่า “แกะเหล่านั้นจะไม่พินาศไปตลอดนิรันดร และไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้” ซึ่งหมายรวมไปถึงในการพิพากษาครั้งสุดท้าย

เจ้าอาวาสองค์หนึ่งประกาศในวัดในวันอาทิตย์หนึ่งว่า “พ่อมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะบอก ข่าวดีคือ เรามีเงินเพียงพอแล้วที่จะใช้ในกิจการต่างๆของวัด ส่วนข่าวร้ายก็คือ เงินเหล่านั้นยังอยู่ในกระเป๋าของพวกท่าน” อันที่จริง ข่าวร้ายหรือข่าวน่าเศร้าที่แท้จริงก็คือ ในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ หรือฆราวาส พวกเราแต่ละคนต่างก็ไม่ตระหนักถึงความร่ำรวย(หรือความไพบูลย์) ที่ยังซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของพวกเรานั่นเอง

วันนี้เป็นวันภาวนาเพื่อพระกระแสเรียกด้วย ให้เราภาวนาให้บรรดานายชุมพาหยุดขโมย และเริ่มการเยียวยาในการทำงานอภิบาลเพื่อฝูงแกะ รวมทั้งภาวนาให้บรรดาแกะ ให้เลิกเป็นแกะที่ขี้อาย หรือขี้ขลาด แต่ให้เริ่มประกาศข่าวดี ดังเช่นที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ในบทอ่านแรกวันนี้ว่า “พระเจ้าทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อท่านจะได้นำความรอดพ้นไปจนสุดปลายแผ่นดิน”

(แปลความโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.2019
จากหนังสือ Suday Seeds for Daily Deeds เขียนโดย Francis Gonsalves, S.J.)

ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา ปี C

“เราให้ชีวิตนิรันดรกับแกะเหล่านั้น”

บทพระวรสารของสัปดาห์ที่ 4 ในเทศกาลปัสกามักจะนำมาจากพระวรสารของนักบุญยอห์น บทที่10 เสมอ ซึ่งเป็นบทที่มีเนื้อหามุ่งไปสู่ความเข้าใจว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นชุมพาบาลที่ดี เพียงแต่ว่าของปีนี้ซึ่งเป็นปี C จะเป็นตอนที่สั้นที่สุด

ถ้าย้อนไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระวรสารตอนสั้นๆ นี้จะพบว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันฉลองพระวิหาร พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินอยู่ในพระวิหารที่เฉลียงซาโลมอน ชาวยิวมาล้อมพระองค์ไว้ ถามพระองค์ตรงๆ ว่า “ท่านจะปล่อยให้เราสงสัยอีกนานเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ ก็จงบอกเราให้ชัดเจนเถิด”

พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้วแต่ท่านไม่เชื่อ กิจการที่เราทำในนามของพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้เรา แต่ท่านไม่เชื่อ เพราะท่านไม่ใช่แกะของเรา”

ที่จริงในวันฉลองพระวิหารนั้น พวกยิวไม่ได้เพียงระลึกถึงพระเป็นเจ้าและการปลดปล่อยให้เป็นอิสระเท่านั้น เขาไม่ได้คิดเพียงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการได้พระวิหารคืนมาเท่านั้น แต่เป็นวันที่พวกเขาคิดถึงบรรดากษัตริย์ และพวกท่านขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างไรอีกด้วย และโอกาสนี้เองที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงเรื่องนายชุมพาบาลที่ดี ซึ่งก็คือ นายชุมพาบาลที่แท้จริง และก็คือกษัตริย์ผู้จะเสด็จมานั่นเอง ยังทรงชี้ให้เห็นว่าพวกอื่นๆ นอกนั้นคือพวกขโมยและโจร เพราะพวกเหล่านั้นไม่ได้มีความรัก และเอาใจใส่ปกป้องฝูงแกะด้วยชีวิต

พี่น้องครับ เราต้องย้อนสำรวจดูตัวเราในทันทีว่าเราเป็นแกะชนิดไหน และเป็นแกะของใคร นั่นคือเราต้องสำรวจดูว่าเราเป็นคริสตชนที่ดีหรือไม่ เราเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือเปล่า หรือว่าเราไม่ค่อยเคยฟังพระสุรเสียงของพระองค์ หนักเข้าก็จำพระสุรเสียงและคำสั่งสอนของพระองค์ไม่ได้เลย ถ้าเช่นนั้นเราก็จะไปหลงเชื่อและนับถือสิ่งอื่นๆ หรือแม้กระทั่งคนอื่นๆ ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ใช่นายชุมพาบาลที่แท้จริง ถ้าถึงขั้นนี้ เราก็ไม่ต่างอะไรจากชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้าที่ยื่นหน้าไปถามพระองค์ว่า “ถามจริงๆ เถอะ พระองค์คือใครกันแน่”

แต่ถ้าเราเป็นแกะที่ดี ก็จะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ออก และจะติดตามพระองค์ไป เราจะได้รับชีวิตนิรันดร โดยพระเยซูเจ้าทรงให้หลักประกันว่า “ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะเหล่านี้ให้เรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกคน และไม่มีใครแย่งชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้”

สิ่งที่จะเป็นหลักประกันสำหรับเรื่องนี้คือพระเยซูเจ้ากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน

เป็นบุญของผู้ที่ “ซักเสื้อของเขาจนขาวในพระโลหิตของลูกแกะ ดังนั้น เขาจึงอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2010)