
อบรมผู้นำชาวบ้านด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายพื้นฐาน
เมื่อวันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2565 ณ วัดนักบุญเปาโล นาเกียน
แผนกแพร่ธรรม แผนกสังคมพัฒนา คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ และองค์การบริหารส่วนตำบลนาเกียน ร่วมกันจัดการอบรมแก่ผู้นำทางราชการในเขตตำบลนาเกียน อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ปกครองของเขตวัดนักบุญเปาโล นาเกียน โดยมีคุณพ่อศตวรรษ ใฝ่หาคุณธรรมเป็นคุณพ่อเจ้าวัด เรื่องที่ให้การอบรมประกอบด้วย
1. คุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเข้าใจถึงเรื่องนี้วิทยากรได้ให้ทำกิจกรรมกลุ่ม โดยแจกกล้วยสุกแก่กลุ่มตามจำนวนคน รอบแรกให้แต่ละคนสังเกตกล้วยของตนเอง นำไปรวมกัน แล้วไปหยิบกลับมาอีกทีว่าจำกล้วยของตนเองได้ไหม ปรากฏว่าทุกคนหยิบกล้วยของตนเองได้อย่างถูกต้อง ครั้งที่สองให้แกะเปลือกกล้วยออก มากองรวมกัน จากนั้นให้ไปหยิบของตนเอง ปรากฏว่าไม่สามารถจำได้ เพราะกล้วยแต่ละลูกคล้ายกันหรือเหมือนกันหมดเลย และยิ่งหักกล้วยออกเป็นสองท่อนและดูเนื้อในแล้ว ไม่สามารถบอกความแตกต่างกันเลย จึงสรุปได้ว่าคนเราก็เช่นกัน จะแตกต่างกันเรื่องสีผิว เพศ วัย ความเชื่อ ศาสนา เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม ถิ่นที่อยู่อาศัย แต่ “คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์” เหมือนกันและเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีนี้เองจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันบนโลก ประเทศ สังคม ชุมชน หมู่บ้านได้อย่างปรกติสุข ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไม่รบราฆ่าฟันกัน
2. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง วิทยากรได้ให้ความรู้เกี่ยวกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งได้รับการรับรองโดยสหประชาชาติ (UN) และมีประเทศต่าง ๆ ที่มีชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่เข้ามาเป็นสมาชิก อันหมายถึงการรับรองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในประเทศของตนด้วย และประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของปฏิญญาสากลนี้ จากการเรียนรู้เรื่องนี้ทำให้บรรดาผู้นำที่เข้ามารับการอบรมได้รู้เกี่ยวกับสิทธิของตนเองที่ในระดับโลกได้ให้ความสำคัญ ทำให้ตนเองกำลังใจ รู้สึกภูมิใจในตนเอง ไม่รู้สึกต่ำต้อยอย่างที่เคยมีความรู้สึกที่ผ่านมา
3. การมีส่วนร่วมของชุมชนและการให้ฉันทานุมัติที่ได้รับการรับรู้ บอกแจ้งล่วงหน้าและเป็นอิสระ (FPIC = Free, Prior and Information Consent) ที่มาแห่งการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากที่ผ่านมา หน่วยงานราชการหรือเอกชนจะมาทำโครงการหรือกิจกรรมใด ๆ ก็แล้วแต่มักจะวางแผนและตัดสินใจไปเอง โดยที่ไม่ได้บอกกล่าวหรือปรึกษาหารือกับชุมชน ซึ่งหลายครั้งโครงการที่ได้ดำเนินการมีผลกระทบด้านลบต่อชุมชนอย่างมาก ฉะนั้นจึงมีความคิดใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ชุมชน คนท้องถิ่น หรือชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง จึงควรที่หน่วยงานราชการหรือเอกชนจะดำเนินโครงการใด ๆ ก็ตามในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ต้องปรึกษาหารือ พูดคุย ทำประชาสังคม ประชาพิจารณ์ถึงผลกระทบในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อ และต้องได้รับฉันทานุมัติหรือการยินยอมจากชุมชนเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่เคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ซึ่งการเรียนรู้เรื่องนี้ทำให้ผู้นำได้เกิดความเข้าใจและตระหนักถึงสิทธิของตนเองในการที่จะปฏิเสธหรือรับโครงการต่าง ๆ ที่มาจากข้างนอก ทั้งของหน่วยงานรัฐและเอกชนได้