Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ปี C

"ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์... พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง”

สำหรับนักบุญยอห์นแล้ว การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า และการเสด็จมาหาบรรดาศิษย์ มักจะบอกว่าเป็นวันต้นสัปดาห์เสมอ

ทั้งนี้ เพราะความคิดหลักของท่านเน้นเรื่องที่พระเยซูเจ้าเมื่อสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพแล้ว ทรงนำพามนุษย์ทั้งหลายมาสู่ วันใหม่ เดือนใหม่ สิ่งสร้างใหม่ เราทุกคนกลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ในพระองค์

และท่านยอห์นยังมักเล่าขนานไปกับหนังสือปฐมกาล “เวลาเย็นวันนั้นเขาทั้งสอง (อาดัมและเอวา) ได้ยินพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า”

ณ วันใหม่นี้ท่านยอห์นเล่าว่า “ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์” บรรดาศิษย์ประชุมกันในห้องที่ปิดอยู่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า

“สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด”

เห็นไหมครับว่าเป็นเวลาเย็นหรือเวลาค่ำซึ่งใกล้เคียงกัน พระเจ้าเสด็จดำเนินมาเหมือนกัน แต่ความเป็นมนุษย์เก่าของเราหลบซ่อนตัวจากพระเจ้า เพราะได้ทำผิดต่อพระองค์ ทำให้ไม่อยากได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ เพราะรู้ดีว่าเป็นพระสุรเสียงแห่งการลงโทษ

แต่บัดนี้ การลงโทษสิ้นสุดลงแล้ว พระองค์เสด็จมาหาบรรดาศิษย์ซึ่งได้กลายเป็นสิ่งสร้างใหม่แล้ว ดังนั้นเมื่อเป็นมนุษย์คนใหม่แล้ว ก็ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป พระองค์จึงประทานสันติสุขให้กับพวกเขาทั้งหลาย

พระจิตซึ่งล่องลอยอยู่เหนือน้ำเมื่อครั้งการสร้างโลกที่เล่าไว้ในหนังสือปฐมกาลนั้น มาบัดนี้ พระเยซูเจ้าทรงเป่าลมเหนือพวกสาวก ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด” นี่เป็นการสร้างใหม่ที่เห็นได้ชัดโดยการเป่าลมหายใจของพระเจ้าลงไปในสิ่งสร้างใหม่

น่าเสียดายที่ในการประจักษ์มาครั้งนี้ โทมัสซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาอัครสาวกไม่อยู่พร้อมกับคนอื่น ๆ จึงไม่ได้เห็นพระเยซูเจ้าประจักษ์มา และไม่ได้รับการเป่าลมให้เป็นคนใหม่ด้วย จึงทำให้เขายังเป็นคนเก่าอยู่ ยังคิดแบบเก่า ๆ อยู่ เขาไม่ยอมเชื่อที่ศิษย์คนอื่น ๆ เล่าให้ฟังว่าพระองค์เสด็จมาแน่แท้แล้ว เขาบอกว่าถ้าไม่ได้พิสูจน์ก็จะไม่เชื่อเด็ดขาด อนิจจา โทมัสกำลังดึงความเชื่อให้กลายเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ไปเสียแล้ว

แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงพระกรุณาต่อเขาด้วย พระองค์ประจักษ์มาในอีกแปดวันต่อมา ทรงท้าให้โทมัสมาพิสูจน์ที่พระวรกายของพระองค์ โทมัสกลับมามีความเชื่ออีกครั้งโดยไม่สนเรื่องการพิสูจน์อีกต่อไป และมีวาทะเด็ดมาจากท่านว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” วาทะนี้แสดงถึงความเชื่ออย่างสูงสุดที่ท่านมีต่อองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ

คำพูดของโทมัสนี้ พูดกันต่อ ๆ มาจนถึงสมัยกลาง เรื่อยมาจนปัจจุบัน โดยเฉพาะในบูชามิสซาขอบพระคุณ ในขณะที่พระสงฆ์เสกศีลให้เป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า เมื่อพระสงฆ์ชูแผ่นปังหรือศีลมหาสนิทขึ้น จะมีเสียงภาวนาในใจของมวลสัตบุรุษว่า

“องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2010)

ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ปี C

“ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา”

เรื่องที่โทมัสซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาอัครสาวกของพระเยซูเจ้าประกาศว่า ไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าจนกว่าจะได้พิสูจน์พระองค์ด้วยตัวเขาเองนั้น เป็นเรื่องโด่งดังเรื่องหนึ่งในสมัยคริสตชนรุ่นแรกๆ และทำให้ใครๆ พากันขนานนามเขาว่า โทมัส-จอมสงสัย

มีเรื่องเล่าระดับตำนานเกี่ยวกับโทมัส ในหนังสือชื่อ “กิจการของโทมัส” (ซึ่งเป็นหนังสือที่ไม่ได้จัดเข้าในระบบพระคัมภีร์ (apocryphal book) จึงไม่เรียกร้องให้ต้องเชื่อ) เล่าเรื่องของโทมัสไว้ว่าดังนี้ พระเยซูเจ้าทรงขายโทมัสให้เป็นทาสของกษัตริย์แห่งอินเดียทรงพระนามว่ากันดาฟอรัส พระองค์ทรงสั่งให้โทมัสสร้างราชวังให้ โทมัสรับคำสั่งด้วยความยินดี และนำเงินจากพระองค์ที่ทรงให้ไว้สำหรับสร้างไปให้แก่คนยากจนจนหมด เมื่อไรก็ตามที่พระราชาตรัสถามโทมัสถึงเรื่องวังที่สร้าง โทมัสก็ทูลว่าอยู่ในระหว่างการสร้าง วันหนึ่งพระราชาขอให้โทมัสพาพระองค์ไปดูวังที่กำลังสร้าง แต่โทมัสตอบว่า “พระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรเห็นในขณะนี้ ต่อเมื่อทรงจากโลกนี้ไปแล้ว จะทรงสามารถเห็นได้” พระราชาทรงโกรธโทมัสมากและแทบจะเอาชีวิตของโทมัส แต่โทมัสกล้าหาญจะเผชิญหน้ากับพระราชา และอธิบายข้อความเชื่อของคริสตชน ความเชื่อที่จะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร ปรากฏว่าประสบผลสำเร็จ พระราชาทรงเข้ามารับนับถือศาสนาใหม่ โทมัสได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นคริสตชนไว้ในประเทศอินเดีย และต่อมาก็ได้หลั่งโลหิตของท่านให้กับความเชื่อนี้

ทางเดินของโทมัสสู่การเป็นมรณสักขีมาจากความสงสัย เขาเป็นคนที่เชื่ออะไรยากเสมอ แต่เมื่อได้เชื่อแล้วก็เต็มที่และตลอดไปจนยอมสละชีพเลยทีเดียว เราจึงน่าศึกษาชีวิตของโทมัสในมุมมองต่างๆ

1) โทมัสผู้น่าสงสาร เขาติดตามพระเยซูเจ้าเกือบ 3 ปี พร้อมกับบรรดาศิษย์อื่นๆ เขาตั้งความหวังไว้ในพระองค์อย่างเต็มที่ว่ามาจากพระเจ้า แต่วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเหมือนโลกแตกสลายไปต่อหน้า เขาหมดแล้วทุกสิ่ง สำหรับเขาไม่เหลือแม้แต่ความฝันหรือความหวัง เขาไปฝังตัวเงียบๆ อยู่คนเดียว ในขณะที่บรรดาศิษย์อื่นๆ มาชุมนุมกันเพราะกลัวพวกยิว พระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์ในค่ำวันต้นของสัปดาห์ให้ทุกคนได้เห็น ยกเว้นโทมัสซึ่งไปอยู่ไหนไม่รู้ ทำให้เขาพลาดการประจักษ์มาของพระเยซูเจ้า และต้องรอไปอีกถึงแปดวัน

2) โทมัสผู้สงสัย โดยนิสัยแล้วโทมัสเป็นคนขี้สงสัย ดังนั้น เมื่อได้ยินศิษย์อื่นๆ พูดเรื่องพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพและเสด็จมาหาบรรดาศิษย์ เขาไม่เชื่อทันที ถ้าเขาไม่ได้เห็นและพิสูจน์ด้วยตัวเองก็จะไม่เชื่อเด็ดขาด แปดวันต่อมาพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์มาอีก และทรงท้าให้โทมัสพิสูจน์ด้วยตัวเขาเอง แม้ข้อเรียกร้องของโทมัสที่จะขอพิสูจน์นั้น ดิบ เถื่อน และไร้ความปรานี แต่พระเยซูเจ้าทรงตอบสนองเขาด้วยความใจดีและเอาใจใส่ แสดงว่าพระองค์ทรงตอบสนองทุกๆ คนตามความจำเป็นของคนเหล่านั้น

3) โทมัสกับความเชื่อของเขา แม้จะเป็นคนเชื่อยากและขี้สงสัย แต่พระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาทำให้ความสงสัยของเขามลายหายไปสิ้น ดูเหมือนเขาไม่ได้เข้าไปพิสูจน์ แต่ประกาศข้อความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ออกมาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเรียกพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้า” มาก่อน นับเป็นความเชื่อขั้นก้าวกระโดดของโทมัส เมื่อเขาตระหนักว่าเป็นพระเยซูเจ้าจริงๆ ซึ่งได้กลับคืนชีพจากความตาย ทำให้เขาเห็นนัยของการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าที่หมายถึง คือ พระองค์มิได้ทรงเป็นเพียงมนุษย์ เพราะมนุษย์ไม่ได้ลุกขึ้นมาจากความตาย พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้านั่นเอง

“ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” ข้อความนี้ พระเยซูเจ้าตรัสกับโทมัสก็จริง แต่หมายถึงเราทุกคนด้วย

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ
Based on : John ‘s Sunday Homilies, Cycle – A ; by John Rose)

ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ปี C

“พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกายแก่บรรดาศิษย์”

นักบุญ ยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา ได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2005 พระองค์ได้ทรงปกครองพระศาสนจักรคาทอลิกเกือบ 27 ปี พระองค์เป็นพระสันตะปาปาที่ทรงรักการเดินทาง ทรงเฉียดความตายหลายครั้ง ในช่วงต้นสมณสมัยของพระองค์ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ (ปี ค.ศ. 1981) ทรงถูกพบว่าเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ในปี 1992 ทรงทนทุกข์จากอาการบาดเจ็บที่ไหล่และสะโพก ในปี 1992 และ 1993 ทรงได้รับการผ่าตัดไส้ติ่งปี 1996 และในปี 2001 พระองค์ต้องทรงทนทุกข์ทรมานจากโรคพาร์กินสัน ช่วงบั้นปลายพระชนม์ทรงได้รับความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด แต่พระองค์ทรงนำความเจ็บปวดของพระองค์หลอมให้เป็นหนึ่งเดียวกับของพระเยซูคริสตเจ้า และทรงอดทนด้วยความสงบ

วันหนึ่ง ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามพระองค์ว่า “พระบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดอภัยในความบ้าบิ่นของผม พระองค์ก็อายุมากแล้ว พระหัตถ์ก็สั่นด้วยโรคพาร์กินสัน พระสุรเสียงก็แหบเบาจนแทบไม่ได้ยิน และการเดินก็ลำบาก พระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานมาก และก็ทรงงานไม่ได้เต็มที่ ทำไมพระองค์ไม่ทรงลาออกเพื่อพักผ่อน และเปิดทางให้คนอื่นๆ รับหน้าที่นี้แทน”

พระสันตะปาปาตรัสตอบว่า “ถ้าพระเยซูเจ้าทรงลงจากกางเขนเมื่อไร ฉันก็จะลงจากหน้าที่ด้วย แต่เนื่องจากว่าพระองค์ยังทรงอยู่บนกางเขน และทรงรับความทรมาน ฉันก็จะยังรับผิดชอบในหน้าที่ต่อไป และรับความทรมานด้วย”

การทนรับความทุกข์ทรมานซึ่งพระองค์ทรงรับเพื่อเห็นแก่ความรักต่อพระคริสตเจ้า และประชากรที่พระคริสตเจ้าทรงมอบไว้ให้พระองค์ ความทุกข์ทรมานของพระสันตะบิดรเป็นสิ่งเดียวกับความรักของพระองค์นั่นเอง

ในพระวรสารของวันนี้ เราได้ยินเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงบาดแผลของพระองค์ให้แก่บรรดาศิษย์ ทรงแสดงรอยแผลที่พระหัตถ์ และที่ด้านข้างพระวรกายซึ่งถูกตอกด้วยตะปู และถูกแทงด้วยหอก พระเยซูเจ้าแม้กลับคืนพระชนมชีพแล้ว ยังคงเก็บรักษารอยแผลไว้ อันที่จริงบัดนี้พระองค์ทรงมีพระกายทิพย์ จะลบรอยบาดแผลนี้ให้หายไปเลยก็ได้ แต่ยังทรงเก็บรักษาไว้เพราะ :

รอยแผลเหล่านี้แสดงถึงเอกลักษณ์ของพระองค์ คือ ศิษย์เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นพระองค์นั่นเองที่เทศนาข่าวดีอยู่ 3 ปี ที่ทรงถูกจับกุม ถูกทำทรมาน และถูกตรึงกางเขน บาดแผลของพระองค์เป็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างพระเยซูเจ้าก่อนสิ้นพระชนม์ และพระเยซูเจ้าหลังกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว

รอยแผลเหล่านี้แสดงถึงความรักของพระองค์ พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “นายชุมพาที่ดีต้องยอมสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ” และสิ่งที่ทรงกระทำไป ไม่ใช่ทรงทำไปเพราะถูกบังคับ แต่ทรงทำไปเพราะความรัก รอยแผลเหล่านี้เป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระองค์ มันเป็นสิ่งเดียวกับความรักของพระองค์

โทมัสพลาดไปที่ไม่ได้อยู่กับบรรดาศิษย์คนอื่นๆ เมื่อพระองค์ทรงประจักษ์กับพวกเขาในครั้งแรก เพื่อแสดงให้เห็นถึงรอยแผลของพระองค์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักของพระองค์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการมอบองค์เป็นยัญบูชาเพื่อชาวเรา เขาไม่เห็นและไม่เชื่อ เขาต้องการพิสูจน์ และการจะพิสูจน์เอกลักษณ์ของพระองค์ให้รู้แจ้งเห็นจริงก็ขึ้นอยู่กับรอยแผลของพระองค์ ถ้าไม่ได้เอานิ้วแยงลงไป ก็จะไม่เชื่อ

เขาต้องรอถึงหนึ่งสัปดาห์ เพราะครั้งแรกที่ทรงประจักษ์เป็นตอนค่ำของวันต้นสัปดาห์ ก็ต้องรอจนถึงวันต้นสัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง เพราะนักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารต้องการบอกเป็นนัยว่า หลังกลับฟื้นคืนพระชนมชีพแล้ว เราอยู่ในห้วงเวลาใหม่ วันใหม่ เดือนใหม่ ปีใหม่ เราเป็นมนุษย์ใหม่ สิ่งสร้างใหม่ และโทมัสก็ได้เห็นรอยแผล บัดนี้เขาได้เชื่อแล้ว เขาประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” ท่านยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารต้องการให้ตอนนี้ซึ่งเป็นตอนจบพระวรสารประกาศอย่างสง่าว่า “ท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้า” และตอนจบนี้ก็ไปตรงกับตอนเริ่มต้นพระวรสารของท่านอย่างตั้งใจว่า “เมื่อแรกเริ่มนั้นพระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว…และพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า”

พี่น้องเชื่อหรือยังครับว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้า แม้ไม่ได้เห็นเหมือนโทมัส แต่ถือว่ามีบุญอย่างยิ่ง

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by John Rose )