
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ปี B
“เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด”
นี่เป็นพระภารกิจแรกๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มกระทำตามพระวรสารของนักบุญมาระโก คือพระองค์เสด็จไปแคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวดีของพระเจ้า ทรงประกาศว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด
การกลับใจเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งในทัศนะของพระเยซูเจ้า การเรียกร้องให้มีการกลับใจมีมาโดยตลอดในกระแสประวัติศาสตร์แห่งความรอด บรรดาประกาศกในสมัยพันธสัญญาเดิมล้วนเรียกร้องให้ประชาชนชาวอิสราเอลกลับใจ เปลี่ยนวิถีทางดำเนินชีวิต หันกลับมาหาพระเจ้า เคารพเชื่อฟังในพระองค์และกฎเกณฑ์ของพระองค์ พระเจ้าทรงมีพระทัยดีและพร้อมจะทรงอภัยโทษให้สำหรับผู้ที่แสดงออกถึงการกลับใจอย่างแท้จริง
พระวาจาของพระเจ้าสำหรับอาทิตย์นี้ยกตัวอย่างเรื่องของประกาศกโยนาห์ เพื่อสอนเรื่องนี้แก่เรา โดยส่วนตัวแล้วชอบเรื่องของโยนาห์มาก อ่านแล้วมีความประทับใจมาก อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย และแทบจะจำเรื่องราวได้เป็นฉากๆ เกือบทั้งหมด เมื่อไรที่ได้ยินอีกครั้ง ก็ยังประทับใจอยู่เหมือนเดิม เรื่องราวของโยนาห์ถือว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้ฉงนสนเท่ห์ใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์เลยทีเดียว โยนาห์เป็นประกาศกที่เอาแต่วิ่งหนี (the runaway prophet) ประกาศกคนอื่นๆ ถูกพระเจ้าทรงเรียกหรือทรงสั่งให้ทำอะไร จะตอบ “ข้าพระองค์อยู่นี่ ข้าพระองค์พร้อม ที่จะทำตามพระประสงค์” แต่สำหรับโยนาห์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้า โยนาห์วิ่งหนีเลย น่าจะสันนิษฐานว่าคงเป็นคนที่วิ่งเก่ง วิ่งเร็ว ถ้าวิ่งแข่ง 100 เมตรกับบรรดาประกาศกทั้งหลาย โยนาห์ชนะขาดไปเลย คนอื่นๆ ไม่เห็นแม้แต่ฝุ่นด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพราะโยนาห์ชอบวิ่งไปทางด้านตรงข้าม พระเจ้าสั่งให้ไปข้างหน้า โยนาห์วิ่งไปข้างหลัง พระเจ้าทรงสั่งให้ไปที่เมืองนีนะเวห์นครใหญ่ และให้ทำตามที่พระองค์ตรัสสั่ง เขาตีตั๋วเดินทางโดยเรือทันที แต่ไปในทิศตรงกันข้าม โยนาห์รู้ดีว่าการให้ไปประกาศว่าเมืองนี้จะถูกทำลายภายใน 40 วันนั้น จะเป็นการพูดไปโดยเสียเปล่า เมืองนี้คงไม่ถูกลงโทษ เพราะพระเจ้าทรงมีพระเมตตามาก ดังนั้น จัดกระเป๋าไปเที่ยวดีกว่า ไปเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทิศตรงข้ามกับเมืองที่ทรงสั่งไว้นั่นแหละดี ถ้าภารกิจนี้เป็นงานชิ้นแรกที่พระเจ้าทรงมอบให้โยนาห์ทำ ก็เป็นการปฏิเสธครั้งแรกของเขาเหมือนกัน
ดู ดู๋ ดู ดูโยนาห์ทำ ทำไมถึงทำอย่างนี้ได้
ถ้าจะคิดว่าโยนาห์แสบจริงๆ ทำไมถึงกล้าทำเช่นนี้ได้ ก็ขอให้เราแต่ละคนย้อนกลับมาดูตัวเรา ความคิดกบฏของเราและการกระทำที่ตรงกันข้ามกับคำสั่งสอนของพระ ก็คงไม่น้อยไปกว่าของโยนาห์ อย่างไรก็ดี ที่สุดโยนาห์ก็หนีพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่พ้น เรือที่โยนาห์นั่งไป ที่จริงโยนาห์ไม่ได้นั่งไปด้วย แอบไปนอนอุตุอยู่ที่ลึกที่สุดในเรือ แต่ถูกคลื่นลมพายุปั่นป่วนที่สุด เขาถูกจับโยนลงทะเล โดยเขาแนะนำให้กลาสีและลูกเรือทำเช่นนั้นเอง เพราะรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุ แต่มีปลาใหญ่มากลืนโยนาห์เข้าไป แล้วไปสำรอกออกมาที่ชายหาดเมืองนีนะเวห์ โยนาห์เหมือนคนที่ตายไปแล้ว กลับมามีชีวิตใหม่ เขาจึงทำตามที่พระเจ้าทรงสั่ง ประกาศต่อชาวเมืองว่าจะถูกทำลาย ชาวเมืองพากันกลับใจ ตั้งแต่ผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด จนถึงผู้น้อยที่สุด พระเจ้าจึงทรงกลับพระทัยด้วยเช่นกัน ไม่ทรงลงโทษชาวเมืองนีนะเวห์ตามที่ทรงตั้งใจไว้
มีเกร็ดเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับเรื่องของโยนาห์ โดยนำมาจากหนังสือ Sunday Seeds for Daily Deeds ของ Francis Gonsalves, S.J. ดังนี้ : คุณครูผู้หญิงคนหนึ่งสอนนักเรียนชั้นประถมปีที่สองว่า การที่ปลาวาฬจะกลืนคนเข้าไปนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะแม้ปลาวาฬจะเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่ แต่มันมีคอหอยที่เล็ก เด็กหญิงคนหนึ่งยกมือประท้วง พูดว่า “แต่ปลาวาฬก็ได้กลืนโยนาห์เข้าไปนะคะ” คุณครูตอบว่า “นั่นเป็นแค่เรื่องเทพนิยาย” เด็กหญิงไม่เห็นด้วยกับจุดยืนของครูสาว จึงพูดต่อว่า “เมื่อหนูได้ไปสวรรค์ หนูจะถามโยนาห์” คุณครูยิ้ม ถามกลับว่า “แล้วถ้าโยนาห์อยู่ในนรกล่ะ จะว่าอย่างไร” เด็กหญิงตอบทันทีว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณครูก็ถามเขาก็แล้วกัน”
นี่แสดงให้เห็นว่า บางทีการตีความในพระคัมภีร์ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน บางทีเราตีความแค่ตามตัวอักษร ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอ ถ้าเด็กหญิงนั้นใสซื่อที่จะเข้าใจว่าเรื่องของโยนาห์เป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ คุณครูสาวของเธอก็มีความเขลาพอกันที่จะปิดกั้นเรื่องนี้ว่าเป็นแค่”เทพนิยาย” เพราะการเล่าเรื่องในหนังสือโยนาห์ เป็นเรื่องที่แต่งไว้เพื่อใช้สอน (didactic fiction) โดยมีความจริงลึกๆที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้คือ (1) พระเจ้าทรงต้องการให้ทุกคนได้รับความรอด (2) พระเจ้าทรงใช้ประกาศกไปเทศน์สอนเรื่องความรอดพ้นและการกลับใจ และ (3) ประชาชนมีอิสระที่จะรับ หรือ ปฏิเสธ ข้อเสนอของพระองค์ในเรื่องของความรอดพ้น
เมื่อไปค้นหาคำอธิบายเรื่องหนังสือโยนาห์จากพระคัมภีร์คาทอลิกฉบับสมบูรณ์ มีข้อความน่าสนใจดังนี้ “หนังสือสั้นๆฉบับนี้มีลักษณะแตกต่างจากหนังสือประกาศกฉบับอื่นๆทุกฉบับ คือเป็นเรื่องเล่าทั้งหมด เล่าเรื่องประกาศกคนหนึ่งที่ไม่เชื่อฟัง…….หนังสือฉบับนี้เขียนขึ้นเป็นเรื่องตลกเพื่อสอนใจ เป็นเทพนิยายเพื่อใช้สอน….จุดยอดของคำสอนหนังสือเล่มนี้คือ สอนว่า แม้คำคาดโทษอย่างรุนแรงที่สุด ก็ยังเป็นเครื่องหมายแสดงพระเมตตากรุณาของพระเจ้า พระองค์ประทานอภัยทันทีที่คนบาปแสดงเครื่องหมายว่าได้เป็นทุกข์กลับใจแล้ว (พระคัมภีร์คาทอลิกฉบับสมบูรณ์ หน้า 1423-ผู้เขียน)
บทสรุปจากเรื่องนี้คือ กลับใจ กลับใจ กลับใจ
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ปี B
“จงตามเรามาเถิด เราจะให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์”
ในปี ค.ศ. 1928 ขณะที่มีอายุได้ 18 ปี คุณแม่เทเรซา ได้เข้าคณะซิสเตอร์แห่งลอเรโตโดยเป็นผู้ฝึกหัด ปีต่อมาเธอได้เดินทางไปที่ประเทศอินเดีย แรกเริ่มทีเดียว เธอต้องสอนเรียนที่เมืองดาร์จีลิง และต่อมาที่เมืองกัลกัตตา ในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1946 ในขณะที่เธอโดยสารรถไฟจากเมืองดาร์จีลิงไปกัลกัตตา เธอได้ยินพระสุรเสียงของพระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่า “ฉันต้องการให้เธอรับใช้ฉันในพวกคนที่จนที่สุด” การดลใจนี้เปลี่ยนชีวิตของเธอ เธอรู้ว่าจะต้องละชีวิตในอาราม ละการสอน และอุทิศชีวิตเพื่อทำงานและภาวนาให้กับพวกที่จนมากๆ เหล่านี้ เธอมั่นใจว่า นี่เป็นคำสั่งจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในปี ค.ศ. 1948 เธอจึงเขียนจดหมายถึงกรุงโรมขออนุญาตเป็นพิเศษที่จะอาศัยอยู่นอกอารามเพื่อการทำงานนี้ และเธอก็ได้รับอนุญาต ก่อนอื่นหมดเธอไปเรียนช่วงสั้นๆ เรื่องการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์กับคณะซิสเตอร์มิชชันนารีที่เป็นแพทย์ของอเมริกาที่เมือง Patna พอกลับมาที่เมืองกัลกัตตา เธอไปอาศัยที่บ้านของคณะภคินีน้อยแห่งคนจนที่ทำงานอยู่ในสลัม แล้วนั้นเธอก็ได้เริ่มการอุทิศตนอย่างยิ่งใหญ่ให้กับบรรดาผู้ยากจนที่สุด
ชีวิตของคุณแม่เทเรซา เริ่มจากการที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเธอในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1946 ขณะเดินทางอยู่บนรถไฟ ถ้าเราย้อนกลับไปตั้งแต่ในสมัยพันธสัญญาเดิมจากบทอ่านแรกก็พบว่า พระองค์ทรงเรียกโยนาห์ให้เป็นประกาศกไปประกาศให้ชาวนีนะเวห์กลับใจ แม้ว่าโยนาห์จะไม่เหมือนประกาศกอื่นใดเลยในพันธสัญญาเดิม เพราะส่วนใหญ่ประกาศกต่างๆ จะถูกใช้ให้ไปเตือนชาวอิสราเอลด้วยกัน แต่โยนาห์ถูกใช้ให้ไปเตือนคนต่างชาติ และเป็นชนชาติที่ชั่วช้าจนเป็นที่เล่าลือกัน แถมยังเป็นศัตรูกับอิสราเอลอีกด้วย โยนาห์อยากให้ชาวนีนะเวห์ตายไปเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่ให้ได้รอด ดังนั้น จึงแผลงฤทธิ์เดชกับพระเจ้าอยู่พักใหญ่ เช่นหนีการเรียกของพระเจ้า เดินทางไปยังเมืองตรงข้ามกับที่จะต้องไปประกาศ ยอมให้กัปตันเรือและพวกลูกเรือโยนเขาลงไปในทะเลคลั่งเพื่อจะตายๆ ไปเสีย ดีกว่าจะต้องไปทำงานที่ฝืนใจ แต่ที่สุด เมื่อหนีพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่พ้นแล้ว เขาก็ร้องประกาศกับชาวเมืองตามพระบัญชา
แล้วเราจะพบเรื่องในพระวรสารของวันนี้ว่า พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ที่ซึ่งมีคนอาศัยอยู่มาก และปะปนกัน ไม่ใช่เฉพาะชาวอิสราเอลเท่านั้น ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด”จะเห็นว่าข่าวสารที่พระองค์ทรงประกาศมีเนื้อหาเหมือนที่ประกาศกเคยประกาศ คือเรียกร้อง การกลับใจ การเชื่อฟังพระเจ้า
แต่งานยิ่งใหญ่เช่นนี้ พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้เรามีส่วนร่วมงานด้วย ไม่ทรงทำเพียงพระองค์เดียว จึงทรงเรียกอัครสาวกรุ่นแรกๆ มาร่วมงานกับพระองค์คือทรงเรียก ซีโมน และอันดรูว์น้องชาย ทรงเรียก ยากอบ และยอห์นน้องชาย และทั้งสี่ก็ติดตามพระองค์ วันที่ทรงเรียกพวกเขา ก็เป็นวันเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา
อันที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนๆ ด้วยวิธีการแตกต่างกัน เพราะเราแต่ละคนต่างก็ถูกสร้างมาด้วยลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน บางคนกว่าจะตอบรับการเรียกของพระองค์ ก็ทำตัวสุดแสบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโยนาห์ คือวิ่งหนีพระเจ้าไปจนสุดทาง และจนมุม ที่สุดเมื่อไปไหนไม่รอด จึงหันกลับมารับใช้พระวรสาร ซึ่งก็ถือว่ายังดี แต่บางคนก็น้อมรับตั้งแต่แรกด้วยดี และตอบรับการเรียกของพระด้วยคำพูดที่ว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ข้าพระองค์พร้อมที่จะทำตามพระประสงค์”
ขอให้วันที่พระทรงเรียกเรา เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตของเรา
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา อาทิตย์ที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2012
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle-B ; by : John Rose )
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- พระสันตะปาปาฟรานซิสนำการเดินรูป 14 ภาค ปี 2021
- “พฤษภาคม” เป็นเดือนแห่งการสวดสายประคำเพื่อต่อต้านโรคระบาด
- สันตะสำนักออกหนังสือ คู่มือการสอนคำสอน พร้อมกับคำแนะนำใหม่ในการสอนคำสอน
- สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”
- สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม