
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B
“แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกำลังจะมาสู่โลก”
ชายคนหนึ่งชื่อ Mike Bradaric ได้รวบรวมวิถีทางที่พระทรงไขแสดงทีละขั้นๆ ถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ดังนั้น ตั้งแต่ในสมัยพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่พระทรงค่อยๆ เผยแผนการกอบกู้มนุษยชาติว่าจะเป็นเช่นไร
ใน ปฐก. 3:15 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะมาจากเชื้อสายของมนุษย์
ใน ปฐก. 12:1-3 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะมาจากเชื้อสายของอับราฮัม
ใน ปฐก.28:14 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะมาจากเผ่าพันธุ์ของยาโคบ และดังนั้นจะเรียกชื่อว่าอิสราเอล
ใน ปฐก. 49:10 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะมาจากตระกูลของยูดาห์
ใน 2 ซมอ. 7:16 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะสืบมาจากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด และพระองค์จะทรงปกครองตลอดไป
ใน อสย. 7:14 – ทรงเผยว่าจะทรงบังเกิดจากพรหมจารี
ใน มคา. 5:2 – ทรงเผยว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม
ใน สดด. 22 – ทรงเผยว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะตายเช่นไร
ใน มลค. 4 – ทรงเผยว่าประกาศกเอลียาห์จะถูกส่งมาก่อนเพื่อประกาศถึงพระองค์
ใน อสย. 53 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะตายอย่างไร ถูกฝังและกลับฟื้นคืนพระชนม์อย่างไร
จะเห็นว่าในพันธสัญญาเดิมนั้น พระเจ้าทรงค่อยๆ เผยแสดงข้อมูลต่างๆ อย่างช้าๆ เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ แต่เมื่อเวลาใกล้มาถึง พระองค์ทรงส่งยอห์น บัปติสต์ มาเตรียมทางสำหรับพระองค์ และจะเป็นผู้ชี้ไปที่พระองค์เมื่อทรงเสด็จมาแล้วด้วย เมื่อยอห์นปรากฏตัวในถิ่นทุรกันดาร เหมือนเช่นประกาศกเอลียาห์ ต่างกันตรงที่ท่านไม่ยอมรับว่าเป็นประกาศกคนใดคนหนึ่ง หากแต่ว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงที่ร้องว่า จงกลับใจเถิด พระอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว” เสียงประกาศก้องของท่าน ดังสะท้อนไปทั่วทั้งแผ่นดิน และนำประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งจากในเมือง จากหมู่บ้านทั้งใหญ่และเล็กมาหาท่าน มาฟังท่าน และขอรับพิธีล้างจากท่าน
บรรดาผู้นำชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม เริ่มเดือดร้อนในการปรากฏตัวมาของยอห์น จึงใช้คนมาสืบว่าท่านเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ ท่านก็ตอบชัดเจนว่า “ไม่ได้เป็น” เป็นแต่เพียงผู้นำหน้า ซึ่งไม่สำคัญอะไรกับรูปลักษณ์ของท่าน แต่จงฟังเสียงแห่งความจริงที่ท่านประกาศดีกว่า คือให้เตรียมตัวต้อนรับท่านผู้นั้น ซึ่งมาภายหลังท่าน
เราเห็นบทบาทของยอห์นแล้วเรารู้สึกทึ่งหรือไม่ ท่านช่างเป็นคนที่ทำหน้าที่ตามบทบาทของท่านได้อย่างสมบูรณ์ยอดเยี่ยม ถ่อมตนจนไม่คิดถึงตนเองเลย ไม่คิดว่ามีตัวตนด้วยซ้ำ มุ่งจะทำหน้าที่เป็นเสียงร้อง คอยเตือนให้คนเตรียมจิตใจรับเสด็จพระคริสต์ ท่านเองคิดว่าตัวท่านไม่สมควรแม้จะแก้สายรัดพระบาทของพระองค์ด้วยซ้ำ นี่แหละเป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงชมว่าผู้ที่เกิดจากหญิง ไม่มีใครยิ่งใหญ่เท่ากับยอห์น บัปติสต์
แล้วเราแต่ละคนล่ะ รู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร มีบทบาทอะไรในโลกนี้ เราดำเนินชีวิตเพื่อใคร หรือเพื่ออะไร ถ้าเปรียบชีวิตเราเหมือนเสื้อยืดที่มีคำเขียนสลักไว้ จะเขียนว่าอะไร
“เงิน เงิน เงิน”
“งาน งาน งาน”
“กิน ดื่ม เที่ยว”
หรือจะเปลี่ยนแนวเป็น
“รับใช้ บริการ รับใช้”
“ความดี คือธุรกิจที่ฉันทำ”
“พระเจ้าผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว”
ลองสำรวจดูนะครับ ว่าเราดำเนินชีวิตในรูปแบบไหน บางทีเสียงเตือน ของท่านยอห์นอาจจะก้องกังวานอยู่ในหัวใจของเราให้จัดระเบียบชีวิตให้สอดคล้องกับภารกิจที่พระทรงมอบให้เราทำในโลกนี้
ก็เป็นไปได้
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B
จงกล้าที่จะชื่นชมยินดี
อาทิตย์ที่ 3 ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า มีชื่อเรียกเป็นภาษาลาตินว่า “Gaudete Sunday” เหมือนภาษาอังกฤษว่า “Rejoice Sunday” หมายถึงอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี พระวาจาของพระสำหรับอาทิตย์นี้จะพบคำว่า “ชื่นชมยินดี” นี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบทอ่านแรก จากหนังสือประกาศกอิสยาห์ “ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า” ในบทอ่านที่สอง จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง “พี่น้อง จงร่าเริงยินดีเสมอ” และในพระวรสารของนักบุญยอห์นได้ให้เหตุผลที่ประชาชนควรจะชื่นชมยินดี เพราะพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย บัดนี้ได้มาประทับอยู่ในหมู่ของพวกเขาแล้ว เป็นการประกาศจากท่านยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง ผู้ที่มาเป็นพยานถึงแสงสว่าง
บางที บางเวลา และบางคน อาจจะสงสัยว่า จะให้มีความเปรมปรีดิ์ มีความชื่นชมยินดีได้อย่างไร ประชาชนกำลังอยู่ในท่ามกลางความแตกแยก อยู่ท่ามกลางหมู่ศัตรู อยู่ในความเจ็บปวดรวดร้าว การกดขี่ข่มเหง และการเบียดเบียน เราจะมีความชื่นชมยินดีได้อย่างไรในเมื่อธุรกิจการค้าพัง การท่องเที่ยวหยุดชะงัก หลายธุรกิจสูญหาย และคนมากมายตกงาน หรือหางานทำไม่ได้ ประเทศเราเผชิญวิกฤติหลายอย่าง จะมีอะไรเป็นความหวังได้หรือ ยังจะมีความชื่นชมยินดีจริงๆได้หรือ
ในบทรำพึงของพระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ที่ 16 ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี ค.ศ. 2005 ทรงเขียนไว้ดังนี้
“เมื่อพระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อเมืองนาซาเร็ธ มาหาหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง…. หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า ‘จงยินดีเถิด’ ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน” – คำว่า ‘Kaire’ ในภาษากรีก หมายถึง “จงชื่นชมยินดี” “จงเป็นสุข” ความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาสคือสิ่งนี้ : พระเจ้าทรงอยู่ใกล้เรา ใกล้เรามากจนกระทั่งพระองค์ทรงกลับกลายเป็นเด็กคนหนึ่ง พวกเราคงตระหนักได้ว่าโลกของเราทุกวันนี้ ที่ไม่มีพระองค์ประทับอยู่ ถูกครอบครองด้วยความกลัว ด้วยความไม่แน่นอน ถึงกระนั้นคำที่ว่า “จงชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา” ก็เป็นการเปิดวันเวลาใหม่อย่างแท้จริง ความชื่นชมยินดีเป็นของขวัญแท้จริงของคริสต์มาส ไม่ใช่ของขวัญชิ้นที่มีราคาแพงที่ต้องใช้เงินมากๆ หรือใช้เวลาแสวงหาอยู่นาน เราสามารถพบความชื่นชมยินดีได้โดยง่ายด้วยรอยยิ้ม ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ด้วยการให้ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ หรือด้วยการรู้จักให้อภัย และความชื่นชมยินดีนี้ที่เราให้ออกไป จะวนกลับเข้ามาหาเราอย่างแน่นอน ให้เราภาวนาขอให้การประทับอยู่ของพระเจ้า ทรงนำความชื่นชมยินดีและฉายแสงโดยตรงมาสู่ชีวิตของเรา
เราคงทราบถึงความแตกต่างระหว่างความสุขกับความชื่นชมยินดี ความสุขคือเมื่อมีบางสิ่งทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้า ส่วนความชื่นชมยินดี คือเมื่อมีบางสิ่งทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ พระเจ้าทรงต้องการให้เราดำเนินชีวิตด้วยความชื่นชมยินดี ความชื่นชมยินดีเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่มีวันผิดพลาดในการประทับอยู่ของพระเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้เราสู้ทนกับชีวิตของเรา แต่ด้วยความชื่นชมยินดี
ครั้งหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญในด้านการแนะนำวิญญาณได้กล่าวว่า มีสองวิธีที่ทำให้เกิดความอบอุ่นแก่ร่างกาย หนึ่งคือการกระโดดขึ้นและลง หรือการออกกำลังกายในรูปแบบอื่นๆที่คล้ายกัน ร่างกายเราจะอบอุ่นนานเท่านานตราบเท่าที่เรายังออกกำลังกาย แต่ถ้าเราเหนื่อยและหยุด ร่างกายก็จะค่อยๆเย็นลง วิธีที่สองที่ง่ายกว่ามาก คือเราไปยืนอยู่ใกล้กองไฟ เราจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย ใช่แล้วครับ พระเยซูเจ้าทรงเป็นไฟที่ทำให้เราลุกร้อนขึ้นมา เราต้องการอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า
คุณพ่อจิตตาธิการโรงพยาบาลมีหน้าที่ไปเยี่ยมคนป่วย ท่านกล่าวว่า มีคนป่วยจำแนกได้เป็นสองพวกด้วยกัน พวกแรกคือพวกที่ตกใจกลัว สับสนหรือโกรธ (รวมไปถึงญาติของคนไข้ด้วยที่รู้สึกแบบเดียวกัน) พวกเขามักตั้งคำถามว่า ทำไมจึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น มีพระเจ้าจริงหรือ ตัวฉันเอง (หรือพ่อแม่ฉัน หรือลูก หรือพี่น้องของฉัน) ได้ทำอะไรผิด จึงสมควรกับโรคเหล่านี้
ในทางตรงข้ามกับคนกลุ่มที่สอง แม้ว่าเขาต้องประสบโรคร้ายแรง และต้องทนทุกข์ทรมานมาก แต่พวกเขากลับจัดการกับอารมณ์ได้ โดยยิ้มสู้และพูดว่า “พระเจ้าทรงดีเหลือล้น พระองค์ได้ทรงอวยพระพรนานัปการให้ตลอดชีวิต และฉันไว้วางใจในพระองค์หมดหัวใจ” บทสรุปในที่นี้ คือว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีความชื่นชมยินดี ควบคู่ไปกับการต้องทนรับความทุกข์ทรมานต่างๆ จึงทำให้เราพอจะมั่นใจได้ว่าความชื่นชมยินดีของเรามีแหล่งกำเนิดภายในตัวบุคคล คือในองค์พระเยซูเจ้า มากกว่าความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราวที่เราแสดงออกมา”
ขีดขั้นของความชื่นชมยินดีของเรามีความสัมพันธ์โดยตรงกับการที่เรามีความใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า และพระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับเรามากน้อยแค่ไหน ผู้คนที่ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้ามากๆ จะสัมผัสได้ถึงความชื่นชมยินดีอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงรับทุกข์ทรมาน และทรงถูกตรึงการเขนที่พวกเขาเข้ามาใกล้ชิด แต่พระองค์ยังทรงมอบความชื่นชมยินดีให้ แม้จากบนไม้กางเขน ความชื่นชมยินดีอยู่เหนือความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทุกชนิด แน่นอนครับ ว่าความชื่นชมยินดีเช่นนี้ เป็นมากกว่าความสุข หรือรอยยิ้มที่เผยออกมาภายนอก
ดังนั้น เราสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ในท่ามกลางความทุกข์ทรมาน และความยุ่งยากทุกชนิด ตราบเท่าที่เรายังใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้า นี่คือเคล็ดลับของบรรดานักบุญ พวกท่านได้เข้าถึงความใกล้ชิดกับพระองค์ในขีดขั้นที่ว่าความทุกข์ทรมานเป็นเพียงการเพิ่มความชื่นชมยินดีให้ เพราะทำให้พวกท่านเป็นเหมือนพระคริสต์ผู้ทนทุกข์ได้ง่ายขึ้น เคล็ดลับของบรรดานักบุญนี้ ควรจะเป็นเคล็ดลับของเราด้วย ยิ่งเราใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้นเท่าไร ความชื่นชมยินดีของเราก็จะทวีมากขึ้นเท่านั้น
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2020
Based on : Ignite Your Spirit ; by Fr John Pichappilly)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- เกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เลขานุการของพระสันตะปาปาแถลงข่าวเพื่อชี้แจง
- สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม
- วันที่ 23 กันยายน
ระลึกถึงนักบุญปีโอ แห่ง ปีเอเตรลชีนา - พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงยืนยันว่า
เลบานอนคือประเทศต่อไปที่พระองค์จะเสด็จไปเยือน - บทเทศน์บทรำพึง
อาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดาปี A