Skip to content

สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส
โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม

นักบุญเจโจม - Gerolamo (Caravaggio) ผู้ศรัทธาต่อพระคัมภีร์

วันที่ 30 กันยายน 2020 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงออกสมณลิขิตชื่อ “Scriptula Sacrae Affectus” (ความศรัทธาต่อพระคัมภีร์) สมณลิขิตดังกล่าวอุทิศให้กับนักบุญเจโรมในโอกาสครบ 1600 ปีแห่งการมรณภาพของท่าน

สมณลิขิต
“SCRIPTURAE SACRAE AFFECTUS”
ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
โอกาสครบ 1600 ปี แห่งการมรณภาพของนักบุญเจโรม

ความศรัทธาต่อพระคัมภีร์เป็น “ความรักทรงชีวิตและอ่อนโยน” ต่อพระวาจาที่จารึกไว้ของพระเจ้า นี่เป็นมรดกที่นักบุญเจโรมฝากไว้กับพระศาสนจักรด้วยชีวิต และการทำงานของท่าน

        บัดนี้ในโอกาสครบรอบ 1600 ปีแห่งการมรณภาพของท่านนักบุญ คำบรรยายมากมายที่พวกเรานำมาสวดในจารีตพิธีรำลึกถึงท่าน [1] ทำให้พวกเรามองเห็นถึงภาพที่สวยงามในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร และความรักอันยิ่งใหญ่ของนักบุญเจโรมต่อพระเยซูคริสต์ “ความรักทรงชีวิตและอ่อนโยน” นั้นหลั่งไหลดุจสายน้ำที่หล่อเลี้ยงสายธารนับไม่ถ้วนอาศัยการทำงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในฐานะที่เป็นนักวิชาการ นักแปล นักตีความพระคัมภีร์ ความรอบรู้อย่างลึกซึ้งของนักบุญเจโรมเกี่ยวกับงพระคัมภีร์ ความร้อนรนของท่านที่จะให้ผู้คนรู้จักคำสอน ความเชี่ยวชาญของท่านในการตีความ การปกป้องความจริงแห่งพระศาสนจักรด้วยใจร้อนรนและบางทีถึงกับรุนแรง ชีวิตพรตและการถือวินัยพรตอย่างเคร่งรัด การให้คำแนะนำวิญญาณด้วยใจกว้างและเอาใจใส่ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้แม้แต่จะผ่านไปเป็นเวลาถึง 1600 ปี หลังการมรณภาพของท่านนักบุญ ภาพและแบบฉบับของท่านก็ยังเป็นสิ่งที่คู่ควรสำหรับพวกเราคริสตชนแห่งคริสตศตวรรษที่ 21

คำนำ

        วันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 420 นักบุญเจโรมมรณภาพที่ตำบลเบ็ธเลเฮมในชุมชนที่ท่านตั้งขึ้นใกล้กับถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่พระกุมารบังเกิด ท่านจึงมอบตนให้กับพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านพยายามแสวงหาและรู้จักพระองค์โดยทางพระคัมภีร์ เป็นพระเจ้าพระองค์เดียวกันกับที่ท่านเห็น เป็นผู้พิพากษาที่ท่านได้พบในความฝันซึ่งน่าจะเป็นในเทศกาลมหาพรตในปี ค.ศ. 375 ความฝันนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของท่าน เป็นโอกาสแห่งการกลับใจและเปลี่ยนพฤติกรรมของท่านทั้งหมด  ท่านพบว่าตนเองถูกฉุดชากลากถูไปไว้ต่อหน้าผู้พิพากษา ดังที่ท่านจำได้ว่า “เมื่อข้าพเจ้าถูกถามเกี่ยวกับสถานภาพของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคริสตชน แต่ผู้พิพากษาตรัสพ้อว่า ‘แกโกหก! แกมันเป็นพวกนับถือลัทธิชิเชโร แกไม่ใช่คริสตชน’’ [2] ตั้งแต่เด็กเจโรมชอบความงามความอ่อนละมุนละไมของวรรณคดีลาติน ซึ่งข้อเขียนของพระคัมภีร์สร้างความประทับใจให้เจโรมตั้งแต่เด็กว่า เนื้อหาสาระเปิดเผยดีแบบตรงไปตรงมา และไม่มีไวยากรณ์ยุ่งยาก ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับเขาที่มีรสนิยมไปทางวรรณกรรมชั้นสูง

        ประสบการณ์นั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เจโรมอุทิศตนอย่างสิ้นเชิงให้กับพระเยซูคริสต์ และพระวาจาของพระองค์ โดยอาศัยการแปลและการวิเคราะห์ไตร่ตรอง ท่านทำให้พระวาจาที่เขียนไว้ของพระเจ้าเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับผู้อื่น ท่านปรับวิถีชีวิตของตนใหม่อย่างสิ้นเชิง ท่านกลายเป็นผู้รับใช้พระวาจาของพระเจ้าในความรักกับ “เนื้อหาของพระคัมภีร์” ดังนั้นในการแสวงหาความรู้ที่เป็นจุดเด่นแห่งชีวิตของท่าน ท่านได้ใช้เวลาเป็นอย่างดีในวัยรุ่นไปในการศึกษาโดยหันเข็มทิศไปในการรับใช้พระเจ้า และชุมชนพระศาสนจักร

        ผลที่ตามมาคือนักบุญเจโรมกลายเป็นบุคคลสำคัญของพระศาสนจักรโบราณในยุคที่เรียกกันว่ายุคทองแห่งบรรดาปิตาจารย์ ท่านทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตก ท่านมีเพื่อนวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่อรูฟีนุสแห่งอากวีเลยา (Rufinus of Aquileia) ท่านรู้จักนักบุญอัมโบรส (Ambrose) และตอบโต้กันทางจดหมายบ่อยๆกับนักบุญออกัสติน (Augustine)  ทางตะวันออกท่านรู้จักนักบุญเกรโกรรี่แห่งนาซีอานซุส (Gregory of Nazianzus), ดิดีมุส (Didymus) ชายตาบอด และเอปีฟานิอุสแห่งซาลามิส (Epiphanius of Salamis) บรรดาคริสตชนถือว่าท่านอยู่ในระดับเดียวกันกับ นักบุญออกัสติน อัมโบรส และเกรโกรรี่ผู้ยิ่งใหญ่ (Augustine, Ambrose และ Gregory the Great) ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่ปราชญ์แห่งพระศาสนจักรตะวันตก

        สมเด็จพระสันตะปาปาผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าข้าพเจ้า ได้ยกย่องให้เกียรติแก่นักบุญเจโรมในโอกาสต่างๆ  เมื่อคริสตศตวรรษที่แล้วมา คือคริสตศศตวรรษที่ 15 หลังการมรณภาพของท่าน พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ได้ออกสมณสาส์นชื่อ “Spiritus Paracliticus” (15 กันยายน ค.ศ. 1920) แก่เจโรมโดยมอบให้ท่านเป็น “doctor maximus esplanandis Scripturis” [3] เมื่อไม่นานมานี้พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ยกถวายหนังสือการสอนคำสอนทั้ง 2 ครั้งให้กับท่านนักบุญและผลงานของท่าน [4] บัดนี้ในโอกาสครบ 1600 ปีแห่งการมรณภาพของท่านนักบุญ  ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะรำลึกถึงท่านเช่นเดียวกัน เพื่อที่จะเน้นอีกครั้งหนึ่งถึงสาส์นและคำสอนของท่านโดยเริ่มต้นที่ความรักอันยิ่งใหญ่ของท่านต่อพระคัมภีร์

        อันที่จริงในฐานะที่เป็นผู้แนะนำที่มีความแน่นอน และเป็นประจักษ์พยานที่แท้จริง เจโรมรู้สึกว่าจะเป็นแรงผลักดันทั้งการประชุมสมัชชาซีนอดพระสังฆราชครั้งที่ 12 ซึ่งอุทิศให้กับพระวาจาของพระเจ้า [5] และสมณสาส์นเตือนใจ “Verbum Domini” ของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ตีพิมพ์ออกมาในวันฉลองนักบุญโจโรม คือวันที่ 30 กันยายน 2010 [6]

จากกรุงโรมสู่เบ็ธเลเฮม

        การเดินทางชีวิตของนักบุญเจโรมกอปรด้วยการเดินทางไปตามท้องถนนแห่งกรุงโรมระหว่างยุโรปกับซีกโลกตะวันออก ท่านถือกำเนิดราวปี ค.ศ. 345 ที่สตรีดอน (Stridon) ที่อยู่ตามชายแดนระหว่างดาลมาเทียและพานโนเนีย (Dalmatia และ Pannonia) ซึ่งปัจจุบันคือประเทศโครอาเชียและสโลเวเนีย (Croatia และ Slovenia) ท่านได้รับการอบรมเป็นอย่างดีในครอบครัวคาทอลิก  เนื่องจากเป็นธรรมเนียมของคนสมัยนั้น ท่านได้รับศีลล้างบาปเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 358-364 ในขณะที่เรียนวิชาวาทศิลป์ที่กรุงโรม ในช่วงที่เรียนอยู่ที่กรุงโรมเขาชอบอ่านบทกวีภาษาลาตินและเรียนวิชาวาทศิลป์กับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น

        ในการศึกษาของท่าน ท่านเดินทางไกลไปทั่วประเทศฝรั่งเศสจนทะลุไปถึงเมือง ทริแอร์ (Trier) ซึ่งบัดนี้อยู่ในประเทศเยอรมานี ณ ที่นั้นท่านได้พบกับชีวิตพรตของคริสตชนจารีตตะวันออกที่เผยแพร่โดยนักบุญอาติมาซีอุส (Atimasius) ผลก็คือทำให้ท่านมีประสบการณ์อย่างล้ำลึก และสร้างแรงบันดาลใจให้อย่างมากทีเดียว ซึ่งนำท่านไปยังอากวีเลยา (Aquileia) ณ ที่ซึ่งพร้อมกับเพื่อนบางคนท่านได้กลายเป็น “กลุ่มนักร้องของผู้ที่มีบุญ” [7] ท่านเริ่มดำเนินชีวิตแบบสาธารณะชนทั่วไป

        ราวปี ค.ศ. 374 เมื่อเดินทางผ่านเมืองอันติโอก (Antioch) ท่านตัดสินใจที่จะเจริญชีวิตในทะเลทรายชาลซิส (Chalcis) เพื่อที่จะเรียนรู้ให้ลึกซึ้งถึงชีวิตพรตซึ่งจะมีเวลาว่างมากสำหรับการศึกษาภาษาของพระคัมภีร์ ภาษาแรกคือภาษากรีก ถัดมาเป็นภาษาฮีบรู  ท่านศึกษาภายใต้ชาวยิวคนหนึ่งที่กลับใจเป็นคริสตชนที่สอนท่านาภาษาฮีบรูและการออกเสียงซึ่งท่านพบว่า “ยากมาก แต่ท่านชอบ” [8]

        เจโรมจงใจเลือกทะเลทราย และชีวิตแบบฤษีเพื่อค้นหาความหมายอันล้ำลึกเป็นจุดแห่งการตัดสินใจพื้นฐานแห่งการมีชีวิต แห่งความใกล้ชิด และแห่งการพบปะกับพระเจ้า โดยอาศัยการดำเนินชีวิตพิศเพ่ง การล่อลวงภายใน และการดิ้นรนต่อสู้ฝ่ายจิต ท่านมีความเข้าใจดียิ่งขึ้นถึงความอ่อนแอของท่าน ขีดจำกัดของท่านและของผู้อื่น ตรงนี้ก็เช่นเดียวกันท่านพบความสำคัญแห่งน้ำตา [9] ทะเลทรายสอนให้เท่านเข้าใจถึงความรู้สึกไวต่อการประทับอยู่ของพระเจ้า ความจำเป็นที่พวกเราต้องขึ้นกับพระองค์ และความบรรเทาที่เกิดจากพระเมตตาของพระองค์ ตรงนี้ข้าพเจ้าได้รับการเตือนใจจากเรื่องราวในหนังสือวิวรณ์ซึ่งเจโรมถามพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงต้องการอะไรจากข้าพเจ้า?”  ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงตอบว่า “ท่านยังมิได้มอบให้เราทุกสิ่ง” “ข้าแต่พระเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้มอบให้กับพระองค์แทบทุกสิ่ง” “ยังมีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่ได้มอบให้เรา” “นั่นคืออะไรพระเจ้าข้า” “จงมอบบาปของท่านให้เรา เพื่อที่เราจะได้มีความชื่นชมยินดีที่จะอภัยให้ท่านอีกครั้งหนึ่ง” [10]

        แล้วพวกเราก็พบท่านที่เมืองอันทิโอก (Antioch) ณ ที่ซี่งท่านได้รับศีลบวชเป็นสมณบริกร (บาดหลวง) โดยบิชอปเปาลีนุส (Paulinus) แห่งเมืองนั้นประมาณ ค.ศ. 379 ที่นครคอนสตันติโนเปิ้ล ณ ที่ซึ่งท่านได้พบกับนักบุญเกรโกรรี่แห่งนาซีอานซุส (Gregory of Nazianzus) และทำการศึกษาต่อไป ท่านแปลงานที่สำคัญหลายชิ้นจากภาษากรีกเป็นภาษาลาติน (บทเทศน์ของออริเจน-Origen และเหตุการณ์ของ เอวเซบิอุส-Eusebius) ซึ่ง “มีการนำไปใช้ในสภาสังคายนาในปี ค.ศ. 381 หลายปีที่ท่านทำการศึกษาเผยให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของท่าน และความกระหายที่จะรู้ที่ทำให้ท่านไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและชื่นชอบกับการทำงาน เฉกเช่นที่ท่านบอกว่า “บางครั้งฉันรู้สึกหมดแรง บ่อยครั้งฉันบอกเลิกรา แต่ฉันก็เปลี่ยนใจและตั้งใจที่จะเรียนต่อ” อันเป็น “เมล็ดพันธุ์ขม” แห่งการศึกษาของท่านผลิต “ผลที่เผ็ดร้อนอย่างยิ่ง” {11]

        ในปี ค.ศ. 382 เจโรมเดินทางกลับกรุงโรมและมอบตนรับใช้พระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus) ซึ่งพอพระทัยในการรับใช้ของท่านจึงทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ที่ร่วมงานอย่างใกล้ชิดคนหนึ่ง  ณ ที่นี้เจโรมทุ่มเทอยู่กับการทำกิจกรรมอย่างไม่หยุดหย่อนแต่ก็ไม่เคยลืมเรื่องราวแห่งชีวิตจิต ในวัน “Aventine” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสตรีโรมันผู้มีศักดินาที่มีจุดประสงค์ในการดำเนินชีวิตตามพระวรสารเช่นมาร์เซลลา (Marcella), เปาลา (Paula) และบุตรสาวที่ชื่อเออุสโตกีอุม (Eustochium) ท่านได้สร้างห้องประชุมที่อุทิศให้กับการอ่านและการศึกษาพระคัมภีร์ เจโรมทำหน้าที่เป็นผู้อธิบายพระคัมภีร์ เป็นอาจารย์สอน และเป็นผู้นำวิญญาณ ณ เวลานี้ท่านทำการรื้อฟื้นการแปลพระคัมภีร์ภาษาลาตินที่ทำมาก่อน และอาจเป็นบางส่วนของพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่ด้วย ท่านยังคงแปลบทเทศน์ของออริเจน (Origen) และวิเคราะห์พระคัมภีร์ต่อไป ทุ่มเทอยู่กับการเขียนจดหมาย ปฏิเสธข้อเขียนของเฮเรติก ในเวลาที่มีการหลงผิด ซึ่งท่านมีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะปกป้องความเชื่อที่แท้จริงและพระคัมภีร์

        ช่วงเวลาที่ท่านมีความยุ่งยาก และผลงานที่ดีนี้ถูกขัดจังหวะด้วยการมรณภาพของพระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus) ท่านถูกบังคับให้ต้องจากกรุงโรมซึ่งติดตามโดยเพื่อนชายและสตรีบางคนที่อยากจะมีประสบการณ์ชีวิตฝ่ายจิตและศึกษาพระคัมภีร์ต่างเดินทางไปกับท่านยังประเทศอียิปต์ ณ ที่ซึ่งท่านได้พบกับนักเทวศาสตร์ชื่อดิดีมุส (Didymus) ซึ่งเป็นคนตาบอด  จากนั้นท่านเดินทางไปยังปาเลสไตน์ (Palestine) และในปี ค.ศ. 386 ได้ตั้งรกรากถาวรที่ตำบลเบ็ธเลเฮม ท่านหันกลับมาศึกษาพราะคัมภีร์อีกครั้ง ข้อความพระคัมภีร์ที่ท่านศึกษายังเก็บรักษาไว้ในสถานที่ท่านเล่าเรียน

        ความสำคัญที่ท่านมอบให้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะพบได้ไม่ใช่แต่ในการตัดสินใจของท่านที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในปาเลสไตน์ (Palestine) เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะความช่วยเหลือที่ท่านมอบให้กับผู้แสวงบุญด้วย  เบ็ธเลเฮมสถานที่ท่านรักมากที่สุด ท่านสร้างในบรรยากาศแห่งถ้ำพระกุมาร ซึ่งเป็นอารามแฝดสำหรับชายและหญิงพร้อมที่พักสำหรับผู้ที่เดินทางแสวงบุญมายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  นี่เป็นเครื่องหมายอีกประการหนึ่งถึงความใจกว้างของท่าน เพราะท่านสามารถทำให้เป็นไปได้สำหรับผู้อื่นหลายคนที่จะได้มาเห็นและสัมผัสกับสถานที่ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์แห่งความรอดและพบกับความมั่งคั่งแห่งวัฒนธรรมและชีวิตฝ่ายจิต [12]

        ในการฟังพระคัมภีร์อย่างตั้งอกตั้งใจ เจโรมเข้าใจตนเองและพบกับพระพักตร์ของพระเจ้ าและของบรรดาพี่น้องชายหญิงของตน ท่านได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ที่รักชีวิตที่เป็นหมู่คณะ  ท่านปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตอยู่กับเพื่อนอย่างเช่นเมื่อท่านอยู่ที่ อากวีเลยา (Aquileia) จนทำให้ท่านต้องสถาปนาคณะฤษีเพื่อที่จะติดตามอุดมการณ์แห่งชีวิตนักพรต อารามฤษีถูกมองว่าเป็น “สถานที่” อบรมชายหญิง “ผู้ที่ถือว่าตนต่ำต้อยกว่าผู้ใด เพื่อที่จะเป็นคนแรกในพวกเดียวกัน”  ในเรื่องของความยากจนท่านสามารถที่จะสอนผู้อื่นได้ด้วยรูปแบบชีวิตของตน  เจโรมถือว่านี่คือประสบการณ์ของการอบรมที่จะดำเนินชีวิต “ภายใต้การปกครองของผู้ใหญ่คนเดียวพร้อมกับอีกหลายคนในคณะ” เพื่อที่จะเรียนรู้ถึงความสุภาพ  ความเพียร การรักษาความเงียบ และความอ่อนโยนโดยรับรู้อย่างดีว่า “ความจริงไม่ชอบมุมมืดและไม่บ่น” [13] ท่านยังสารภาพด้วยว่าท่าน “อยากมีชีวิตในอารามปิด” และ “เป็นเหมือนปลวกที่ทำงานด้วยกัน ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของสิ่งใด และทุกสิ่งเป็นของทุกคน” [14]

         เจโรมมองการศึกษาของตนไม่ใช่การใช้เวลาว่างให้สนุก และไม่ใช่เป็นเป้าหมายในตัวเอง แต่เป็นการฝึกชีวิตฝ่ายจิตและเป็นวิธีที่จะเข้าใกล้พระเจ้า การฝึกฝนของท่านบัดนี้มุ่งไปยังการรับใช้ให้มากยิ่งขึ้นกับชุมชนพระศาสนจักร ให้พวกเราคิดถึงความช่วยเหลือที่ท่านมอบให้กับพระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus) และการสอนบรรดาสตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาฮีบรูตั้งแต่ห้องเรียนแรกที่อาเวนตีเน (Aventine) ด้วยวิธีนี้ท่านสามารถทำให้เปาลา (Paula) และ เออุสโตกีอุม (Eustochium) เป็นผู้แปลได้ [15] และเป็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน คือสามารถอ่าน และขับร้องบทเพลงสดุดีเป็นภาษาดั้งเดิม [16]

        ความรู้อันลึกซึ้งของท่านถูกนำมาใช้ในการรับใช้อันจำเป็นต่อผู้ที่ถูกเรียกร้องให้ต้องเทศน์เกี่ยวกับพระวรสาร ดังที่ท่านเตือนเพื่อนของท่านเนโปซีอานุส (Nepotianus) ว่า “การเทศน์ของสมณบริกร (บาดหลวง) ต้องมีรสชาดจากการอ่านพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านต้องรับผิดชอบ หรือเป็นคนเจ้าเล่ห์แห่งคำพูดของท่าน แต่เป็นผู้ที่เข้าใจข้อความเชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ (พระธรรมล้ำลึก) ถึงคำสอนของศีลศักดิ์สิทธ์ (sacramentorum) แห่งพระเจ้าของท่าน นี่เป็นคุณสมบัติของคนโง่ที่จะเล่นลิ้นเพื่อที่จะได้รับความสนใจจากคนที่ไม่ฉลาดด้วยการพูดอย่างรวดเร็ว คนที่ไม่รู้จักอายมักจะอธิบายสิ่งที่ตนไม่เข้าใจเหมือนว่าตนเชี่ยวชาญเพียงเพราะว่า เขาสามารถชวนผู้อื่นให้หลงได้” [17]

        เจโรมอยู่ที่เบ็ธเลเฮมหลายปีจนกระทั่งมรณภาพในปี ค.ศ. 420  ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่บังเกิดผล และมีความเข้มข้นที่สุดในชีวิตของท่าน ท่านอุทิศตนอย่างสิ้นเชิงให้กับการศึกษาพระคัมภีร์ และการแปลพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิมทั้งเล่มจากภาษาฮีบรูที่เป็นภาษาดั้งเดิม ท่านวิเคราะห์เกี่ยวกับหนังสือประกาศกผู้พยากรณ์ บทเพลงสดุดี และจดหมายของนักบุญเปาโล ท่านเขียนคำแนะนำในการศึกษาพระคัมภีร์ การศึกษาอย่างลึกซึ้งที่ถ่ายทอดมาเป็นผลงานของท่านเป็นผลของความความพยายามร่วมมือกันโดยการคัดลอกและรวบรวมข้อเขียนต่างๆ เพื่อไตร่ตรองและอภิปรายกันต่อดังที่ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยไว้วางใจในอำนาจของข้าพเจ้าในการศึกษาหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระเจ้า… ข้าพเจ้ามักติดนิสัยชอบถามเกี่ยวกับสิ่งข้าพเจ้าคิดว่ารู้แล้ว และยิ่งกว่านั้นเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ” [18} เมื่อทราบดีถึงข้อจำกัดของตนเอง ท่านอธิษฐานภาวนาเสมอวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในงานแปลหนังสือศักดิ์สิทธิ์ “ในเจตนารมณ์เดียวกันกับที่เนื้อหาถูกเขียนขึ้น” [19] และท่านก็ไม่เคยพลาดที่จะแปลงานของผู้เขียนที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์เช่นของออริเจน (Origen) “เพื่อที่จะให้ทุกคนมีโอกาสอ่านที่อยากจะเรียนรู้เรื่องให้ได้ดีและเป็นระบบยิ่งขึ้น” [20]

        เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่กระทำกันภายในชุมชน และเพื่อรับใช้ชุมชนกิจกรรมด้านวิชาการของเจโรมสามารถรับใช้สังคมเป็นแบบฉบับแห่งความเป็นสมัชชาซีน็อดสำหรับพวกเราในยุคสมัยนี้  ยังสามารถเป็นแบบฉบับในการรับใช้ในสถาบันวัฒนธรรมต่างๆของพระศาสนจักรที่ถูกเรียกร้องให้เป็น “สถานที่ซึ่งความรู้กลายเป็นการรับใช้ เพราะว่าไม่มีการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวมใดจะสามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากองค์ความรู้ซึ่งเป็นผลแห่งความร่วมมือกันอันจะนำไปสู่ความร่วมมือกันที่มากขึ้น” [21] พื้นฐานแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันดังกล่าวคือพระคัมภีร์ ซึ่งพวกเราไม่อาจที่จะอ่านแต่เพียงลำพัง “พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นโดยประชากรของพระเจ้าเพื่อประชากรของพระเจ้าภายใต้แรงดลใจของพระจิต มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับประชากรของพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถเข้าไปในฐานะที่เป็น “พวกเรา” ในหัวใจแห่งความจริงที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสื่อมายังพวกเรา” [22]

        ประสบการณ์ที่ชัดเจนซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระวาจาพระเจ้าทำให้เจโรมอาศัยจดหมายมากมายที่ท่านเขียนกลายเป็นผู้นำวิญญาณ ท่านกลายเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับผู้คนมากมาย เพราะท่านเชื่อว่า “ไม่มีความเชี่ยวชาญใดจะเรียนรู้ได้หากปราศจากซึ่งอาจารย์” ดังนั้นท่านจึงเขียนถึงรุสติกุส (Rusticus) ว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านเข้าใจ คือจูงมือท่านดุจนักเดินเรือโบราณที่ช่วยไม่ให้เรือแตกด้วยการสอนกะลาสีหนุ่ม” [23] จากมุมที่มีสันติสุขของโลก ท่านเฝ้าติดตามกระแสเรื่องราวของมนุษย์ในยุคที่มีปัญหายุ่งยากซึ่งมีเหตุการณ์น่ากลัวเช่นการถล่มกรุงโรมในปี ค.ศ. 410 ซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวท่านมาก

        ในจดหมายเหล่านั้นท่านพูดถึงข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเชื่อซึ่งท่านพยายามที่จะปกป้องความเชื่อที่ถูกต้องเสมอ จดหมายของท่านยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่ท่านให้ความสำคัญ นี่เป็นของขวัญ

เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น บางครั้งเจโรมดูจะแข็งกร้าวแต่ก็จะแฝงด้วยความสุภาพอ่อนโยนซึ่งแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจต่อผู้อื่น และเพราะ “ความรักมีคุณค่าที่คำนวณมิได้” [24] ท่านจึงกระตือรือร้นที่จะแสดงความรักอย่างแท้จริง ประเด็นนี้เราจะเห็นได้จากความจริงที่ว่าท่านได้มอบงานแปลและงานวิเคราะห์ของท่านเป็น “munus amicitiae” (ของขวัญคู่มือแห่งมิตรภาพ) เป็นของขวัญสำหรับมิตรสหาย ผู้ที่โต้ตอบจดหมายกับท่าน และผู้ที่ท่านอุทิศผลงานให้ ซึ่งท่านขอร้องให้ทุกคนอ่านแบบเป็นมิตรแทนที่จะเป็นแบบวิจารณ์ แต่ท่านยังเขียนเพื่อผู้อ่าน เพื่อผู้คนร่วมสมัย และผู้ที่จะมาภายหลัง [25]

        เจโรมใช้เวลาในปั้นปลายชีวิตในการอ่านพระคัมภีร์พร้อมกับการอธิษฐานทั้งเป็นการส่วนตัวและในคณะ ในการพิศเพ่ง และรับใช้บรรดาพี่น้องโดยการเขียน ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นที่เบ็ธเลเฮมใกล้ถ้ำพระกุมารซึ่งพระวจนาตถ์ สถานที่พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิด และทรงเสด็จขึ้นสวรรค์ ทรงบังเกิดจากพระแม่มารีย์พรหมจารี เพราะท่านเชื่อว่า “ท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีบุญที่เป็นประจักษ์พยานต่อไม้กางเขน การกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ สถานที่พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดและทรงเสด็จขึ้นสวรรค์! เป็นความสุขแท้ของผู้ที่มีเบ็ธเลเฮมอยู่ในหัวใจ ในหัวใจที่พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดทุกวัน!

มิติ “ปรีชาญาณ” แห่งชีวิตของเจโรม

        เพื่อที่จะเข้าใจบุคลิกภาพอย่างสมบูรณ์ของเจโรม พวกเราจำเป็นต้องรวมสองมิติเข้าไว้ด้วยกันที่เป็นคุณสมบัติในชีวิตของท่านในฐานะที่เป็นผู้มีความเชื่อในมุมมองหนึ่งซึ่งเป็นการอุทิศตนอย่างเด็ดขาดและจริงจังต่อพระเจ้าโดยปฏิเสธความพอใจฝ่ายกายที่เป็นมนุษย์ทุกอย่างเพื่อเห็นแก่ความรักของพระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน (เทียบ 1 ครา. 2: 2; ฟป. 3: 8, 10) และในอีกมุมมองหนึ่งนั้น ท่านปวารณาตนที่จำทำการศึกษาอย่างจริงจังโดยตั้งใจที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงพระธรรมล้ำลึกของคริสตชน  การเป็นประจักษ์พยานสองด้านที่นักบุญเจโรมมอบให้อย่างน่าพิศวงนี้สามารถเป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดีสำหรับฤษีทุกคน เพราะทุกคนที่ต้องการดำเนินชีวิตพรต และในการอธิษฐานภาวนาถูกเรียกร้องให้ต้องอุทิศตนในการไขว่คว้าหาพร้อมกับการไตร่ตรอง ท่านยังเป็นแบบฉบับของนักวิชาการด้วย ซึ่งควรที่จะรำลึกเสมอว่าความรู้จะมีคุณค่าทางศาสนาได้หากว่ามีพื้นฐานอยู่ในความรักต่อพระเจ้าที่ไม่มีความทะเยอทะยานของมนุษย์และการหาเกียรติยศชื่อเสียงทางโลก

        มิติทั้งสองด้านแห่งชีวิตของท่านมีการแสดงออกในประวัติศาสตร์แห่งศิลปกรรม บ่อยครั้งศิลปินชาวยุโรปมักวาดภาพท่านนักบุญ ภาพหนึ่งมักจะเป็นภาพพจน์ของชีวิตพรตและการใช้โทษบาปที่แสดงให้เห็นถึงเจโรมมีร่างกายที่ผอมบางจากการจำศีลอดอาหาร มีชีวิตอยู่ในทะเลทราย คุกเข่าหรือนอนเหยียดยาวอยู่กับพื้น ในหลายภาพท่านกำก้อนหินแน่นไว้ทุบหน้าอก ตาของท่านเพ่งไปยังพระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ในภาพเหล่านี้พวกเราเห็นภาพชิ้นโบว์แดงของศิลปินเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน ในภาพอีกประเภทหนึ่งพวกเราจะเห็นนักบุญเจโรมในชุดนักวิชาการนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือเพ่งอยู่แต่กับการแปลและวิเคราะห์พระคัมภีร์ห้อมล้อมด้วยม้วนกระดาษอุทิศให้กับการปกป้องความเชื่อโดยอาศัยปัญญาและการเขียน เช่น Albrecht Durer วาดภาพของท่านมากกว่าหนึ่งภาพในบริบทนี้

        มิติสองด้านที่ถูกนำเอามารวมกันในภาพวาดโดยคาราวัคโจ (Caravaggio) ถูกนำมาแสดงที่หอศิลป์บอร์เกเซ (Borghese) ในกรุงโรม ซึ่งอันที่จริงเป็นภาพเดียวที่นักพรตผู้อาวุโสแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีแดง และมีกะโหลกมนุษย์บนโต๊ะทำงานของท่าน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอนิจจังแห่งความจริงฝ่ายโลก แต่ในขณะเดียวกันศิลปินก็วาดภาพให้เห็นว่าท่านเป็นนักวิชาการ ตาของท่านเพ่งไปยังหนังสือและมือของท่านจุ่มปากกาขนนกลงไปในขวดหมึกซึ่งเป็นพฤติกรรมของนักเขียน

        สองมิติแห่ง “ปรีชาญาณ” ของท่านมีความชัดเจนมากในชีวิตของเจโรม หากในฐานะที่เป็นสิงห์แห่งเบ็ธเลเฮม” ท่านสามารถใช้ภาษาที่ค่องข้างหนัก ท่านปวารณาตนเองโดยปราศจากเงื่อนไขในการรับใช้ความจริง  ดังที่ท่านอธิบายไว้ในหนังสือเล่มแรกของท่าน “Life of Saint Paul, Hermit of Thebes” สิงโตสามารถคำราม ขณะเดียวกันก็ร้องได้ด้วย [27] สิ่งที่พวกเรามองแบบผิวเผิน ดูเหมือนจะเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน แต่ในอุปนิสัยของนักบุญเจโรมนั้นได้ถูกหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยพระจิตโดยอาศัยกระบวนการแห่งการมีวุฒิภาวะชีวิตภายใน

การรักพระคัมภีร์

        รูปแบบชีวิตฝ่ายจิตของนักบุญเจโรมมีความชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นความรักอย่างหลงไหลต่อพระวาจาของพระเจ้าที่มอบให้ไว้กับพระศาสนจักรในพระคัมภีร์ บรรดาอาจารย์ทั้งหลายของพระศาสนจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระศาสนจักรยุคแรกล้วนนำคำสอนของตนมาจากพระคัมภีร์ แต่เจโรมกระทำดังกล่าวอย่างมีระบบและในหนทางที่มีความชัดเจน

        ในยุคหลังๆนี้ นักตีความเริ่มที่จะชื่นชอบภูมิปัญญาในการเล่าและบทกวีของพระคัมภีร์และคุณภาพในการแสดงออกชั้นเลิศ แต่ตรงกันข้ามเจโรมกลับเน้นถึงถึงพระคัมภีร์ว่าเป็นคุณสมบัติที่สุภาพแห่งการไขแสดงของพระเจ้าที่เขียนขึ้นเป็นภาษาฮีบรูโบราณที่กระท่อนกระแท่นเมื่อเทียบกับภาษาลาตินยุคของนักปราชญ์ชิเชโร ท่านอุทิศตนศึกษาพระคัมภีร์ไม่ใช่เพราะความงดงามของเนื้อหา แต่เท่าที่ทราบกันเพราะว่าพระคัมภีร์ได้นำท่านให้ได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์ อันที่จริงการไม่รู้จักพระคัมภีร์ก็คือการไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ [28]

        เจโรมสอนพวกเราว่าพระวรสารและขนบธรรมเนียมของอัครสาวกดังที่ปรากฏในหนังสือกิจการอัครสาวก และในจดหมายเท่านั้นที่พวกเราควรจะต้องศึกษาและวิจารณ์ แต่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมก็ขาดเสียมิได้ที่พวกเราต้องทำความเข้าใจถึงความจริงและความมั่งคั่งของพระเยซูคริสต์ [29]  พระวรสารเองก็ให้ความชัดเจนกับเรื่องนี้ ข่าวดีบอกพวกเราเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ในฐานะที่เป็นอาจารย์ตรัสกับโมเสส ประกาศก และในบทเพลงสดุดี (เทียบ ลก. 4: 16-21; 24: 27.44-47) เพื่อที่จะอธิบายถึงพระธรรมล้ำลึกของพระองค์) การเทศน์ของเปโตรและเปาโลในหนังสือกิจการอัครสาวกก็เช่นเดียวกันมีรากเหง้าอยู่ในพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิม ซึ่งพวกเราไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ถึงองค์พระบุตรของพระเจ้าว่าเป็นพระผู้ไถ่ และพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิมก็ไม่ควรถือเป็นแค่ละครที่เป็นความสำเร็จแห่งคำพยากรณ์โบราณในพระบุคคลซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์แห่งนาซาเร็ธ  ตรงกันข้ามมีเพียงความสว่างแห่งการเปรียบพังเพยในคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิมเท่านั้นที่ทำให้เป็นไปได้ที่พวกเราจะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นถึงความหมายของเหตุการณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ดังที่เปิดเผยให้พวกเราทราบในการสิ้นพระชนม์และการเสด็จกลับคืนชีพของพระองค์ ทุกวันนี้พวกเราต้องค้นให้พบกับความจริงนี้เสียใหม่ในการสอนคำสอนในการเทศน์และในเทวศาสตร์ซึ่งความจริงแห่งพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมอันจะขาดเสียมิได้ซึ่งพวกเราควรที่จะอ่านและย่อยว่าเป็นอาหารอันหาคุณค่ามิได้แห่งการหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิต (เทียบ อสค. 3: 1-11; วว. 10: 8-11) [30]

        การอุทิศตนเองอย่างสิ้นเชิงให้กับพระคัมภีร์ของโจโรมแสดงให้พวกเราเห็นจากวิธีที่ท่านเขียนและพูดเช่นเดียวกัประกาศกโบราณ ปราชญ์แห่งพระศาสนจักรท่านนี้ใช้ไฟภายในที่กลายเป็นคำพูดที่หนักหน่วงเหมือนแรงระเบิด (เทียบ ยรม. 5: 14; 20: 9; 23: 29; มลค. 3: 2; Sir. 48: 1; ทธ. 3: 11; ลก. 12: 49) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแสดงออกถึงความร้อนรนของผู้รับใช้เรื่องของพระเจ้าอย่างเช่นเอลียาห์ ยอห์น บัปติสต์และอัครสาวกเปาโล ซึ่งเกลียดการโกหก หน้าไหว้หลังหลอก และคำสอนเท็จเทียม ซึ่งทำให้คำพูดของเจโรมลุกเป็นไฟจนทำให้เห็นเหมือนเป็นการยั่วยุและก้าวร้าว  พวกเราคงจะเข้าใจได้ดีกว่าถึงมิติแห่งการติเตียนแห่งการเขียนของท่านหากพวกเราจะอ่านเนื้อหาในแสงสว่างแห่งขนบธรรมเนียมของบรรดาประกาศก เจโรมจึงเป็นต้นแบบแห่งการเป็นประจักษ์พยานที่ไม่ยอมออมชอมต่อความจริง ที่ใช้ไม้แข็งในการตำหนิเพื่อที่จะส่งเสริมให้มีการกลับใจ อาศัยความเข้มข้นแห่งการแสดงออกและภาพพจน์ของท่าน ท่านได้แสดงความกล้าหาญของผู้รับใช้ที่ปรารถนาไม่ใช่เพื่อเอาใจผู้อื่น นอกจากเจ้านายสูงสุดของท่านเท่านั้น (กท. 1: 10) ซึ่งท่านใช้พลังจิตทั้งหมดของท่านเพื่อพระองค์แต่ผู้เดียว

การศึกษาพระคัมภีร์

        ความรักเสน่หาของนักบุญเจโรมต่อพระคัมภีร์นั้นมีรากลึกอยู่ในความนบนอบ ประการแรกเป็นความรักต่อพระเจ้าผู้ทรงแสดงพระองค์ในพระวาจาที่เรียกร้องให้ต้องมีการฟังด้วยความเคารพ [31]  และรักผู้ที่อยู่ในพระศาสนจักรที่เป็นผู้แทนขนบธรรมเนียมทรงชีวิตซึ่งตีความสาส์นที่พระเจ้าทรงเผยแสดง แต่ “การนบนอบต่อความเชื่อ”  (รม. 1: 5’ 16: 26) ต้องไม่เป็นเพียงแต่ยอมรับบางสิ่งที่เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วเฉยๆ ทว่าเรียกร้องความพยายามส่วนตัวอย่างจริงจังที่ต้องพยายามเข้าใจสิ่งที่พูดออกมา พวกเราอาจคิดถึงนักบุญเจโรมดุจเป็นผู้รับใช้ แห่งพระวาจาผู้ซื่อสัตย์และจริงจังพร้อมกับอุทิศตนอย่างสิ้นเชิง เพื่อที่จะส่งเสริมความเชื่อให้กับบรรดาพี่น้องชายหญิงให้ได้มีความเข้าใจอย่างเพียงพอต่อข้อความเชื่อที่มอบให้กับพวกเขา (เทียบ 1 ทธ. 6: 20; 2 ทธ. 1: 14) หากไม่เข้าใจในสิ่งที่เขียนไว้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้เขียน พระวาจาของพระเจ้าก็จะขาดประสิทธิภาพ (เทียบ มธ. 13: 19) และจะไม่ก่อให้เกิดความรักต่อพระเจ้าได้

        ใช่ว่าพวกเราจะเข้าใจข้อความในพระคัมภีร์โดยทันทีทันใดก็หาไม่ ดังที่ประกาศกอิสยาห์กล่าว (อสย. 29: 11) สำหรับผู้ที่รู้ว่าต้อง “อ่าน” พระคัมภีร์อย่างไร กล่าวคือ ผู้ที่ได้รับการอบรมทางปัญญาอย่างเพียงพอ พระคัมภีร์ดูเหมือนจะถูกประทับตรา “ปกปิด” มิให้มีการตีความ ต้องการประจักษ์พยานเพื่อที่จะแทรกแซงและให้กุญแจเพื่อที่จะเข้าใจสาส์นที่ช่วยให้พวกเราเป็นไทซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่จะสามารถทำลายตราดังกล่าวเพื่อที่จะเปิดหนังสือพระคัมภีร์ (เทียบ วว. 5: 1-10) จากนั้นพระหรรษทานจึงจะหลั่งไหลมา (ลก. 4: 17-21) หลายคนแม้กระทั่งคริสตชนใจศรัทธาพูดอย่างเปิดเผยว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะอ่านพระคัมภีร์ (เทียบ อสย. 29: 12) ไม่ใช่เพราะว่าเขาอ่านหนังสือไม่ออก แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้มีการเตรียมตัวสำหรับภาษาพระคัมภีร์ วิธีการแสดงออก และประเพณีวัฒนธรรมโบราณ ผลก็คือข้อความพระคัมภีร์กลายเป็นภาษาที่ถอดความไม่ได้ ราวกับว่าเนื้อหาถูกเขียนขึ้นด้วยอักษรที่ไม่มีผู้ใดรู้จักและลึกลับ

        นี่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีนักตีความ  ซึ่งสามารถทำหน้าที่ของสังฆานุกรแทนคนที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของสาส์นที่เป็นแบบพยากรณ์ ตรงนี้พวกเราคิดถึงสังฆานุกรฟีลิปที่พระเยซูคริสต์ทรงส่งไปยังราชรถของขันทีซึ่งกำลังอ่านข้อความของประกาศกอิสยาห์ (อสย. 53: 7-8) ที่เขาไม่สามารถทราบความหมาย “ท่านเข้าใจความหมายสิ่งที่ท่านกำลังอ่านอยู่ไหม?” ฟีลิปถามและคำตอบคือ “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร นอกจากจะมีใครมาแนะนำ” (กจ. 8: 30-31) [32]

        เจโรมสามารถรับใช้เป็นผู้นำวิญญาณแก่พวกเราได้เฉกเช่นฟีลิป (เทียบ กจ. 8: 35) ท่านนำผู้อ่านทุกคนให้เข้าถึงพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์ในขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตีความและข้อมูลเชิงวัฒนธรรมด้วยความรับผิดชอบและอย่างเป็นระบบที่จำเป็นสำหรับการอ่านพระคัมภีร์ ที่ถูกต้องและที่จะเป็นประโยชน์ [33]  ด้วยวิธีที่เชี่ยวชาญและครบถ้วนท่านใช้ทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ทุกอย่างที่มีอยู่รวมถึงความรู้ทุกชนิดที่มีอยู่ในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษาซึ่งพระวาจาของพระเจ้าถูกถ่ายทอดมา มีการวิจัยอย่างระมัดระวังและมีการตรวจสอบต้นฉบับที่พบได้ในการค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณวัตถุ รวมถึงความรู้ในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการแปล เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ที่ได้รับการดลใจจากพระจิต

        กิจกรรมอันโดดเด่นของนักบุญเจโรมมีความสำคัญมากต่อพระศาสนจักรในยุคสมัยของพวกเรา อย่างที่ธรรมนูญ “Dei Verbum” ระบุไว้ พระคัมภีร์เป็น “วิญญาณของเทวศาสตร์” [34] และเป็นการส่งเสริมฝ่ายจิตแห่งชีวิตพระศาสนจักร [35] การตีความพระคัมภีร์จึงจำเป็นต้องมีความชำนาญเป็นพิเศษ

        วันนี้ พวกเรามีศูนย์กลางที่เป็นเลิศสำหรับการวิจัยพระคัมภีร์ เช่น “Pontifical Biblical Institute” ที่กรุงโรม และ “Ecole Biblique” และ “Studium Biblicum Franciscanum” ที่กรุงเยรูซาเล็ม รวมถึงการค้นคว้าวิจัยของปิตาจารย์เช่น “Augustinianum” ที่กรุงโรมซึ่งรับใช้เรื่องนี้  ทว่าทุกคณะเทวศาสตร์ควรสร้างหลักประกันว่าการสอนพระคัมภีร์จะต้องดำเนินไปในทำนองที่นักศึกษาได้รับการอบรมที่จำเป็นในด้านการตีความพระคัมภีร์ทั่งในด้านการอธิบาย และเทวศาสตร์ของพระคัมภีร์โดยทั่วไป  น่าเสียดายว่าความมั่งคั่งของพระคัมภีร์ถูกมองข้ามหรือถูกลดค่าลงจากหลายคน เพราะพวกเขาใม่มีพื้นฐานเพียงพอเกี่ยวกับประเด็นนี้  พร้อมกับการเน้นให้มีการศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้นในโครงการอบรมของพระศาสนจักรสำหรับสมณบริกรและครูสอนคำสอน ควรใช้ความพยายามหาทรัพยากรให้สัตบุรุษสามารถเปิดหนังสือศักดิ์สิทธิ์และได้รับผลแห่งปรีชาญาณอันหาคุณค่ามิได้ อีกทั้งความหวังและชีวิต [36]

        ณ จุดนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทบทวนข้อสังเกตของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ในสมณสาส์นเตือนใจ ชื่อ “Verbum Domini” ระบุว่า “ธรรมชาติแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระวาจาสามารถเข้าใจได้ด้วยการเปรียบเทียบกับการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูคริสต์ภายใต้แผ่นปังและเหล้าองุ่น… นักบุญเจโรมพูดถึงวิธีที่พวกเราจะเข้าถึงศีลมหาสนิทและพระวาจาของพระเจ้าว่า “พวกเราอ่านพระคัมภีร์ สำหรับข้าพเจ้าพระวรสารคือพระกายของพระเยซูคริสต์ สำหรับข้าพเจ้าพระคัมภีร์คือคำสอนของพระองค์ และเมื่อพระองค์ตรัสว่า ผู้ใดไม่รับกายและดื่มโลหิตของเรา (ยน. 6: 53) แม้ว่าคำพูดนี้สามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งศีลมหาสนิท พระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์อันที่จริงก็คือพระวาจาแห่งพระวรสารซึ่งเป็นคำสอนของพระเจ้า” [37]

        น่าเสียดายว่าครอบครัวคริสตชนหลายครอบครัวดูเหมือนจะไม่สามารถ ดังที่ระบุไว้ในคัมภีร์โตราห์ (Torah) (cf. ฉธบ. 6:6) ในการแนะนำลูกหลานให้เข้าใจถึงพระวาจาของพระเจ้าในความสวยงามและอำนาจฝ่ายจิตของเนื้อหาพระคัมภีร์ นี่ทำให้ข้าพเจ้าต้องสถาปนาวันอาทิตย์แห่งพระวาจาของพระเจ้า [38] ดังนั้นการแสดงความศรัทธาต่างๆจะต้องทำให้มันมั่งคั่งด้วยความหมาย ทำอย่างถูกต้อง และให้พระวาจาพระเจ้านำไปสู่ความเชื่อที่ครบครันในการยึดมั่นอยู่ในพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์

พระคัมภีร์ฉบับประชาชน

        “ผลยอดเยี่ยมที่สุดแห่งการเพาะปลูกอันเร่าร้อน” [40] ของการศึกษาภาษากรีกและลาตินของเจโรมคือการแปลพราะคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมของท่านเป็นภาษาลาตินจากต้นฉบับภาษาฮีบรู  จนถึงสมัยนั้นคริสตชนแห่งอาณาจักรโรมันไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ทั้งครบ ถ้าจะอ่านได้ทั้งครบต้องอ่านฉบับภาษากรีก พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เขียนเป็นภาษากรีก พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมฉบับครบที่เป็นภาษากรีกมีอยู่แล้วซี่งเรียกกันว่าฉบับเซปตูอาจิน (Septuagint) ซึ่งชาวยิวแห่งเมื่ออาเลซซานเรีย (Alexandria) เป็นผู้แปลในศตวรรษที่สองก่อนคริสตกาล แต่สำหรับผู้อ่านได้แต่ภาษาลาตินยังไม่มีคัมภีร์ที่สมบูรณ์เป็นภาษาของเขา มีแต่การแปลเป็นบางส่วนและยังไม่ครบจากภาษากรีก สำหรับเจโรมและผู้ที่ดำเนินงานต่อของท่านต่างช่วยกันปรับและแปลพระคัมภีร์ทั้งเล่มขึ้นใหม่โดยเริ่มต้นจากพระวรสารและบทเพลงสดุดีที่กรุงโรมโดยได้รับการสนับสนุนและกำลังใจจากพระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus)  แล้วเจโรมจากอาศรมของท่านที่เบ็ธเลเฮมก็เริ่มแปลพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมจากภาษาฮีบรู ท่านใช้เวลาหลายปีสำหรับงานชิ้นนี้

        เพื่อให้การแปลสำเร็จเจโรมต้องหันไปพึ่งภาษากรีกและภาษาฮีบรูที่ท่านมีความเชี่ยวชาญรวมทั้งภาษลาตินที่ท่านก็เก่งกาจด้วยโดยใช้เครื่องมือภาษาศาสตร์ที่ท่านร่ำเรียนมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “Hexapla” (หนังสือ) ของออริเจน (Origen) เล่มแรกใช้สูตรทั่วไปในแนวฮีบรูแต่ก็ไม่ทิ้งความงดงามแห่งภาษาลาติน ผลของการแปลกลายเป็นอนุสาวรีย์ที่แท้จริงแห่งประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมของซีกโลกตะวันตกด้วยการสร้างภาษาเทวศาสตร์ การแปลของเจโรมหลังจากที่มีการต่อต้านกันบ้างในช่วงแรกทว่าในไม่ช้าก็กลายเป็นที่อ้างอิงของนักวิชาการและผู้ที่มีความเชื่อทั่วไปจนได้ชื่อว่า “ฉบับประชาชน หรือ Vulgate” [41]  ชาวยุโรปในคริสตศตวรรษกลางต่างเรียนรู้ที่จะอ่าน สวด และคิดจากหน้าพระคัมภีร์ที่แปลโดยเจโรม  อาศัยวิธีนี้ “พระคัมภีร์จึงกลายเป็นบ่อเกิดแห่ง ‘ตำราที่ยิ่งใหญ่’ (Paul Claudel) และ ‘แผนที่ประติมานวิทยา’ – iconographic atlas – (Marc Chagall) ซึ่งทั้งวัฒนธรรมคริสตชนและศิลป์ ซึ่งสามารถนำมาใช้” [42] วรรณคดี ศิลป์ และแม้กระทั่งภาษานิยมจึงค่อยๆ ถูกหล่อหลอมโดยการแปลพระคัมภีร์ของเจโรมโดยทิ้งมรดกยิ่งใหญ่แห่งความงดงามและความศรัทธาไว้ให้พวกเรา

        นี่เป็นความจริงที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสภาสังคายนาเตรนต์ในสมณกฤษฎีกา “Insuper” ได้ยืนยันถึงคุณสมบัติ “ที่ถูกต้องถ่องแท้” แห่งพระคัมภีร์ฉบับประชานิยม จึงเท่ากับเป็นการอนุมิติให้มีการใช้ในพระศาสนจักรตลอดเวลาหลายศตวรรษ และเป็นประจักษ์พยานถึงคุณค่าของพระคัมภีร์ และเป็นเครื่องมือสำหรับเป้าหมายของการศึกษา การเทศน์ และการอภิปรายโต้แย้งสาธารณะ [43] แต่สภาสังคายนาก็มิได้ลดความสำคัญของภาษาที่เป็นต้นฉบับเช่นเดียวกับที่เจโรมไม่เคยพลาดที่จะยืนยัน แล้วก็ไม่เคยห้ามที่จะให้มีการแปลกันต่อไปในอนาคต  นักบุญพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ซึ่งติดตามการชี้แนะของบรรดาปิตาจารย์แห่งสภาสังคายนาวาติกัน ที่ 2 ประสงค์ที่จะเห็นการปรับปรุงพระคัมภีร์ฉบับประชานิยมให้สมบูรณ์เพื่อรับใช้พระศาสนจักรทั้งมวล ดังนั้นในปี ค.ศ. 1979 นักบุญยอห์น ปอลที่ 2 ในธรรมนูญชื่อ “Scripturam Thesaurus” [44] จึงออกพระคัมภีร์ฉบับพิเศษทื่ชื่อว่า “ฉบับประชานิยมใหม่” (Neo-Vulgate)

การแปลและการปรับให้เข้ากับวัฒนธรรม

        โดยอาศัยการแปล เจโรมประสบกับความสำเร็จในการ “ปรับ” พระคัมภีร์ให้สอดคล้องกับภาษาลาตินและวัฒนธรรม งานแปลของท่านกลายเป็นความจริงถาวรสำหรับกิจกรรมธรรมทูตของพระศาสนจักร  “ทุกครั้งที่ชุมชนรับสาส์นแห่งความรอดพระจิตจะทรงทำให้วัฒนธรรมมีความมั่งคั่งด้วยพลังอำนาจการเปลี่ยนแห่งพระวรสาร” [45] ณ จุดนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นวัฎจักรเกิดขึ้น เฉกเช่นที่การแปลของเจโรมเป็นหนี้ต่อภาษาและวัฒนธรรมของภาษาลาตินคลาสสิค ซึ่งมีอิทธิพลที่เห็นชัดมาก ดังนั้นการแปลของท่านทั้งในด้านภาษาและสัญลักษณ์ และเนื้อหาที่มีจินตนาการชั้นสูงจึงกลายเป็นตัวกระตุ้นให้มีการสร้างวัฒนธรรมใหม่

        งานแปลของเจโรมสอนพวกเราว่าคุณค่าและรูปแบบเชิงบวกของทุกวัฒนธรรมล้วนเป็นการสร้างความมั่งคั่งให้กับพระศาสนจักร  วิธีต่างๆที่พระวาจาของพระเจ้าได้รับการประกาศ เป็นที่เข้าใจ และมีประสบการณ์ในการแปลแต่ละครั้งนั้นล้วนแต่ทำให้พระคัมภีร์เองมีความมั่งคั่ง เพราะว่าการแสดงออกที่ทราบกันดีของนักบุญเกรโกรี่ผู้ยิ่งใหญ่ พระคัมภีร์จะเจริญเติบโตพร้อมกันกับผู้อ่าน [46] โดยที่พระวาจาพระเจ้าจะทำให้เกิดมิติใหม่และเสียงก้องกังวานใหม่ที่ดังสะท้อนไปจนทุกศตวรรษ การที่พระคัมภีร์และพระวรสารเข้าไปสู่วัฒนธรรมต่างๆ ยิ่งจะทำให้พระศาสนจักร “เป็นเจ้าสาวที่ประดับเต็มไปด้วยเพชรพลอย” มากยิ่งขึ้น” (อสย. 61: 10) ในขณะเดียวกันนี่จะเป็นประจักษ์พยานต่อความจริงว่าพระคัมภีร์จำเป็นต้องมีการแปลเสมอตามภาษา ความคิด วัฒนธรรม และยุคสมัย รวมถึงวัฒนธรรมสากลของโลกแห่งยุคสมัยของพวกเรา [47]

        การชี้นำให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการเปรียบเทียบระหว่างการแปลในฐานะที่เป็นเรื่องของ “ภาษา” พื้นบ้าน และรูปแบบอื่นๆที่เป็นของพื้นบ้าน [48] นี่คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดการแปลจึงไม่คำนึงแต่จำเพาะภาษาเท่านั้น แต่จะต้องสะท้อนให้เห็นอย่างแท้จริงถึงจริยธรรมในวงกว้างที่เกี่ยวกับชีวิตทั้งครบของมนุษย์ หากปราศจากซึ่งการแปลภาษาต่างๆ พวกเราก็คงจะไม่สามารถที่จะสื่อระหว่างกัน พวกเราคงจะต้องปิดประตูประวัติศาสตร์ให้แก่กันและกันพร้อมกับปฏิเสธที่จะสร้างวัฒนธรรมแห่งการพบปะกัน [49] ผลร้ายแห่งการไม่มีการแปลคือจะไม่มีการให้การต้อนรับกัน ซึ่งอันที่จริงแล้วการต้อนรับขับสู้กันน่าที่จะเพิ่มขึ้น นักแปลเป็นผู้สร้างสะพาน มีการตตัดสินใจเร่งด่วนมากน้อยเท่าไร มีการประณามและมีความขัดแย้งกี่มากน้อยที่เกิดจากความจริงว่าพวกเราไม่เข้าใจภาษาของผู้อื่น หรือไม่สนใจกับการแสดงความรักมากมายที่การแปลชี้นำ

        เจโรมก็เช่นเดียวกันที่ต้องเผชิญกับความคิดที่ครอบงำในสมัยนั้นหากความรู้ภาษากรีกเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดาในยุคต้นๆแห่งอาณาจักรโรมัน พอถึงสมัยของท่านกลับกลายเป็นภาษาที่แทบจะไม่มีผู้ใดรู้จัก ท่านเป็นผู้หนี่งที่มีความเชียวชาญมากที่สุดในภาษากรีกลาตินและวรรณคดี นอกจากนั้นท่านยังเดินทางมากมายในขณะที่ท่านเรียนภาษาฮีบรู หากเป็นอย่างที่มีคนพูดกัน “ข้อจำกัดภาษาของข้าพเจ้าคือข้อจำกัดแห่งโลกของข้าพเจ้า” [50] พวกเราอาจกล่าวได้ว่า พวกเราเป็นหนี้ความรู้ของเจโรมในเรื่องภาษาเกี่ยวกับความเข้าใจสากลของคริสตศาสนา และเรื่องราวล้ำลึกเกี่ยวกับทรัพยากรของคริสตศาสนา

        พร้อมกับการฉลองครบรอบปีแห่งการมรณภาพของนักบุญเจโรม พวกเราควรมองไปยังความมีชีวิตชีวาในงานธรรมทูตที่ถูกแสดงออกในความจริงที่ว่าพระวาจาของพระเจ้าได้ถูกแปลออกเป็นกว่า 3 พันภาษา พวกเราเป็นหนี้ต่อธรรมทูตกี่คนสำหรับการพิมพ์หนังสือไวยากรณ์ พจนานุกรม และเครื่องไม้เครื่องมือทางภาษาที่ทำให้พวกเราสามารถสื่อติดต่อกันและกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้ธรรมทูตเข้าถึงทุกคนได้” [51] พวกพวกเราจำเป็นต้องให้การสนับสนุนงานนี้และร่วมลงทุนเพื่อช่วยเอาชนะกับข้อจำกัดในการสื่อและการเสียโอกาสที่จะได้พบกับผู้อื่น ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย มีการกล่าวกันว่าหากปราศจากซึ่งการแปลก็จะไม่มีความเข้าใจ [52] พวกเราจะไม่เข้าใจทั้งตัวเราเองและผู้อื่น

เจโรมและบัลลังก์ของเปโตร

        เจโรมมีความสัมพันธ์พิเศษกับกรุงโรมเสมอ กรุงโรมคือที่พำนักฝ่ายจิตที่ท่านนักบุญกลับมาเยือนเป็นประจำ ในกรุงโรมท่านได้รับการอบรมด้านมานุษยวิทยาและถูกหล่อหลอมให้เป็นคริสตชน  เจโรมเป็น “homo Romanus” (ชาวโรมัน) ความผูกพันกันนี้เกิดขึ้นแบบพิเศษจากภาษาลาตินที่ท่านเป็นปราชญ์และเป็นภาษาที่ท่านรักชื่นชอบ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือจากพระศาสนจักรแห่งกรุงโรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบัลลังก์ของนักบุญเปโตร

        สำหรับเจโรมพระศาสนจักรแห่งกรุงโรมเป็นผืนดินอุดมซึ่งเมล็ดพันธุ์ของพระเยซูคริสต์บังเกิดผลอย่างบริบูรณ์ [53] ในเวลาที่มีความยุ่งยากซึ่งอาภรณ์ของพระศาสนจักรอันปราศจากตะเข็บฉีกขาดเพราะการแตกแยกของคริสตชน เจโรมจะมองไปยังบัลลังก์ของอัครสาวกเปโตรเป็นจุดอ้างอิง “เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ติดตามผู้นำใดนอกจากพระเยซูคริสต์ ดังนั้นข้าพเจ้าจะไม่สื่อกับผู้ใดนอกจากพระสันตะปาปา กล่าวคือ กับผู้ที่ครองบัลลังก์ของเปโตร เพราะข้าพเจ้าทราบว่านี่คือศิลาที่พระศาสนจักรถูกสร้างขึ้นมาบนศิลานี้” ในขณะที่มีการโต้แย้งกันอย่างรุนแรงกับงพวก “Arians” ท่านเขียนจดหมายถึงพระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus) ว่า “ใครที่ไม่อยู่ข้างพระองค์ก็จะระเหระหนไป ใครที่ไม่ใช่คนของพระเยซูคริสต์ก็เป็นคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์” [54] ในที่สุดเจโรมอาจอ้างได้ด้วยว่า “ใครที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกับพระบัลลังก์ของเปโตรก็ไม่ใช่พวกของข้าพเจ้า” [55]

        บ่อยครั้งเจโรมจะมีส่วนร่วมในการโต้เถียงเรื่องข้อความเชื่อ ความรักของท่านต่อความจริง และการปกป้องพระเยซูคริสต์ด้วยความร้อนรนบางทีก็ทำให้ท่านเขียนโต้ด้วยภาษาและอารมณ์ที่รุนแรง แต่ท่านก็ดำเนินชีวิตในสันติสุข “ข้าพเจ้าปรารถนาสันติสุขเท่าๆกับผู้อื่น แล้วข้าพเจ้าก็ไม่เพียงต่ปรารถนาเท่านั้น ข้าพเจ้ายังภาวนาขอด้วย  แต่สันติสุขที่ข้าพเจ้าต้องการเป็นสันติสุขของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นสันติสุขที่แท้จริง เป็นสันติสุขที่ปราศจากความขมขื่น เป็นสันติสุขที่ปราศจากสงคราม เป็นสันติสุขที่ที่จะไม่ไปลดคุณค่าของคู่อริ แต่เป็นนสันติสุขที่สร้างกัลยาณมิตร” [56]

        ยุคสมัยนี้ยิ่งกว่ายุคไหนในโลก พวกเราต้องการประจักษ์พยาแห่งความเมตตาและความเป็นหนึ่งเดียวกัน ณ จุดนี้ข้าพเจ้าประสงค์ที่จะกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ขอให้พวกเรามอบการเป็นประจักษ์พยานที่น่าชื่นชมและโดดเด่นแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันฉันพี่น้อง [57]  “ด้วยวิธีนี้ทุกคนจะได้รู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา ถ้าท่านรักซึ่งกันและกัน” (ยน. 13: 35) นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ขอต่อพระบิดาด้วยการอธิษฐานร้อนรน “เพื่อที่ทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน… ในเรา… เพื่อที่โลกจะได้เชื่อ” (ยน. 17: 21)

รักสิ่งที่เจโรมรัก

        ก่อนจบจดหมายฉบับนี้ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะขอร้องทุกคน ท่ามกลางความดีงามหลายอย่างที่พวกเรามอบให้กับนักบุญเจโรมโดยชนรุ่นหลัง ความดีงามอย่างหนึ่งก็คือท่านมิได้เป็นเพียงแค่นักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งใน “หอสมุด” ที่ทำให้คริสต์ศาสนามั่งคั่งในกาลสมัยหนึ่งเท่านั้นโดยเริ่มจากการทำคุณให้กับพระคัมภีร์ พวกเราอาจกล่าวได้ดังที่ท่านพูดถึงเนโปติอานุส (Nepotianus) ว่า “โดยอาศัยการอ่านด้วยใจร้อนรนและรำพึงอย่างสม่ำเสมอ  ท่านทำให้หัวใจของท่าน กลายเป็นห้องสมุดทรงคุณค่าของพระเยซูคริสต์” [58]  เจโรมพยายามทุกวิถีทางที่จะขยายห้องสมุดของท่านซึ่งท่านคิดเสมอว่านี่เป็นแหล่งที่จะขาดเสียมิได้ในการที่จะเข้าใจความเชื่อและชีวิตฝ่ายจิต  โดยอาศัยวิธีนี้ท่านยังเป็นแบบฉบับที่ดีสำหรับปัจจุบันนี้ด้วย  แต่ท่านยังไม่หยุด สำหรับท่านแล้วการศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่ที่การอบรมศึกษาในวัยรุ่นเท่านั้น แต่เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำตลอดไป ต้องเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำประจำวัน  อาจกล่าวได้ว่าท่านเองกลายเป็นห้องสมุดและแหล่งแห่งความรู้สำหรับผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน  โปสตูมิอานุส (Postumianus) ซึ่งเดินทางไปทั่วตะวันออกในคริสตศตวรรษที่สี่เพื่อแสวงหาการเจริญก้าวหน้าแห่งชีวิตพรตและได้ใช้เวลาหลายเดือนอยู่กับเจโรม ได้เห็นเป็นประจักษ์เรื่องนี้ด้วยตาตนเอง และเขาเขียนไว้ว่า “เจโรมจะติดอยู่กับการอ่านหนังสือเสมอ ท่านไม่ยอมพักผ่อนทั้งกลางวันหรือกลางคืน ตลอดวันท่านจะต้องกำลังอ่านหรือกำลังเขียนบางอย่างอยู่เสมอ” [59]

        สำหรับเรื่องนี้บ่อยครั้งข้าพเจ้าคิดถึงประสบการณ์ที่เยาวชนของวันนี้ก็สามารถที่จะเดินเข้าไปในร้านขายหนังสือในเมือง หรือเข้าไปในอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาได้  ส่วนใหญ่แล้วหนังสือแผนกนี้มักจะไม่ค่อยมีหรือถ้ามีก็น้อยมากกับหนังสือที่เป็นแก่นสาร เมื่อพวกเรามองไปที่ชั้นหนังสือหรือที่เว็บไซต์เป็นการยากที่เยาวชนจะเข้าใจว่าการแสวงหาความจริงทางศาสนาสามารถเป็นการผจญภัยที่น่าสนใจที่จะทำให้หัวใจและจิตใจของพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ความกระหายหาพระเจ้านั้นจะจุดประกายไฟให้กับจิตใจตลอดทุกศตวรรษจนถึงปัจจุบันนี้อย่างไร การเจริญพัฒนาฝ่ายจิตมีอิทธิพลต่อนักเทวศาสตร์และนักปรัชญาศาสตร์ ศิลปิน นักกวี นักประวัติศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์อย่างไร ปัญหาประการหนึ่งที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่แต่เรื่องศาสนาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความไม่รู้หนังสือด้วย  ประสบการณ์ชีวิตฝ่ายจิตที่ทำให้พวกเราเป็นผู้แปลและตีความขนบธรรมเนียมทางวัฒนธรรมของพวกเรานั้นมีน้อยมาก ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะท้าทายเยาวชนเป็นพิเศษขอให้ทุกคนจงได้สำรวจมรดกตกทอดของพวกเธอ จงชื่นชอบกับประวัติศาสตร์นี้ที่เป็นของพวกเธอ จงกล้าที่จะพิศเพ่งไปยังหนุ่มเจโรมซึ่งคล้ายกับพ่อค้าในนิทานเปรียบเทียบของพระเยซูคริสต์ขายทุกสิ่งที่เขามีเพื่อซื้อ “ไข่มุกที่มีค่ามหาศาล” (มธ. 13: 46)

        พวกเราสามารถเรียกเจโรมได้ว่าเป็น “ห้องสมุดของพระเยซูคริสต์” เป็นห้องสมุดถาวร นับด้วยระยะเวลาถึง 16 ศตวรรษซึ่งยังคงสอนพวกเราให้ทราบถึงความหมายแห่งความรักของพระเยซูคริสต์ เป็นความรักที่ไม่สามารถแยกออกจากการพบกับพระวาจาของพระองค์  นี่คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดการครบรอบ 1600 ปี จึงสามารถมองได้ว่าเป็นการเรียกร้องให้พวกเรารักผู้ที่เจโรมรัก เป็นการพบกับสิ่งที่ท่านเขียน และที่จะสัมผัสกับชีวิตฝ่ายจิตของท่านซึ่งสามารถอธิบายโดยย่อๆ ว่าเป็นความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่ไม่รู้จักหยุดหย่อนเพื่อที่จะได้รู้จักพระเจ้าให้ดียิ่งขึ้นผู้ทรงเลือกที่จะแสดงพระองค์ ในยุคสมัยของพวกเรา ทำไมพวกเราจะไม่ยอมฟังคำแนะนำของเจโรมที่ให้ไว้กับเพื่อนร่วมยุคสมัยของท่าน “จงอ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้พระคัมภีร์ห่างจากมือของท่าน” [60]

        แบบฉบับที่สง่างามแห่งประเด็นนี้คือพระแม่มารีย์พรหมจารีซึ่งเจโรมขานพระนามว่าเป็นพรหมจารีและมารดา แต่ยังเป็นผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ด้วยใจศรัทธาอีกด้วย  พระแม่มารีย์รำพึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ในใจ” (เทียบ ลก. 2: 19.51)  “เพราะพระนางเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระนางอ่านพระคัมภีร์ รู้จักบรรดาประกาศก และจดจำสิ่งที่อัครทูตคาเบรียลกล่าวกับพระนางสิ่งเดียวกันกับที่ประกาศกทำนายไว้… พระนางพิศเพ่งไปยังพระกุมารบุตรของพระนางที่นอนอยู่ในรางหญ้าและกำลังร่ำไห้ ความจริงสิ่งที่พระนางเห็นคือพระบุตรของพระเจ้า พระนางเปรียบสิ่งที่พระนางเห็นกับทุกคนที่พระนางอ่านและได้ยินได้ฟังมา” [61] จึงขอให้พวกเรามอบตัวของเราไว้กับพระแม่ของพวกเราซึ่งยิ่งกว่าผู้ใดสามารถสอนพวกเราให้รู้จักอ่าน รำพึง พิศเพ่ง และอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า ผู้ทรงประทับอยู่ในชีวิตของพวกเรา

        ให้ไว้ ณ มหาวิหารนักบุญยอห์นาเตรัน วันที่ 30 กันยายน วันฉลองนักบุญเจโรม ในปี 2020 อันเป็นปีที่แปดแห่งสมณสมัยของข้าพเจ้า

                                                    ฟรันซิสกุส 

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บสมณลิขิตของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

[1]“Deus qui beato Hieronymo presbitero suavem et vivum Scripturae Sacrae affectum tribuisti, da, ut populus tuus verbo tuo uberius alatur et in eo fontem vitae inveniet”. Collecta Missae Sanctae Hieronymi, Missale Romanum, editio typica tertia, Civitas Vaticana, 2002.

[2] Epistula (hereafter Ep.) 22, 30: CSEL 54, 190.

[3] AAS 12 (1920), 385-423.

[4] Cf. General Audiences of 7 and 14 November 2007Insegnamenti, III, 2 (2007), 553-556; 586-591.

[5] SYNOD OF BISHOPSTwelfth Ordinary General Assembly, Message to the People of God (24 October 2008).

[6] Cf. AAS 102 (2010), 681-787.

[7] Chronicum 374: PL 27, 697-698.

[8] Ep. 125, 12: CSEL 56, 131.

[9] Cf. Ep. 122, 3: CSEL 56, 63.

[10] Cf. Morning Meditation, 10 December 2015. The anecdote is related in A. LOUF, Sotto la guida dello Spirito, Qiqaion, Mangano (BI), 1990, 154-155.

[11] Cf. Ep. 125, 12: CSEL 56, 131.

[12] Cf. Apostolic Exhortation Verbum Domini, 89: AAS 102 (2010), 761-762.

[13] Cf. Ep. 125, 9.15.19: CSEL 56, 128.133-134.139.

[14] Vita Malchi monachi captivi, 7, 3: PL 23, 59-60.

[15] Praefatio in Librum Esther, 2: PL 28, 1505.

[16] Cf. Ep. 108, 26: CSEL 55, 344-345.

[17] Ep. 52, 8: CSEL 54, 428-429; cf. Verbum Domini, 60: AAS 102 (2010), 739.

[18] Praefatio in Librum Paralipomenon LXX, 1.10-15: Sources Chrétiennes 592, 340.

[19] Praefatio in Pentateuchum: PL 28, 184.

[20] Ep. 80, 3: CSEL 55, 105.

[21] Message on the Occasion of the Twenty-fourth Public Session of the Pontifical Academies, 4 December 2019: L’Osservatore Romano, 6 December 2019, p. 8.

[22] Verbum Domini, 30: AAS 102 (2010), 709.

[23] Ep. 125, 15.2: CSEL 56, 133.120.

[24] Ep. 3, 6: CSEL 54, 18.

[25] Cf. Praefatio in Librum Iosue, 1, 9-12: SCh 592, 316.

[26] Homilia in Psalmum 95: PL 26, 1181.

[27] Cf. Vita S. Pauli primi eremitae, 16, 2: PL 23, 28.

[28] Cf. In Isaiam Prologus: PL 24, 17.

[29] Cf. SECOND VATICAN ECUMENICAL COUNCIL, Dogmatic Constitution on Divine Revelation Dei Verbum, 14.

[30] Cf. ibid.

[31] Cf. ibid., 7.

[32] Cf. SAINT JEROME, Ep. 53, 5: CSEL 54, 451.

[33] Cf. SECOND VATICAN ECUMENICAL COUNCIL, Dogmatic Constitution on Divine Revelation Dei Verbum, 12.

[34] Ibid., 24.

[35] Cf. ibid., 25.

[36] Cf. ibid., 21.

[37] N. 56; cf. In Psalmum 147: CCL 78, 337-338.

[38] Cf. Apostolic Letter Motu Proprio Aperuit Illis, 30 September 2019.

[39] Cf. Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 152.175: AAS 105 (2013), 1083-1084.1093.

[40] Cf. Ep. 52, 3: CSEL 54, 417.

[41] Cf. Apostolic Exhortation Verbum Domini, 72: AAS 102 (2010), 746-747.

[42] SAINT JOHN PAUL II, Letter to Artists (4 April 1999), 5: AAS 91 (1999), 1159-1160.

[43] Cf. DENZIGER-SCHÖNMETZER, Enchiridion Symbolorum, ed. 43, 1506.

[44] 25 April 1979: AAS 71 (1979), 557-559.

[45] Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 116: AAS 105 (2013), 1068.

[46] Homilia in Ezechielem I, 7: PL 76, 843D.

[47] Cf. Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 116: AAS 105 (2013), 1068.

[48] Cf. P. RICOEUR, Sur la traduction, Paris, 2004.

[49] Cf. Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 24: AAS 105 (2013), 1029-1030.

[50] L. WITTGENSTEIN, Tractatus Logico-Philosophicus, 5.6.

[51] Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 31: AAS 105 (2013), 1033.

[52] Cf. G. STEINER, After Babel. Aspects of Language and Translation, New York, 1975.

[53] Cf. Ep. 15, 1: CSEL 54, 63.

[54] Ibid., 15, 2: CSEL 54, 62-64.

[55] Ibid., 16, 2: CSEL 54, 69.

[56] Ibid., 82, 2: CSEL 55, 109.

[57] Cf. Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 99: AAS 105 (2013), 1061.

[58] Ep. 60, 10; CSEL 54, 561.

[59] SULPICIUS SEVERUS, Dialogus I, 9, 5: SCh 510, 136-138.

[60] Ep. 52, 7: CSEL 54, 426.

[61] Homilia de Nativitate Domini IV: PL Suppl. 2, 191.