Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา ปี A

การตักเตือนด้วยความรักฉันพี่น้อง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา

ในห้องเรียนห้องหนึ่ง อาจารย์ถามลูกศิษย์ว่า “ทำไมเวลาคนโกรธกันแล้วต้องตะคอกใส่กันด้วย” ห้องเรียนเงียบไปหลายวินาที ก่อนที่นักเรียนคนหนึ่งจะตอบว่า “เพราะเราโมโห เราก็เลยต้องเสียงดังครับ” “แต่ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะ ในเมื่ออีกคนก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ คุยธรรมดาก็ได้ยินแล้วนี่ ทำไมคนเราถึงต้องขึ้นเสียงกันด้วย” นักเรียนผลัดกันตอบคำถาม แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่อาจารย์พอใจ อาจารย์จึงเฉลยว่า “เวลาคนสองคนโกรธกัน หัวใจสองดวงก็จะห่างกันมากขึ้น เขาเลยต้องตะโกนเพื่อไปให้ถึงหัวใจของอีกฝ่าย” ห้องเรียนเงียบสงัด ก่อนที่อาจารย์จะเสริมว่า “เวลาคนสองคนรักกัน สังเกตสิว่าเขาจะไม่ตะโกน แต่จะคุยกันด้วยเสียงอ่อนโยน เพราะอะไร? ก็เพราะว่าหัวใจของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันไง แล้วพอคนสองคนรักกันยิ่งกว่าเดิม เสียงพูดนั้นจะแผ่วเบาจนกลายเป็นเสียงกระซิบ และสุดท้ายเขาก็ไม่จำเป็นต้องกระซิบด้วยซ้ำ แค่มองตาก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ดังนั้น คราวหน้าถ้าเธอตะคอกใส่คนที่เธอรัก จงจำไว้ว่าเธอได้สร้างระยะห่างให้หัวใจของเธอกับเขาแล้ว”

พระวรสารที่นิพนธ์โดยนักบุญมัทธิวต้องถือว่าเป็น “พระวรสารของพระศาสนจักร” (The gospel of the Church) มากกว่าผู้นิพนธ์พระวรสารท่านอื่นๆ ท่านได้พูดถึงเรื่องพระศาสนจักรมากกว่าใครๆ พระศาสนจักรที่หมายถึงกลุ่มประชาคมที่อยู่ร่วมกันเพื่อมุ่งไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์หรือการเป็นนักบุญ ดังนั้น พระศาสนจักรจึงมีกรอบที่ควรปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อมีการทำผิดต่อกัน กรอบปฏิบัตินั้นคือ การตักเตือนกันด้วยความรักฉันพี่น้อง

เริ่มต้นจากการที่ตักเตือนเป็นการลำพังเสียก่อน ทำโดยให้เกียรติต่อกัน เพื่อไม่ให้เกิดความอับอาย วิธีนี้ดีที่สุด ถ้าเขาเชื่อฟังก็จะได้พี่น้องนั้นกลับมา นักบุญมัทธิวชอบเล่าเรื่องพระเยซูเจ้าทรงไปตามหาแกะที่พลัดหายไป ให้กลับมาเข้าฝูงดังเดิม แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง ก็ให้พาพยานคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย เพราะเขาอาจจะคิดว่าเขาทำถูกต้องแล้ว เราก็คิดว่าเราถูกต้องแล้ว ดังนั้น ควรมีพยานที่ยืนยันเข้าข้างความถูกต้องที่แท้จริง ทำดังนี้อาจจะได้พี่น้องกลับมา แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็ถึงขั้นตอนของหมู่คณะ และการขับออกจากหมู่คณะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สุด ซึ่งในใจลึกๆแล้ว ในใจที่มีความรักต่อกันฉันพี่น้องอย่างยิ่งแล้ว ไม่มีใครอยากใช้มาตรการขั้นนี้แน่ๆ เพราะไม่ใช่วิธีที่จะเอาชนะใจพี่น้องคนนั้นได้

แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายนัก การจะต้องไปพูดกับคนที่ทำผิดต่อเราไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ มันมีเรื่องของ อารมณ์ ความรู้สึก อคติ ฯลฯ มาเกี่ยวข้องอีกมากมาย มันสู้ไปพูดให้คนอื่นฟังไม่ได้หรอก มันง่ายกว่ากัน จะใส่สีตีไข่อะไรลงไปก็มันขึ้นอีกต่างหาก อีกทั้งคนฟังก็ดูเหมือนชอบฟัง อยากฟังอยากรู้เรื่อง ให้ความร่วมมือ อยาก(สอด)รู้(สอด)เห็น ให้เรื่องมันขยายใหญ่มากขึ้น ให้มันละเอียดมากขึ้น จะได้นำไปเล่าต่อ ช่วยๆกันเล่าหลายๆคน สนุกสนานเพลิดเพลินเจริญใจ แทนที่จะทำตามจิตตารมณ์และขั้นตอนที่พระวรสารของวันนี้แนะนำ กลับทำผิดจิตตารมณ์ของการตักเตือนกันด้วยความรัก รวมทั้งวิธีการก็ผิดด้วย คือแทนที่จะไปพูดกับคนที่ทำผิดต่อเราเป็นการส่วนตัว ก็ไปพูดกับคนอื่นๆ โดยลืมคิดไปว่า ถ้ามีใครมาพูดว่าลับหลังหรือให้ร้ายต่อเราลับหลัง เราจะรู้สึกอย่างไร และแทนที่จะพาพยานไปคนหรือสองคนเพื่อพูดความจริงด้วยความรัก กลับไปพูดกับคนมากมาย และชักชวนกันมากกว่าสองหรือสามคนให้แพร่กระจายข่าวไปเรื่อยๆ จนไม่มีวันได้พี่น้องนั้นกลับคืนมา

ดังนั้น อยากให้เราเปิดใจรับฟังพระวาจาของพระเจ้าดีๆ และนำเรื่องของการตักเตือนกันด้วยความรักฉันพี่น้องไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม การตักเตือนคนที่ทำผิดด้วยความรัก โดยมีเป้าหมายให้เขาเปลี่ยนแปลงชีวิต กลับมาสู่หนทางที่ถูกต้องนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้อง ดังตัวอย่างที่เราได้พบในบทอ่านแรก ประกาศกเอเสเคียลกล่าวว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งท่านเป็นคนยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล คนยามจะยืนบนหอสูงหรือในที่สูงที่มองเห็นศัตรูว่าจะลุกคืบมาเมื่อใด ก็จะเป่าเขาสัตว์เป็นเสียงเตือนให้ประชาชนระวังภัย บทบาทของประกาศกก็คอยตักเตือนประชาชนให้อยู่ในหนทางของพระเจ้า แม้นักบุญเปาโลก็บอกว่าเราจงอย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากหนี้รักซึ่งกันและกัน การตักเตือนกันเป็นส่วนหนึ่งของความรักที่พึงมีต่อกัน

สุดท้ายให้เรานำพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านสองคนบนแผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้” โดยนำมาประยุกต์เพื่อการภาวนาให้พี่น้องผู้หลงผิดไป ได้กลับมาในหนทางของพระองค์ คือ แทนที่จะรวมสมัครพรรคพวกมานินทาว่าร้ายกัน ให้มารวมใจกันสวดโดยมีพระเยซูเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา เพื่อให้พี่น้องของเรากลับมาสู่หนทางของพระองค์ พระเจ้าคงจะทรงพอพระทัยในคำภาวนาแบบนี้เป็นอย่างยิ่ง

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2008
และนำมาเรียบเรียงใหม่ วันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2020)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา ปี A

“จงตักเตือนกันด้วยความรัก”

อดีตประธานาธิบดี คิม แด จุง แห่งเกาหลีใต้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุรุษที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในศตวรรษที่ 20-21 เขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ในปี ค.ศ. 2000

แต่ก่อนที่เขาจะได้เป็นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 1998 นั้น เขาต้องต่อสู้อยู่หลายสิบปีในฐานะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน คู่แข่งทางการเมืองของเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้เขาออกไปให้พ้นทาง เขาเคยถูกลอบฆ่าแต่รอดชีวิตมาได้ เคยถูกลักพาตัว เคยติดคุกหลายครั้ง เคยถูกโบย ถูกเนรเทศ และเคยถูกตัดสินประหารชีวิต แต่เขาก็รอดตัวมาได้ทุกครั้ง

เขาเคยกล่าวคำที่น่าทึ่งคำนี้ไว้ “เป็นการดีที่เราจะรู้จักเจรจากับศัตรูของเรา” และเขาก็ได้ทำตามที่กล่าวไว้ คือในปี ค.ศ. 2000 เขาได้พบกับผู้นำของเกาหลีเหนือ ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่ทำเช่นนั้น ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเกาหลี ในปี ค.ศ. 1953 ในการเจรจาครั้งนี้สามารถทำให้สัมพันธภาพระหว่างสองประเทศดีขึ้นมาก

เป็นที่น่าสังเกตว่าในสมัยปัจจุบันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ก่อการร้าย เราจะใช้วิธีการเจรจาก่อน จนมีคำกล่าวกันเล่นๆว่า กลุ่มผู้ก่อการร้าย คือกลุ่มที่เราสามารถเจรจาความกันได้ แล้วกลุ่มผู้ก่อการดีล่ะ จะเจรจาได้ไหม นี่เป็นปัญหาที่น่าคิด

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ทั้งในบทอ่านแรกและในพระวรสารได้พูดถึงเรื่อง การตักเตือนกัน ซึ่งต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของเราแต่ละคนเมื่อพี่น้องทำผิดต่อเรา ส่วนนักบุญเปาโลในบทอ่านที่สองแถมให้ด้วยว่า “ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน” เหมือนกับนักบุญเปาโลส่งเสริมให้เราตักเตือนกันและกันด้วยความรัก

นักบุญมัทธิวในพระวรสารโดยสรุปในภาพรวมของท่าน ต้องเรียกว่าเป็น “พระวรสารของพระศาสนจักร” (The Gospel Of The Church) พระเยซูเจ้าในพระวรสารของท่านได้ให้คำอุปมามากมายเกี่ยวกับเนื้อแท้ของพระศาสนจักร (เทียบ มธ. 13) จริงๆ แล้วพระศาสนจักรมิใช่เป็นกลุ่มประชาคมของผู้ที่เป็นนักบุญแล้ว แต่เป็นกลุ่มประชาคมที่ต้องการจะเป็นนักบุญต่างหาก เหมือนกับในพระศาสนจักรยังมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ซึ่งพระเจ้าทรงอดทนต่อสิ่งเหล่านี้ ทรงปล่อยให้ข้าวสาลีขึ้นปะปนไปกับข้าวละมาน

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับบาปและความเลวทุกชนิด โดยเฉพาะถ้ามันเป็นสิ่งที่ทำร้ายประชาคม เราเองเป็นสมาชิกในกลุ่มที่เป็นพี่เป็นน้องกัน ที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบเมื่อมีความไม่ดีเกิดขึ้น

ประกาศกเอเสเคียล ได้แสดงความรับผิดชอบเช่นนี้ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าบ้านเมืองมีคนยามคอยเฝ้าระแวงภัยจากศัตรูที่จะมาจู่โจมเพื่อให้บ้านเมืองปลอดภัย ประกาศกก็เช่นกันถูกแต่งตั้งจากพระเจ้าให้เป็นคนยามคอยเฝ้าเตือนประชากร ถ้าไม่เตือน ประกาศกจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเตือนแล้ว ประชากรไม่เชื่อฟัง ความผิดก็จะตกอยู่กับตัวประชากรเอง

เราอยู่ในพระศาสนจักรเดียวกัน เป็นประดุจอวัยวะแห่งพระกายทิพย์ ซึ่งมีพระเยซูเจ้าทรงเป็นศีรษะ ดังนั้น จงรู้จักรับผิดชอบต่อพระศาสนจักร รู้จักเตือนกันด้วยความรักเมื่อมีผู้กระทำผิด พระเจ้าทรงตั้งเราให้เป็นเหมือนยามหรือเหมือนประกาศก ที่มีหน้าที่ต้องตักเตือนเมื่อมีการกระทำผิด เราอย่ากล่าวเหมือนคาอินว่า “ฉันเป็นผู้ดูแลน้องชายของฉันหรือ” โธ่…ถ้าเขาเป็นผู้ดูแลจริงๆ เขาคงไม่ฆ่าน้องชายทิ้งเพราะความริษยาหรอก แต่โดยแท้จริงแล้ว เราต้องเฝ้าดูแลพี่น้อง เช่น ผู้ที่เป็นอธิการต้องดูแลผู้อยู่ใต้ปกครอง พ่อแม่ต้องดูแลลูกๆ เจ้าหน้าที่รัฐต้องดูประชาชน พระสังฆราชต้องดูแลสัตบุรุษและสังฆมณฑล เจ้าอาวาสต้องดูแลลูกวัด ครูต้องดูแลนักเรียน และนอกเหนือจากนั้น เรายังต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างเหมาะสมต่อเพื่อนพี่น้องคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เป็นลูกน้อง หรือผู้ที่ต้องขึ้นกับเราเท่านั้น

อยากจะจบลงที่ว่า เตือนคนอื่นมันก็ง่ายอยู่หรอก แต่ถ้าเราทำผิด แล้วคนอื่นมาเตือนเรา จะรับได้หรือไม่ เราจะเป็นยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้าย อีก ถ้าเราไม่ยอมรับการเจรจาใดๆ เลย ขอจบลงตรงนี้ที่ว่า จงยอมรับการตักเตือนจากผู้อื่นด้วยใจสงบ ถ้าพบว่าเราผิดจริงก็ควรแก้ไขให้ทันท่วงที

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2011
Based on : Speak, Lord! ; by Fr Herman Mueller, SVD)