
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี A
“ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน”
พระวรสารโดยนักบุญมัทธิวของวันอาทิตย์นี้ เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัว เลี้ยงผู้คนเป็นจำนวนหลายพันคน
อาจกล่าวได้ว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั้นเมื่ออยู่ในพระหัตถ์ของพระเยซูเจ้าก็กลับกลายเป็นสิ่งที่มากๆ ได้
หรือเราอาจพูดได้ว่า พระองค์อาจจะทรงรับเอาสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปจากมือของเรา แต่เวลาที่พระองค์ทรงคืนให้กับเรา ทรงมอบให้เราอย่างอุดมบริบูรณ์
คุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา เคยเขียนบทภาวนาบทหนึ่งไว้ว่าดังนี้
“ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรเลย พระเยซูเจ้าทรงเป็นทุกสิ่ง
ข้าพเจ้าทำอะไรไม่ได้เลย พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่ง
ข้าพเจ้าคือดินสอของพระเจ้า
เป็นดินสอแท่งเล็กๆ ที่พระองค์ทรงใช้เขียน
พระองค์ทรงชอบสิ่งใด ก็ทรงเขียนผ่านทางเรา
และแม้ว่าเราจะเป็นเครื่องมือที่ไม่สมบูรณ์เพียงใด
พระองค์ทรงเขียนออกมาอย่างงดงามเสมอ”
เป็นความจริงที่คุณแม่เทเรซาเขียนว่า “แม้เราจะเป็นเครื่องมือที่ไม่สมบูรณ์เพียงใด แต่พระองค์ก็ทรงเขียนออกมาอย่างงดงาม” และพระเยซูเจ้าก็ทรงเขียนให้ชีวิตของเธองดงามและเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลก
คุณแม่เทเรซาได้เริ่มงานรับใช้เพื่อนมนุษย์ ตั้งแต่ต้นแทบจะเริ่มจากเลขศูนย์ เว้นแต่ความเต็มอกเต็มใจเท่านั้นที่มีเกินร้อย แต่ปัจจุบันนี้ คณะของคุณแม่มีซิสเตอร์และบราเดอร์มากกว่า 5,000 คน ที่กำลังทำงานสานฝันของคุณแม่ต่อไป มีศูนย์ของคณะอยู่ทั่วโลกมากกว่า 500 แห่ง ซึ่งทำให้คนมากกว่าห้าล้านคนได้กินอิ่มและช่วยคนที่เป็นโรคเรื้อนประมาณเก้าหมื่นคนในแต่ละปี จะเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงทวีคูณให้มากขึ้นจากสิ่งเล็กๆ ที่คุณแม่ได้มอบไว้ให้กับพระองค์
เพราะได้เห็นความจริงที่ปรากฏแก่ตาเช่นนี้ ทำให้ผู้มีชื่อเสียงทางโทรทัศน์ชาวอังกฤษผู้หนึ่งที่ชื่อว่า มัลคอม มักเกริดจ์ (Malcome Muggeridge) ได้ทำสิ่งหนึ่งที่เขาเคยสาบานไว้ว่าจะไม่มีวันทำเลย คือ การเปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก เขากล่าวว่าที่เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้ เพราะอิทธิพลของคุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา
“คำพูดใดๆ ไม่สามารถบอกได้ว่าผมเป็นหนี้บุญคุณเธอมากเท่าไร เธอแสดงความเป็นคริสตชนให้ผมเห็นในการปฏิบัติ เธอแสดงถึงพลังแห่งความรัก เธอแสดงให้ผมเห็นว่า คนที่น่ารักคนหนึ่งสามารถก่อให้เกิดระลอกคลื่นแห่งความรัก ที่สามารถแผ่ขยายไปทั่วทั้งโลกได้อย่างไร”
นี่เป็นเรื่องเดียวกับที่พระวรสารวันนี้สอนเรา เป็นข่าวดีที่บอกเราว่า คนๆ หนึ่งก็มีความสำคัญ เป็นข่าวดีที่บอกเราว่าคนๆ หนึ่งก็ถูกนับให้เห็นถึงความสำคัญ เป็นข่าวดีที่บอกเราว่า ถ้าเราแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับพระเยซูเจ้า เหมือนเด็กคนนั้นที่มีขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว โดยที่เขายินยอมให้อัครสาวกนำมามอบให้พระเยซูเจ้า พระองค์ก็จะทรงสามารถทวีคูณให้บังเกิดผลมากมาย เกินกว่าสุดปลายฝันของเราทีเดียว
วันนี้ พระวรสารบอกเราอีกว่า ถ้าเราทูลเสนอความสามารถและพรสวรรค์ต่างๆ ของเราให้กับพระเยซูเจ้าสำหรับงานของพระองค์ พระองค์จะทำกระทำมหัศจรรย์ต่างๆ ขึ้นมาจากสิ่งที่เรานำถวายนั้น
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี A
“ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด”
ความตายของยอห์นบัปติสต์ มีผลกระทบต่อจิตใจของพระเยซูเจ้าหรือไม่
เชื่อว่ามี เพราะเมื่อทราบข่าวความตายของยอห์นบัปติสต์ พระองค์ได้เสด็จลงเรือไปยังที่สงัดตามลำพัง
อาจจะทรงอยากอยู่เงียบๆ เพียงลำพังเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
อาจจะทรงเศร้าสลดใจ เพราะทรงอาลัยต่อการจากไปของคนของพระเจ้า ที่อุทิศทุ่มเททั้งกายและจิตวิญญาณรวมทั้งชีวิต เพื่อเตรียมประชากรของพระเจ้าให้พร้อมน้อมรับพระผู้ไถ่
อาจจะทรงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในภายภาคหน้าที่พระองค์จะต้องทรงประสบ นั่นคือ ความตายที่รอคอยพระองค์อยู่
แต่ความสงัดเงียบที่พระองค์ทรงมีความปรารถนานั้นมลายหายไปกับคลื่นของประชาชนที่พากันเดินเท้ามาดักเฝ้าพระองค์ เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือและทรงเห็นประชาชนมากมายเช่นนั้น ก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค
นอกจากรักษาโรคทางฝ่ายกายแล้ว พระองค์ก็ทรงเทศน์สั่งสอนพวกเขา เพราะผู้คนมากหลายเหล่านั้นติดตามมาเพื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์
พระองค์ทรงเทศน์ เทศน์ และเทศน์ ทุกคนนั่งเงียบตั้งใจฟังคำเทศน์สอนของพระองค์
พระองค์ทรงเทศน์สอนเรื่องข่าวดี เรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระองค์เอง และเรื่องที่เกี่ยวกับพวกเขาด้วย ทรงเผยให้พวกเขาเห็นความเป็นไปได้ในตัวพวกเขา ความเป็นมนุษย์ ความมีศักดิ์ศรี ต้นกำเนิด และจุดหมายของมนุษย์
แรกๆ พวกเขาฟังแล้วประหลาดใจ ต่อมาก็มีความตื่นเต้น และบัดนี้พวกเขาติดใจ รวมทั้งเริ่มเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ที่มาพูดให้พวกเขาฟัง
เวลาก็คงจะเคลื่อนคล้อยไปมาก แต่ทุกคนฟังอย่างเพลิดเพลิน จนลืมเวลา จนลืมนาที จนถึงเวลาเย็น พวกศิษย์จึงมาบอกให้พระองค์ทรงปล่อยประชาชนกลับไปบ้าน พวกเขาคงจะต้องหิวกว่าจะถึงบ้าน และที่นั่นก็เป็นที่เปลี่ยว กว่าประชาชนจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านที่ใกล้เคียงเพื่อจะซื้ออาหารได้ ก็ต้องใช้เวลานานพอควร
แต่พระเยซูเจ้ามิทรงเห็นด้วยกับบรรดาศิษย์ที่ผลักดันให้ประชาชนออกไป ทรงบอกให้พวกเขาจัดเตรียมอาหารให้ประชาชนกินที่นี่ แต่สานุศิษย์เห็นว่ามีอาหารน้อยเหลือเกิน คือมีขนมปังเพียงห้าก้อน กับปลาสองตัวเท่านั้น (ที่จริงนี่เป็นอาหารของเด็กชายคนหนึ่งตามที่ยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสารได้บอกไว้) เด็กคนนั้นยอมมอบให้พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปัง แล้วทรงสั่งให้ศิษย์ไปแจกให้กับประชาชน ทุกคนได้รับและส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ทุกคนได้กินจนอิ่ม มีเหลืออีกด้วย
ในเย็นวันนั้น ประชาชนทั้งหลายที่นั่นได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในขณะที่ทรงเทศน์สอน โดยทางพระองค์พระเจ้าได้แสดงพระทัยดีของพระองค์ให้ปรากฏ เป็นองค์พระเจ้าเองผู้ทรงให้ชีวิตแก่พวกเขา ที่ทรงค้ำจุนชีวิตของเขา ที่ทรงเข้ามาอยู่ในชีวิตพวกเขา
ค่ำนั้นพวกเขากลับบ้านโดยที่อิ่มทั้งกาย สุขทั้งใจ คงจะหัวเราะ และร้องเพลงกันไปตลอดทาง สิ่งหนึ่งที่จารึกในจิตใจของเขาไม่มีวันลืมเลยคือ ในช่วงเวลาแห่งความสุขของเย็นวันนั้น พวกเขาเป็นเครื่องหมายและเครื่องมือ (sacraments) ของการประทับอยู่ของพระเจ้า ในท่ามกลางพวกเขา
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2008)