Skip to content

บทความจาก “องค์กรการีตัสสากล” การไตร่ตรองเชิงอภิบาลเกี่ยวกับโควิด-19

“พวกเราหนีรอดไปได้เหมือนนกที่หลุดจากตาข่ายของนายพราน ตาข่ายฉีกขาด พวกเราจึงหลุดรอดไปได้
พวกเราได้รับความช่วยเหลือจากพระนามของพระเจ้า พระผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน” (สดด. 124: 7-8)

เกือบสามเดือนหลังเกิดโรคระบาดโควิด-19 ประเทศต่างๆทั่วโลกต่างมีมาตรการป้องกันโรคระบาด แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเร็วเกินไปที่จะประกาศชัยชนะ เฉกเช่นที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเตือนใจในช่วงที่มีการสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2020  ทว่าพวกเราก็ยังสามารถที่จะนำข้อความเหล่านี้จากพระคัมภีร์ของผู้แต่งเพลงสดุดีที่เกิดจากหัวใจของผู้ที่มีความเชื่อ ได้มอบความวางใจในพระเจ้าและมั่นใจในพระวาจาของพระองค์

        เพราะผู้เชื่อวางใจในพระเจ้าในทุกสถานการณ์ของชีวิต ผู้นั้นทราบดีว่าเขาต้องทำทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้อำนาจของตน แต่ผลสุดท้ายนั้นก็สุดแล้วแต่พระประสงค์ของพระเจ้า เขาทำราวกับว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตนเอง ขณะที่เขาภาวนาราวกับว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า (นักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา)

        นี่คือบทเรียนในเรื่องความสุภาพถ่อมตน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน แต่เป็นพิเศษสำหรับพวกเราคริสตชน พวกเราที่กำลังดำเนินพันธกิจในการอภิบาลสังคมของพระศาสนจักรและยังเป็น “มืออาชีพ” ในด้านมนุษยธรรมด้วย

ณ สำนักเลขาธิการการีตัสสากล ก่อนที่จะมีการปิดประเทศ พวกเราตัดสินใจที่จะสวดวอนขอแม่พระ ผู้เป็นที่พึ่งทุกวันในช่วงของการสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว พวกเราทราบดีว่าชนชาติที่เป็นคริสตชนต่างหันหน้าไปหาพระแม่มารีย์ในยามทุกข์ยาก ซึ่งไม่เคยต้องผิดหวัง  เมื่อพวกเราถูกบังคับให้ต้องปิดสำนักงาน พวกเราหลายคนต่างร่วมใจกันสวดภาวนาพร้อมกับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ในช่วงที่พระองค์ทรงถวายบูชาขอบพระคุณ ซึ่งได้มีการถ่ายทอดทุกเช้าเวลา 7.00 น. จากวัดน้อยนักบุญมาร์ธา ภายในสถานพำนักของพระองค์ ณ นครรัฐวาติกัน พร้อมกับสมเด็จพระสันตะปาปาพวกเราอธิษฐานภาวนาสำหรับครอบครัว และชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป พวกเราภาวนาสำหรับคนชราซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความอ่อนแอเปราะบางมากที่สุด ซึ่งสถิติบอกว่าพวกเขาเสียชีวิตมากที่สุดเพราะโรคระบาดนี้  พวกเราไม่ลืมเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลรักษาพยาบาลรวมถึงบรรดาศาสนบริกร และผู้ที่ให้การอภิบาลด้วย พวกเขาอยู่แนวหน้าในการดูแลผู้ป่วยและจัดหาทุกสิ่งให้เท่าที่จะสามารถทำได้ พวกเขาเสี่ยงที่จะติดโรคระบาด หลายคนต้องเสียชีวิตที่นี่ในประเทศอิตาลี ณ ที่พวกเราพำนักอยู่และเชื่อแน่ว่าในประเทศอื่นก็เช่นเดียวกัน

ขอให้ประสบการณ์นี้ทำให้พวกเราเชื่อมั่นว่า ยุคนี้ยิ่งกว่ายุคไหน “ความช่วยเหลือของพวกเราในพระนามของพระเจ้า” และการกระตุ้นให้พวกเราอธิษฐานภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อกิจกรรมทุกอย่างของพวกเราจะได้พบกับต้นตอในพระเจ้าแห่งชีวิต และประสบกับความสำเร็จในพระองค์

มีการพูดกันบ่อยครั้งว่า มนุษย์ไม่ได้เรียนอะไรจากประวัติศาสตร์ และนี่คือเหตุผลที่ประวัติศาสตร์เกิดแบบซ้ำรอยบ่อยๆ  สำหรับองค์กรสมาชิกการีตัสและพวกมืออาชีพไม่ควรมีอะไรที่เป็นเหมือนเดิม โรคระบาดนี้ไม่ไว้หน้าใครเลย แม้แต่ประเทศที่เรียกกันว่าพัฒนาแล้ว และนี้คือความพิเศษอย่างหนึ่ง  เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งทีมงานและวัตถุปัจจัยไปช่วยคนยากจนที่อยู่ไกลแสนไกลซี่งภัยพิบัติและโรคระบาดเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ครั้งนี้แม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขาขาดสิ่งที่จำเป็นแม้กระทั่งหน้ากากอนามัย แม้แต่ความเอื้ออาทรก็ไม่หลงเหลืออยู่เลย แต่ละประเทศต่างก็รีบปิดชายแดน กักตุนอาหารปัจจัยต่างๆซึ่งจะช่วยชีวิตพวกเขาไว้ได้ท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงในสหภาพยุโรปด้วย  ครั้งนี้คนยากจนคือพวกเราแต่ละคนไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหน หลายชุมชนและหลายประเทศล้วนมีประสบการณ์กับการสิ้นเนื้อประดาตัว และการที่ไม่ได้มีการเตรียมตัว ตั้งแต่แรกประสบการณ์อันเหี้ยมโหดของโรคระบาดนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงภาษิตในประเทศของข้าพเจ้าที่ว่า “ท่านอาจคุยได้ว่าท่านเป็นนักดับเพลิงที่ดี เพราะนั่นไม่ใช่บ้านแม่ยายที่กำลังไหม้”

ข้าพเจ้าจะไปไม่ไกลถึงขนาดที่จะกล่าวว่า “อะไรที่ชั่วเป็นสิ่งที่ดี” และ “ทุกหมอกเมฆมีเส้นสีเงิน” โดยเสี่ยงที่มองอะไรแบบผิวเผิน แต่ว่าพวกเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยหากสถานการณ์นี้ไม่ได้ทำให้พวกเรารับรู้ถึงความจำเป็นที่จะสร้างความเข้าใจถึงคำว่า ครอบครัวมนุษย์  ที่พวกเราใช้คำนี้กันบ่อยๆ ใช่แล้วพวกเราเป็นมนุษย์  แต่บางทีพวกเราไม่ได้รับรู้ถึงความจริงว่า พวกเราอ่อนแอและรู้จักตายโดยฉพาะเรื่องความสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งพวกเรามีสวัสดิการสังคมและการคุ้มครองต่างๆ ความจริงแล้วโรคระบาดนี้ได้นำแสงสว่างมาให้พวกเราอย่างเจ็บแสบ เช่นระดับของความยากจนและความไม่เท่าเทียมกัน แม้กระทั่งในประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เช่น สหรัฐอเมริกา เกินกว่า 20% ของประชากรที่ไม่มีประกันสุขภาพ

ใช่แล้ว โรคระบาดนี้มาเตือนใจพวกเราถึงความเปราะบางของตัวเราในฐานะที่เป็นสมาชิกของครอบครัวมนุษย์ไม่ว่า พวกเราจะอยู่ที่ไหน เป็นใคร และพวกเรามีอะไร โรคระบาดโควิด19 มาเพื่อเขย่าการเห็นแก่ตัว และการเมินเฉยต่อการท้าทายความยะโสของพวกเรา จนในที่สุดเชื้อเชิญพวกเราให้ค้นพบความหมายที่แท้จริงของความเอื้ออาทร และความดีส่วนรวมเสียใหม่เพื่อที่จะทำให้โลก “บ้านส่วนรวมของพวกเรา” เป็นที่น่าอยู่สำหรับทุกคน

สิ่งชั่วร้ายบางสิ่งกลับกลายเป็นสิ่งดี พวกเราถูกหลอกให้พูดเช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง!  สำหรับครอบครัวโลก เช่นชาวการีตัส พวกเราพบความสามารถของพวกเราที่จะปฏิบัติการในทุกกรณี ทุกสถานการณ์ เพราะพวกเรายึดติดอยู่กับพระศาสนจักรและชุมชนท้องถิ่น นี่เป็นเรื่องน่าประทับใจที่องค์กรสมาชิกของพวกเราสามารถเผชิญได้กับวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุด ท่านเพียงไปเยี่ยมเวทีวิกฤตโควิด-19 ที่บาวบับ (Baobab) ก็จะเห็นแจ้งเอง  เป็นการเพียงพอที่จะเห็นการเรียกร้องขอความช่วยเหลือที่มาถึงพวกเราจากประเทศต่างๆ ซึ่งพวกเราก็พยายามที่จะตอบสนองแม้จะไม่ค่อยทั่วถึงโดยอาศัยกองทุนโควิด-19 ที่ตั้งขึ้นโดยการขอร้องของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในความร่วมมือกับสมณสภาเพื่อการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวม ดังที่ฌ็อง โรแด็ง (Jean Rodhain) หนึ่งในผู้สถาปนาการีตัสสากลกล่าวว่า “ความรักเมตตาปราศจากกาลเวลาและไม่มีข้อจำกัด”

ครั้งนี้ครั้งเดียวข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราคงได้เรียนรู้ว่าพลังอำนาจของพวกเราจริงๆแล้วอยู่ที่ความร่วมมือเสียสละแห่งบรรดาสมาชิก ด้วยการไม่เห็นแก่ตัวของอาสาสมัคร และทุกคนที่มอบชีวิตของตนเองให้กับผู้อื่น การนำศักยภาพของพวกเราออกสู่สังคมอย่างเต็มที่ เพื่อให้การสนับสนุนพวกเขาจะทำให้เขาเกิดความเข้มแข็ง จูงใจพวกเขา ช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตในการร่วมมือกันฉันพี่น้อง ในความจริง สิ่งเหล่านี้จะแสดงว่าพวกเราได้เรียนรู้บทเรียนอย่างแท้จริงจากโรคระบาดที่ไร้พรมแดนนี้ ซึ่งไม่มีอะไรที่จะเป็นเช่นเดิมอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของพวกเรา หรือกุศโลบายหรือพฤติกรรมของพวกเรา

โดย ปีแอร์ ชิบัมโบ (Pierre Cibambo)
CI Ecclesiastical Assistant
มิถุนายน 2020

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทความนี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)