
ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก ปี A
นักบุญเปโตร

เดิมชื่อซีโมน มาจากเมืองเบธไซดา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆอยู่ในแคว้นกาลิลีตอนบน(The Upper Galilee) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี ในเวลาต่อมา อาจเป็นเพราะการแต่งงานของท่าน ทำให้ท่านย้ายไปอยู่ที่คาเปอรนาอุม โดยที่ยังประกอบอาชีพจับปลาจากทะเลสาบเดียวกันนั้นเอง แม้ว่านักบุญเปโตร และนักบุญอันดรูว์ผู้น้อง ต่างก็เป็นชาวประมง แต่ทั้งสองก็เป็นชาวยิวใจศรัทธา ที่เฝ้ารอคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้ทรงให้คำมั่นสัญญาไว้
ส่วนกระแสเรียกของนักบุญเปโตร มาจากการที่นักบุญอันดรูว์ผู้เป็นน้องชาย กับนักบุญยอห์น ซึ่งทั้งคู่เป็นศิษย์ของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง ได้ยินมาว่าอาจารย์ของเขาทั้งสองได้เรียกพระเยซูเจ้าว่า เป็น “ลูกแกะพระเจ้า” พวกเขาจึงไปพบพระเยซูเจ้า และขอไปใช้ชีวิตอยู่กับพระองค์หนึ่งวัน เมื่อมั่นใจว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเมสสิยาห์ที่รอคอยแน่แล้ว นักบุญอันดรูว์จึงกลับไปบ้านและบอกให้พี่ชายรู้ว่าเขาได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว ดูเหมือนนักบุญเปโตรจะเชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเมสสิยาห์ก่อนที่จะเห็นพระองค์เสียอีก แต่ท่านก็ไปและได้พบกับพระเยซูเจ้า เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นท่าน พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อของท่านจากซีโมน เป็น เคฟาส ซึ่งในภาษาอาราเมอิค หมายถึง “ศิลา” และชื่อเดียวกันนี้ถ้าเป็นภาษากรีกก็คือ “Petros” (= เปโตร) นั่นเอง และดังนี้นักบุญเปโตรจึงเป็นศิษย์กลุ่มแรกๆที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกให้ติดตามพระองค์
เมื่ออ่านพระวรสารเราจะเห็นลักษณะนิสัยของนักบุญเปโตร ท่านมีหลายบุคลิกลักษณะ เช่น เป็นคนพูดจาโผงผาง หุนหันพลันแล่น บทจะอ่อนแอก็อ่อนแอเป็นอย่างมาก ท่านจะแสดงถึงความรักที่มีต่อพระคริสตเจ้าอย่างแน่วแน่ แต่บางครั้งก็ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นผู้ที่เคยล้มเหลว อ่อนแอ และปฏิเสธพระคริสตเจ้า แต่ท่านก็เป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงแปรเปลี่ยนธรรมชาติที่ไม่มั่นคงเหมือนสายน้ำให้เป็นหลักศิลาที่เข้มแข็ง ที่พระองค์จะทรงสร้างพระศาสนจักรขึ้นมาบนเสาหลักนี้ เป็นที่พระคุณความดีของพระเยซูเจ้าโดยแท้ ที่ทรงเปลี่ยนให้ซีโมนที่ใจร้อน และอ่อนแอ ไปเป็นนักบุญเปโตร ผู้เป็นหินผา และผู้นำ และเป็นเสาหลักของพระศาสนจักร
นักบุญเปโตรเป็นแบบอย่างให้เราเห็นว่า แม้หลายๆครั้งที่ท่านล้มเหลว ท่านไม่เคยละสายตาและความสนใจไปจากพระคริสต์เลย ท่านวางความหวังไว้ในพระคริสต์ และพระองค์ก็ทรงช่วยเหลือ โดยทรงพยุงท่านขึ้นมาใหม่ ดังนั้น แม้เราจะล้มไปบ้าง ผิดหวังไปบ้าง หรือล้มเหลวในบางสิ่ง เราต้องมอบความไว้ใจทั้งหมดในพระคริสต์ พระองค์จะทรงอยู่ที่นั่นเสมอ เพื่อยกเราขึ้นมาในเวลาที่เราพลาดล้ม
หลังการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่นักบุญเปโตรก่อน แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกคนอื่นๆ (1คร 15:5) หลังจากวันเปนเตกอสเตที่พระจิตเจ้าเสด็จมายังที่ชุมนุมของบรรดาศิษย์แล้ว นักบุญเปโตรได้เริ่มเทศนาข่าวดีในเยรูซาเล็มและพื้นที่โดยรอบ ท่านทำให้คนกลับใจและรักษาพวกเขาให้หายเป็นจำนวนมาก ก่อนจะไปที่กรุงโรม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน ท่านได้ตั้งพระศาสนจักรขึ้นที่เมืองอันทิโอก และอาจจะอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ประมาณ 7 ปี หลังจากนี้ได้กลับไปเยรูซาเล็ม และเมื่อมีการแบ่งขอบข่ายงานประกาศพระวรสารแล้ว นักบุญเปโตรโดยการดลใจจากพระได้เลือกเดินทางไปโรม ท่านได้อยู่บนธรรมาสน์ของกรุงโรมในฐานะพระสังฆราชเป็นเวลา 25 ปี
เมื่อจักรพรรดิเนโรต้องการเบียดเบียนคริสตชน และต้องการทำลายล้างให้สิ้นซาก ให้หมดไปจากกรุงโรม บรรดาคริสตชนที่นั่นขอร้องนักบุญเปโตรให้เดินทางออกจากโรมไปอยู่ที่ปลอดภัยสักระยะเวลาหนึ่ง นักบุญเปโตรจึงทำตามคำรบเร้านั้น แม้ไม่ค่อยเต็มใจนัก คืนนั้นขณะที่กำลังเดินทางหลบหนีจากกรุงโรมผ่านประตูเมืองออกไปแล้ว ท่านได้พบพระเยซูเจ้าทรงกำลังเดินเข้าไปในโรม จึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์กำลังเสด็จไปไหน” (Domine, quo vadis?) พระองค์ตรัสตอบว่า “เรากำลังไปโรม เพื่อถูกตรึงกางเขนอีกครั้งหนึ่ง” นักบุญเปโตรเข้าใจความหมายทันที รู้สึกละอายในความขี้ขลาดของตน จึงกลับเข้ากรุงโรม และถูกจับคุมขัง ท่านได้ถูกจับขังคุกเรียกว่า Mamertine พร้อมกับนักบุญเปาโลก็ถูกจับมาขังคุกเดียวกันนี้ เป็นเวลา 8 เดือน ก่อนจะถูกนำไปประหารในปี ค.ศ. 65 นักบุญเปโตรถูกตรึงกางเขนโดยท่านขอให้เอาศีรษะลงที่เนินวาติกัน ที่น่าสังเกตในคุกแห่งนี้ท่านทั้งสองได้ทำให้ผู้คุม 2 คน และนักโทษอีก 47 คนกลับใจ

นักบุญเปาโล
ชื่อเดิมของท่านคือ “เซาโล” ซึ่งเป็นชื่อในภาษาฮีบรู ส่วนชื่อ “เปาโล” เป็นชื่อในภาษาโรมัน ท่านเกิดที่เมืองทาร์ซัส ในแคว้นซีลิเซีย จากครอบครัวชาวยิวตระกูลเบนยามิน ท่านถือสัญชาติโรมันตั้งแต่เกิด และทำให้มีสิทธิพิเศษหลายประการที่ท่านก็นำมาใช้ในขณะทำงาน เช่นว่า สิทธิจะร้องให้มีการไต่สวนอย่างยุติธรรม ได้รับการยกเว้นจากการถูกลงโทษที่น่าอับอาย เช่นการถูกเฆี่ยน การถูกตรึงการเขน และที่น่าสังเกตคือสิทธิที่จะอุทธรณ์จากการตัดสินของศาลไปยังจักรพรรดิแห่งกรุงโรมได้ และแม้ว่าท่านจะถือกำเนิดมาในเมืองแบบชาวกรีก แต่ท่านถูกส่งไปศึกษาที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านเองเล่าไว้ว่า ได้ศึกษากับสำนักของอาจารย์กามาลิเอล ซึ่งเป็นพวกที่ตีความกฎหมายยิวอย่างเคร่งครัด
นักบุญเปาโลต้องทนทุกข์ทรมานมากมายในการประกาศพระวรสาร การทนทุกข์นี้น่าจะเป็นส่วนใหญ่ในชีวิตของการทำงานประกาศพระวรสาร กระทั่งท่านได้อุทานออกมาว่า “ข้าพเจ้าเสี่ยงชีวิตอยู่ทุกวัน” (1คร 15:31) ท่านได้เข้าใจว่าส่วนที่สำคัญที่สุดในการเป็นอัครสาวกของท่าน คือ พระเจ้าได้ทรงนำท่านให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทนทุกข์ยากเสมอๆ เหมือนคนที่ถูกตัดสินให้ตายในสนามกีฬาของชาวโรมัน ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงตั้งเราซึ่งเป็นอัครสาวกไว้ตรงที่สุดท้าย เหมือนกับผู้ที่ถูกตัดสินปรับโทษถึงตาย เรากลายเป็นเป้าสายตาของโลก ทั้งของทูตสวรรค์ และของมนุษย์” (1คร 4:9) นักบุญเปาโลยังได้เล่าถึงเรื่องการทนทุกข์ต่างๆของท่านในจดหมายต่างๆ (เทียบ รม 8:35 ; 1คร 4:9-13 ; 2คร 4:8-9 ; 6:4-5 ; 11:23-29 ; 12:10) และที่ทำให้เราเห็นชัดๆอยู่ในรายชื่อการทนทุกข์ต่างๆที่สรุปไว้ใน 2คร 11:23-39 (= ต้องลำบากตรากตรำ ถูกจองจำมากกว่า ถูกโบยตีมากกว่า เผชิญความตายหลายครั้ง ถูกชาวยิวลงแส้ชุดใหญ่ ถูกชาวโรมันเฆี่ยนตีสามครั้ง ถูกขว้างด้วยหิน เรืออับปางสามครั้ง ฯลฯ)
สำหรับพันธกิจของนักบุญเปาโลนั้น ท่านได้ทำการเดินทางไปในที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่องอันเป็นผลจากกระแสเรียกของท่านที่เป็น “อัครสาวกสำหรับคนต่างศาสนา” หลังจากการกลับใจของท่าน คือเหตุการณ์นิมิตที่ท่านได้ประสบใกล้เมืองดามัสกัสแล้ว ท่านได้ไปยังอาราเบียเพื่อรำพึงไตร่ตรองถึงการที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกท่าน แล้วจึงกลับมาที่เมืองดามัสกัสและอยู่ที่นี่ครบสามปี จึงได้ไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำความรู้จักกับเคฟาส และยากอบ โดยอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบห้าเดือน ต่อจากนั้น ได้ไปที่ซีเรีย และซิลิเซีย แล้วก็เริ่มงานมิชชันนารีในการประกาศข่าวดี จนกระทั่งอีกสิบสี่ปีต่อมาจึงกลับไปเยือนเยรูซาเล็มอีก
การเดินทางแพร่ธรรมทั้งสามครั้งของนักบุญเปาโลครอบคลุมในหลายเมืองและหลายประเทศที่ท่านไปเริ่มก่อตั้งพระศาสนจักรขึ้น ช่วงระยะเวลาโดยประมาณสำหรับการเดินทางแพร่ธรรมคือ ครั้งที่หนึ่ง ในช่วงราวปี ค.ศ. 46-49 ครั้งที่สองราวปี ค.ศ. 50-52 และครั้งที่สามราวปี ค.ศ. 54-58
หลังจากจบภารกิจการเดินทางแพร่ธรรมครั้งที่สามแล้ว นักบุญเปาโลได้ไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อไปพบกับนักบุญยากอบ ที่นี่เองท่านได้ถูกจับกุมโดยชาวยิวบางคนจากแคว้นเอเซียที่เห็นนักบุญเปาโลในพระวิหาร จึงยุยงประชาชนและจับกุมท่าน ข้อหาคือเทศน์สอนทุกคนในทุกสถานที่ต่อต้านประชากรอิสราเอล ต่อต้านธรรมบัญญัติ และต่อต้านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วย และยังนำชาวกรีกบางคนเข้าไปในบริเวณพระวิหาร และทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นมลทิน เรื่องนี้ถูกร้องไปถึงผู้บัญชาการกองพันโรมัน จึงมาจับกุมเปาโลขังคุกไว้เป็นเวลาสองปี ต่อมาท่านอุทธรณ์ถึงซีซาร์ เพื่อขอให้พิจารณาคดีของท่านด้วยศาลของกรุงโรม เมื่อไปถึงโรมก็ได้ถูกนำตัวไปไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง โดยมีทหารคนหนึ่งเป็นผู้ควบคุม แม้ในเวลาที่ถูกคุมตัวเช่นนี้ท่านก็ยังประกาศข่าวดีอย่างเต็มที่ให้กับชาวยิวที่อยู่ในโรมที่มาสนทนากับท่านที่บ้านนี้ หลังจากอยู่บ้านนี้ได้ 2 ปี ท่านถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระในปี ค.ศ. 63 เพราะขาดซึ่งพยาน
หลังจากเป็นอิสระ นักบุญเปาโลเดินทางไปทิศตะวันออก คือเมืองเอเฟซัส มาซิโดเนีย และกรีซ บางทีอาจไปถึงสเปนด้วย และแล้วท่านก็ถูกจับอีกครั้ง อาจเป็นที่เมืองโทรอัส และถูกส่งมาโรม หลังจากการไต่สวนแบบสั้นๆ เพราะช่วงนั้นอยู่ในยุคสมัยที่เนโรเป็นจักรพรรดิ ท่านก็ถูกตัดศีรษะในปี ค.ศ. 65 (บางตำราบอกว่าปี ค.ศ. 67) คาดว่าน่าจะเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับที่นักบุญเปโตรถูกตรึงกางเขน ตำนานเล่าว่าในขณะที่ตัดศีรษะของท่าน ศีรษะนั้นตกลงไปบนพื้นดิน และกระดอนไปสามครั้ง พื้นตรงนั้นมีน้ำพุเล็กๆพุ่งขึ้นมา มีชื่อเรียกว่า Tre Fontane ยังมีน้ำไหลออกมาจนทุกวันนี้ ร่างท่านถูกฝังที่บริเวณ Via Ostiensis ใกล้สถานที่ตั้งบาสิลิกาของนักบุญเปาโลนอกกำแพงเมืองนั่นเอง
บทสรุป : เราจะเห็นชีวิตของทั้งนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล ที่ต่างก็ถูกเรียกมาเป็นอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ท่านทั้งสองได้อุทิศตนทั้งชีวิต เพื่อทำงานตามกระแสเรียกของท่าน และทุ่มเทโดยไม่รู้สึกย่อท้อ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด จนเราเห็นได้ชัดในตอนท้ายๆช่วงชีวิตของท่าน ว่าทั้งสองลืมตัวตนของตัวเองไปจนหมดสิ้น แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสตเจ้าเท่านั้น แม้ความตายมาเยือน ก็ไม่ได้หวั่นกลัวสิ่งใด ยอมแม้กระทั่งสละชีพเพื่อองค์พระเยซูเจ้า ตามแบบฉบับของพระอาจารย์เจ้าของท่านทั้งสองนั่นเอง
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2020
Based on : John’s Homilies on Saints & Feat Days ; by John Rose)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความคิดที่จะปฏิรูปพระศาสนจักร
- สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม
- พระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จเยือนประเทศอิรัก
จาริกเพื่อสันติภาพจากกรุงโรม วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2021 - บทสัมภาษณ์บิชอป โรเบิร์ต บาร์รอน เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคาทอลิกท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนา
- ธรรมนูญ “จงประกาศพระวรสาร” การปฏิรูปของโรมันคูเรีย “Praedicate Evangelium”