Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก ปี A

การเป็นพยานด้วยความรักที่ไร้ขีดจำกัด (The witness of unreserved love)

การเบียดเบียนและนักบุญเปโตร

จากหนังสือกิจการอัครสาวกรายงานว่า

“เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเริ่มเบียดเบียนสมาชิกบางคนของพระศาสนจักร พระองค์ทรงประหารชีวิตยากอบพี่ชายของยอห์นโดยตัดศีรษะ เมื่อทรงเห็นว่าชาวยิวพอใจ จึงทรงจับกุมเปโตรด้วย”

ขอเล่าย้อนประวัติศาสตร์ในช่วงนี้สักหน่อยนะครับ คือในปี ค.ศ. 43 กองทัพของจักรวรรดิโรมัน 4 กองพัน กำลังยกพลขึ้นบุกที่ชายฝั่งเมืองเค้นท์ เป็นภารกิจที่จะทำให้เกาะอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน หลังจากที่ยึดลอนดอนได้แล้ว และก่อนที่จะข้ามแม่น้ำเทมส์ บรรดากองพันทหารได้ต้อนรับแขกคนสำคัญที่มาเยี่ยม เขาคือ เคลาดิอุส ซึ่งจะเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของพวกเขานั่นเอง อันที่จริงเคลาดิอุสไม่ใช่สายทหาร เขาขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิโดยการไต่เต้ามาจากการเป็นองครักษ์ แต่เขากระตือรือร้นที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นผู้สนับสนุนกองทัพ จึงเดินทางมาเยี่ยมบรรดาทหารหาญ แต่ยิ่งกว่ากองทัพ มีคนๆหนึ่งที่ช่วยเขาให้ขึ้นสู่บัลลังก์ได้สำเร็จ คนนี้คือเพื่อนชาวยิวที่ชื่อ เฮโรด อากริปปา เขาจึงให้รางวัลแก่อากริปปาอย่างงาม โดยให้ครอบครองเขตแดนทั้งหมดที่ปู่ของเขาเคยครอบครอง ปู่ของอากริปปา ก็คือ เฮโรด ผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง

ดังนั้น ในขณะที่จักรพรรดิองค์ใหม่ของโรมกำลังตรวจแถวทหารของพระองค์ที่ยึดครองลอนดอนได้ กษัตริย์องค์ใหม่แห่งปาเลสไตน์ก็กำลังตรวจพลทหารที่กำลังเบียดเบียนบรรดาผู้นำคริสตชนในกรุงเยรูซาเล็ม

เมื่อตัดศีรษะของยากอบได้แล้ว เป้าหมายต่อไป ก็คือเปโตร ซึ่งขณะนั้นถูกจับเข้าคุก และกำลังรอการตัดสินลงโทษ บรรดาคริสตชนต่างรู้สึกเศร้าใจและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อนาคตของพระศาสนจักรช่างมืดมนเสียนี่กระไร จึงประชุมกันภาวนาอย่างร้อนรนให้เปโตร และให้กับอนาคตของพระศาสนจักรด้วย

พระเจ้าทรงสดับคำภาวนาของพวกเขา และทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยเปโตร ซึ่งกำลังหลับอยู่ในคุก (เปโตรซึ่งดูเหมือนจะชอบนอนหลับเสมอ ในช่วงวิกฤต) เขาถูกปลุกโดยทูตสวรรค์ และถูกนำตัวผ่านประตูคุกไปสู่อิสรภาพ เปโตรคิดว่ากำลังฝันไป ดังนั้นทูตสวรรค์จึงต้องอยู่เป็นเพื่อนกับเขาเดินไปจนสุดปลายถนน เขาจึงตื่นขึ้นรู้ตัวและตระหนักว่า อำนาจของพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่า อำนาจของเฮโรด (+จักรพรรดิโรมัน)

การเบียดเบียนและนักบุญเปาโล

ประมาณ 2 ปี ก่อนที่เปโตรจะถูกจับคุมขัง พระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มถูกมาเยือนโดยผู้ที่กลับใจใหม่คนหนึ่ง เขาคือ เปาโล แห่งทาร์ซัส ชายผู้นี้เคยทำการเบียดเบียนผู้ติดตามพระเยซูเจ้ามาก่อน และเป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้คนยิ่งนัก แต่เขาได้รับประสบการณ์ตรงกับพระเยซูเจ้าผู้ตรัสกับเขาในภาพนิมิต เขากลายเป็น เปาโลผู้กลับใจ และพระองค์ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นเครื่องมือที่ทรงเลือกให้ไปสอนคนต่างศาสนา เปาโลได้ไปที่เยรูซาเล็มเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ของเขานี้ให้กับบรรดาอัครสาวกได้ทราบ แต่เขาก็อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มได้เพียง 15 วันเท่านั้น เกิดอะไรขึ้นกับเขา นักบุญลูกาเล่าไว้ในหนังสือกิจการอัครสาวก ว่าดังนี้ “เมื่อเซาโลมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ก็พยายามเข้าร่วมกับบรรดาศิษย์ แต่ทุกคนกลัวเขา เพราะไม่เชื่อว่าเขาเป็นศิษย์ที่แท้จริง” (กจ 9:26)

อย่างไรก็ตาม เปาโลเริ่มเทศนาในเมือง แต่เขาทำให้พวกยิวที่พูดภาษากรีกโกรธ และหาทางที่จะฆ่าเขา น่าสังเกตว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับที่ทุ่มหินสเตเฟนจนถึงตาย และได้เอาเสื้อผ้าของสเตเฟนมาวางไว้ที่เท้าของเปาโลผู้ไล่ล่าคริสตชน บัดนี้ ผู้ที่ไล่ล่าคนอื่นกลับมาถูกไล่ล่าซะเอง ดังนั้น สมาชิกอื่นๆ ของพระศาสนจักรต้องเข้าไปช่วยชีวิตของเปาโล โดยพาเขาลงเรือส่งกลับไปที่ทาร์ซัส ตั้งแต่นั้นมา พระศาสนจักรทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรียก็กลับมามีสันติอีกครั้งหนึ่ง

ตลอดเวลาที่ประกาศข่าวดีของพระคริสต์ นักบุญเปาโลย้ำเสมอว่าท่านเป็นอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ท่านเขียนจดหมายถึงคริสตชน โดยเน้นว่า ท่านไม่ได้รับแต่งตั้งจากมนุษย์คนใด แต่ได้รับแต่งตั้งโดยพระเยซูคริสตเจ้า บางที การถูกจำจอง ถูกโบยตี ยังเจ็บปวดน้อยกว่าการที่ท่านตระหนักว่าไม่ได้รับการยอมรับจากใครๆ ว่าเป็นอัครสาวกที่แท้จริงคนหนึ่งด้วย ท่านจึงต้องดิ้นรนพิสูจน์ตลอดชีวิตว่าท่านก็เป็นอัครสาวกที่แท้จริง
ความรักโดยไร้ขีดจำกัด (Love without reserve)

แม้นักบุญเปโตรได้ปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึง 3 ครั้ง แต่ก็กลับเป็นหินผาที่หนักแน่นเข้มแข็ง เป็นผู้นำพระศาสนจักร

แม้นักบุญเปาโลเคยเบียดเบียนพระเยซูเจ้า แต่ก็ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นอัครสาวกที่มีพลังล้นเหลือในการประกาศพระวรสารไปสู่คนต่างศาสนา

ทั้งสองนักบุญเคยล้มแต่ก็ลุกขึ้นมาใหม่ด้วยก้าวที่มั่นคง และสูงส่งขึ้นกว่าเดิม

ที่สุด ทั้งสองนักบุญได้เป็นมรณสักขีที่กรุงโรม ในสมัยการเบียดเบียนของจักรพรรดิเนโร ในการเป็นพยานด้วยลมหายใจสุดท้ายนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยในเรื่องของความรักที่ท่านทั้งสองมีต่อพระเยซูเจ้า ที่สุดแล้ว ทั้งคู่ก็เท่าเสมอกันในความรักที่มีต่อพระเจ้า

ขอให้เราทั้งหลายได้รับพลังจากการมาสมโภชท่านนักบุญทั้งสอง คือ พลังแห่งการเป็นผู้นำ และพลังแห่งการประกาศพระวรสาร และให้เราฉลองท่านทั้งสองด้วยลมหายใจเดียวกัน

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 2011
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R.)