Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา ปี A

เพราะเป็นศาสนาแห่งไม้กางเขน

เมื่อปีศาจล่อลวงเอวาในสวนสวรรค์ ปีศาจพูดกับเธอว่า “ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า ถ้าท่านกินผลไม้นั้น” เราลองจินตนาการดูนะครับว่าเอวาคิดอะไรเมื่อได้ยินคำว่า “ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า” เธออาจจะคิดและพูดออกมาว่า “คุณหมายถึงว่าฉันจะได้เป็นนายของตัวเองหรือ ฉันไม่ต้องคอยรับคำสั่งใดๆแล้วหรือ ฉันสามารถเป็นดังพระเจ้าหรือ” ปีศาจก็อาจจะตอบว่า “ใช่เลย จะเป็นเช่นนั้น” เอวาอาจถามคำถามต่อไปว่า “คุณหมายถึงว่าฉันไม่ต้องกังวลกับความมั่นคงปลอดภัยอีกต่อไปหรือ ฉันไม่ต้องไปร้องขอพระเจ้าให้ทรงช่วยเหลือฉันแล้วใช่ไหม” ปีศาจคงจะรีบตอบว่า “ใช่แล้ว ใช่ที่สุด” เอวายังคงพูดต่อ “คุณหมายถึงว่าฉันจะได้อะไรก็ตามที่ต้องการหรือ เมื่อใดก็ตามที่ฉันต้องการหรือ และเป็นเวลานานเท่านานที่ฉันต้องการใช่ไหม” “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ” ปีศาจรีบตอบ “ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า ไม่ต้องขึ้นกับใคร ไม่มีสิ่งใดที่ให้กังวล จะได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา” เมื่อได้ยินทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เอวาจึงเด็ดผลไม้นั้นมากิน

มีอาดัมและเอวาอีกมากมายในสมัยปัจจุบันนี้ที่อยากเป็นเหมือนพระเจ้าไหม แน่นอนครับว่ามี พวกเขาอาจจะไม่ใช้คำตรงๆว่า “ฉันอยากเป็นพระเจ้า” แต่พวกเขาได้กระทำเหมือนพวกเขาต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า พวกเขาต้องการความมีชื่อเสียง มีอำนาจมากจนกระทั่งผู้คนมาโค้งคำนับต่อหน้า และคอยทำตามคำพูดทุกอย่างของพวกเขา พวกเขาต้องการหลักประกันชีวิตที่แสนมั่นคง และการปกป้องกันภัยชั้นเลิศ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่มีวันวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกเขาจะสะสมเงินไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้สามารถมีทุกสิ่งได้ พวกเขาไม่พูดคำว่า “ฉันต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า” แต่นี่คือความฝันที่ซ่อนเร้นไว้ว่าจะเป็นเหมือนพระเจ้าให้ได้ พวกเขาไม่ต้องการภาวนาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และไม่ต้องการทำตามคำที่บอกให้ทำ

ในบทอ่านที่สองของวันนี้ นักบุญเปาโลบอกกับชาวโรมันว่า “เราถูกฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์ อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำเนินชีวิตแบบใหม่(เหมือนพระคริสตเยซู)ด้วยฉันนั้น” นักบุญเปาโลกำลังบอกเราว่า เมื่อเรารับศีลล้างบาป เราได้หยุดความพยายามที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า เพื่อว่า เราจะได้ดำเนินชีวิตแบบใหม่เหมือนพระเยซูเจ้า จนกระทั่ง เราสามารถกราบทูลพระเจ้าได้ว่า “ลูกต้องการขึ้นอยู่กับพระองค์ ต้องการทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ต้องการกราบนมัสการพระองค์ ต้องการเป็นบุตรของพระองค์”

แต่การจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสตเจ้าได้นั้น เราต้องทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ พระวรสารของวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งในคำสั่งสอนสำหรับบรรดาอัครสาวก คำสอนเหล่านี้เหมาะสำหรับเราทุกคนที่ต้องการติดตามพระองค์ด้วย ประการแรกคือ “ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา” ณ ที่นี้ พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้เรา “เลือก” และบางครั้งคนเราต้องเลือกระหว่างความผูกพันที่ใกล้ชิดตามประสาของโลกนี้ กับความจงรักภักดีต่อพระเยซูคริสตเจ้า ขอยกตัวอย่างนักบุญโทมัส โมร์ ก่อนจะถูกนำไปประหารชีวิตเพราะยืนหยัดความเชื่อในพระศาสนจักรคาทอลิก ท่านได้เขียนจดหมายถึงลูกสาวสุดที่รักว่า “เม็ก…ลูกรัก พ่อจะไม่หมดความไว้วางใจในพระเจ้า แม้จะรู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากเพียงไร และเกือบพ่ายแพ้ต่อความหวาดกลัว พ่อจะจำในสิ่งที่นักบุญเปโตรได้ทำในขณะที่เผชิญกับลมพายุและรู้สึกว่ากำลังจะจมลงเพราะขาดความเชื่อ พ่อจะทำเช่นเดียวกับท่าน คือร้องเรียกหาพระคริสต์และขอความช่วยเหลือจากพระองค์… ดังนั้นลูกสาวที่น่ารักของพ่อ อย่าให้จิตใจของลูกวิตกกังวลกับสิ่งที่จะเกิดกับพ่อในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ใช่พระประสงค์ของพระ และพ่อแน่ใจว่าอะไรที่เกิดขึ้น แม้ดูเหมือนเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ที่สุดแล้วจะเป็นสิ่งดีที่สุด”

ประการที่สอง คือ “ผู้ที่ไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรามา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา” ณ ที่นี้พระเยซูเจ้าทรงเสนอ “ไม้กางเขน” ให้เรา ผู้คนในแคว้นกาลิลีต่างก็รู้ดีว่ากางเขนหมายถึงอะไร ในสมัยนั้น แม่ทัพชาวโรมันที่ชื่อ Varus ได้ปราบกองทัพกบฏที่นำโดย Judas of Galilee เขาได้ตรึงกางเขนชาวยิวสองพันคน และตั้งกางเขนไว้สองข้างทางถนนที่มุ่งสู่กาลิลี ในสมัยโบราณผู้ที่ถูกตัดสินว่าเป็นฆาตกรจะต้องแบกกางเขนของตนไปยังที่ถูกตรึงกางเขน และบรรดาผู้ที่ได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสถึงเรื่องนี้ ต่างก็เคยเห็นผู้คนที่เดินซวนเซเพราะน้ำหนักของไม้กางเขน และตายอย่างเจ็บปวดอยู่บนไม้กางเขนนั้น ดังนั้น การจะเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าหรือการจะเป็นเหมือนพระองค์ คริสตชนก็จะต้องอุทิศตนเป็นบูชา ต้องยอมสูญเสียความอยากจะมีอยากจะเป็น ยอมละความสะดวกสบาย หรืออาชีพที่นำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ทางฝ่ายโลกนี้เท่านั้น อาจต้องละทิ้งความฝัน เสียสละน้ำใจ เพราะคริสตชนจะไม่สามารถทำอะไรตามที่ตนชอบได้ เขาต้องทำในแบบที่พระคริสตเจ้าทรงชอบ ในชีวิตของคริสตชนจะมีกางเขนอยู่เสมอ เพราะเป็นศาสนาแห่งไม้กางเขน

ประการที่สาม คือ “ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก” ณ ที่นี้พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้เรา “ผจญภัย” มีเรื่องมากมายที่พิสูจน์ได้ว่า หลายๆคนได้พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ แต่กลับสูญเสียไป เพราะจะไม่มีใครได้ยินชื่อเสียงของเขา และไม่มีที่สำหรับเขาในประวัติศาสตร์ แต่คนที่กล้าหาญ ยอมเสี่ยงภัย สู้กับภยันตรายต่างๆ กลับเป็นที่จดจำ แม้เขาล่วงลับไปแล้ว สรุปง่ายๆว่า ชีวิตคริสตชนไม่มีที่สำหรับวางนโยบายว่า “ปลอดภัยไว้ก่อน” คนที่แสวงหาความมั่นคง ความปลอดภัย ความสะดวกสบายในชีวิต อาจได้พบกับสิ่งเหล่านั้น แต่เขาจะไม่ใช่คนที่มีความสุข เพราะเขาถูกส่งมาในโลกนี้เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและให้บริการเพื่อนพี่น้อง วิถีทางแห่งความสุขแท้จริงของมนุษย์ คือ การดำเนินชีวิตโดยไม่คิดถึงตนเอง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะพบกับองค์ชีวิตที่แท้จริงตลอดไป

ประการสุดท้ายที่พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ใครที่ต้อนรับประกาศก… ใครที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม… ใครที่ทำให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆเหล่านี้… จะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน” ที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสมานี้ พระองค์ได้ทรงใช้วิธีการพูดแบบที่ชาวยิวทั่วๆไปใช้กัน ชาวยิวจะรู้สึกเสมอว่าการต้อนรับผู้แทนหรือทูตของใคร ก็ต้องทำให้เท่ากับท่านผู้นั้นเอง การแสดงความเคารพต่อทูต ก็จะทำเสมอเท่ากับการแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงส่งทูตมา ดังนั้นข้อความที่ตรัสเช่นนี้ เป็นความน่ารัก เรียบง่าย และบรรเทาใจเรา กล่าวคือ อันที่จริงแล้ว ถ้าเราไม่สามารถเป็นประกาศกได้ ไม่สามารถเทศน์สอน ประกาศพระวาจาของพระได้ แต่ถ้าเราต้อนรับผู้ที่ทำหน้าที่นี้อย่างดี เราก็จะได้รับรางวัลในแบบที่เท่าเทียมกับเขา คือรางวัลของประกาศก และเช่นเดียวกันถ้าเราต้อนรับผู้ชอบธรรมอย่างดี แม้เราเป็นคนบาป มีข้อขาดตกบกพร่องมากมายจนอาจพูดได้ว่า ยังอยู่ห่างไกลมากๆจากคำว่า ชอบธรรม แต่เราก็จะได้รับรางวัลของผู้ชอบธรรม และสุดท้ายเมื่อพูดถึงคนธรรมดาๆ หรือเด็กๆ เราอาจจะไม่สามารถไปสอนอะไรเขาได้ แต่เราให้ความช่วยเหลือเขาได้ บริการเขาได้ และการทำเช่นนี้ก็เป็นการทำเหมือนพระคริสตเจ้านั่นเอง และพระองค์ทรงสัญญาว่า แม้เป็นความดีเล็กๆน้อยๆ และทำให้กับคนเล็กๆน้อยๆ ก็จะไม่ขาดรางวัลเลย บางทีอาจจะเป็นรางวัลไม่เล็กไม่น้อยด้วยซ้ำ

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2020
Based on : (1) With Eyes Fixed on Jesus – Cycle A ; by John Chambers, S.J.
(2) The Daily Study Bible – The Gospel of Matthew ; by William Barclay)