Skip to content

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไปสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส วันพุธที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2020

สันตะบิดรยังคงสอนคำสอน “เรื่องการสวดภาวนา”

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไปพระสันตะปาปาฟรานซิส เช้านี้ เวลา 9.30 น. ถ่ายทอดสดจากห้องสมุดวาติกัน ซึ่งสันตะบิดรยังคงสอนเรื่องการสวดภาวนาต่อไป ในการปราศรัยเป็นภาษาอิตาเลียน พระองค์ทรงรำพึงในหัวข้อ “การสวดภาวนาของผู้ชอบธรรม ”

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2020

        การเข้าเฝ้าแบบทั่วไปเวลา 9.30 น. เช้านี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงประทับอยู่ในห้องสมุดวาติกัน และถ่ายทอดสดทางสื่อ

        ในการปราศรัยเป็นภาษาอิตาเลียนแบบสายโซ่สัมพันธ์แห่งการสวดภาวนา สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเน้นการรำพึงในหัวข้อ “การสวดภาวนาของผู้ชอบธรรม” (สดด. 17: 1-3.5)

        หลังจากที่สรุปคำสอนเป็นภาษาต่างๆแล้วพระองค์ทรงทักทายผู้ที่มาเข้าเฝ้า

        การเข้าเฝ้าจบลงด้วยการขับร้องบทเพลงข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายตามด้วยการอวยพรของสมเด็จพระสันตะปาปา

* * *

การสอนคำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส

อรุณสวัสดิ์ ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        ในวันนี้พวกเราเราจะเรียนคำสอนในหัวข้อ “การสวดภาวนาของผู้ชอบธรรม”

        แผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์เป็นสิ่งดีๆ  แต่ในชีวิตจริงประจำวัน พวกเรามีประสบการณ์ต้องเผชิญกับความชั่วร้ายต่างๆมากมาย นี่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวัน บทแรกๆของหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลปฐมกาลพูดถึงบาปที่ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นในชีวิตในมนุษย์ ตั้งแต่อาดัมและเอวา (เทียบ ปฐก. 3: 1-7) พวกเขาสงสัยเจตนาดีของพระเจ้า โดยคิดไปว่านี่ต้องเกี่ยวกับพระเจ้าที่อิจฉา ซึ่งคอยขัดขวางความสุขของพวกเขา ดังนั้นจึงเกิดการขบถขึ้น  เขาคิดไปว่า ฉันไม่เชื่อในองค์พระผู้สร้างที่ใจดี ผู้เปี่ยมด้วยความปรารถนาซึ่งความสุขของฉันอีกต่อไปแล้ว เมื่อยอมจำนนต่อการล่อลวงของปิศาจหัวใจของเขาเกิดฮึกเหิมด้วยการหลอกลวงเพื่อการมีอำนาจทุกอย่าง “หากเรากินผลไม้จากต้นนั้น เราจะเป็นเหมือนพระเจ้า” (เทียบ ข้อ 5)   และนี่คือการล่อลวงที่เข้ามาสิงในหัวใจ ทว่าประสบการณ์กัลป์หันไปอยู่ในอีกทิศทางหนึ่ง ดวงตาของเขาเปิดออกและพบว่าพวกเขาเปลือยเปล่า (ข้อ 7) ไม่มีอะไรห่อหุ้มร่างกาย พวกเราอย่าลืมเรื่องนี้ นักหลอกลวงจะจ่ายราคาที่แย่มาก

        ความชั่วร้ายยิ่งจะรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกในมวลมนุษย์ชั่วอายุคนรุ่นที่สอง ซึ่งหนักหน่วงกว่าเดิม คือเรื่องของพี่น้องสองคน “กาอินและอาแบล” (เทียบ ปฐก. 4: 1-16) กาอินอิจฉาน้องของตน นี่เป็นตัวหนอนแห่งความอิจฉา แม้เขาจะเป็นบุตรหัวปีเขามองว่าอาแบลเป็นศัตรู   เป็นคนที่เป็นพิษ เป็นภัยต่อการที่เขาเป็นบุตรชายคนโต ความชั่วปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา แล้วกาอินก็ไม่สามารถควบคุมความชั่วนั้นได้  ความชั่วเริ่มแทะเกาะกินหัวใจของเขา ความคิดของเขามองคนอื่นในเชิงลบเสมอ พร้อมกับความสงสัยระแวงต่างๆ  และนี่เกิดขึ้นพร้อมกับความคิดที่ว่า “ชายคนนี้ชั่ว เขาจะทำร้ายฉัน” และความคิดนี้ก็เข้าไปสิงในหัวใจเขา … แล้วเรื่องราวของพี่น้องคู่แรกก็ลงเอยด้วยการฆ่า ฆาตกรรม วันนี้พ่อจึงคิดถึงความเป็นพี่น้องของมนุษย์ … ซึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

        ในสายเลือดของกาอินมีการพัฒนางานด้านแกะสลักและงานศิลป์ แต่การใช้ความรุนแรงก็พัฒนาขึ้นด้วย ดังที่มีการแสดงด้วยบทเพลงอันชั่วร้ายของลาเมค ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นบทเพลงของการแก้แค้น “ฉันฆ่าคนหนึ่ง เพราะเขาทำให้ฉันมีบาดเจ็บ  ฉันฆ่าเด็กคนหนึ่งเพราะเขาทำให้ฉันมีบาดแผล […] ถ้ากาอินจะถูกแก้แค้นเป็นเจ็ดเท่า ลาเมคจะถูกแก้แค้นเป็นเจ็ดสิบเจ็ดเท่า” (ปฐก. 4: 23-24) เป็นการแก้แค้น “เขาเป็นคนทำ ดังนั้นเขาต้องเป็นคนจ่ายชดเชย” ทว่าผู้พิพากษามิได้กล่าวเช่นนี้ ฉันเป็นคนพูด ฉันทำตัวเป็นผู้พิพากษาของเหตุการณ์ ดังนั้นความชั่วร้ายจึงแพร่กระจายดุจหยดน้ำมันจนลามไปทั่วรูปภาพ “พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์นั้นใหญ่ยิ่งในโลก ความคิดความอ่านแห่งหัวใจมนุษย์มีแต่ชั่วเสมอ” (ปฐก. 6: 5) เหตุการณ์ยิ่งใหญ่แห่งน้ำท่วมโลก (ปฐมกาล บทที่ 6-7) หอบาแบล (ปฐก. บทที่ 6: 5)  เผยให้เห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องเริ่มต้นกันใหม่เหมือนกับการสร้างใหม่ซึ่งจะสำเร็จลุล่วงไปในพระเยซูคริสต์

        ทว่าในหน้าแรกๆของพระคัมภีร์ยังมีการจารึกไว้อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยรุนแรงเท่าไร สุภาพอ่อนโยนและมีศรัทธามากกว่า ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูความหวัง หากมนุษย์แทบทุกคนประพฤติตนดุจเครื่องจักรที่เหี้ยมโหด สร้างความเกลียดชังและมัวเมาแต่เอาชนะกันในเรื่องราวของมนุษย์ ก็ยังมีบุคคลบางคนที่สามารถภาวนาต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ สามารถที่จะเขียนชะตากรรมของมนุษย์ในหนทางที่แตกต่าง  อาแบลถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าด้วยผลไม้ที่ออกรุ่นแรก  หลังจากความตายของเขา มนุษย์คู่แรกอาดัมและเอวามีเซท บุตรคนที่สามซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดกับเอโนส (หมายถึง “ผู้ที่รู้จักตาย”) และมีการกล่าวว่า “ในเวลานั้นมนุษย์เริ่มเรียกหาพระนามของพระเจ้า” (ปฐก. 4: 26) แล้วเอโนสก็ปรากฏมาซึ่งเป็นบุคคลที่ “เดินไปกับพระเจ้า” และถูกนำไปสู่สวรรค์ (เทียบ ปฐก. 5: 22-24) และสุดท้ายมีเรื่องของโนอาห์ บุรุษชอบธรรมผู้ซึ่ง “เดินไปกับพระเจ้า” (ปฐก. 6: 9) ซึ่งพระเจ้าทรงระงับความตั้งใจที่จะทำลายมนุษยชาติ (เทียบ ปฐก. 6: 7-8)

        เมื่ออ่านเรื่องราวเหล่านี้ พวกเรารู้สึกว่าการสวดภาวนาเป็นดุจงานสโมสรสันนิบาต เป็นที่พึ่งของมนุษย์ยามที่เปี่ยมด้วยความชั่วที่ยิ่งวันยิ่งมากขึ้นในโลก  เมื่อพิจารณากันอย่างใกล้ชิด พวกเรายังภาวนาขอให้พวกเรารอดพ้นจากตัวเราเองด้วย มีความสำคัญที่ต้องภาวนาว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ลูกรอดจากตัวลูกเอง จากความทะเยอทะยานของลูก จากราคะตัณหาของลูก” บุคคลที่ชอบสวดภาวนาในหน้าแรกๆของพระคัมภีร์ คือบุคคลที่ทำงานเพื่อสันติสุข ความจริงเมื่อการสวดภาวนาเกิดจากความจริงใจ ทำให้สัญชาติญาณที่ชอบใช้ความรุนแรงหมดไป พร้อมกับหันหน้าไปสู่พระเจ้าเพื่อที่พระองค์จะทรงเอาใจใส่ดูแลจิตใจของมนุษย์  พวกราอ่านพบในหนังสือคำสอนของพระศสนจักรคาทอลิกว่า “การสวดภาวนาแบบนี้ ผู้ชอบธรรมกระทำกันในทุกศาสนา” (CCC, ข้อ 2569)  คำภาวนาสร้างสวนแปลงดอกไม้แห่งการเกิดใหม่ในสถานที่ซึ่งความเกลียดชังของมนุษย์สามารถที่จะไปขยายทะเลทรายให้กว้างใหญ่ยิงขึ้น คำภาวนามีพละกำลังเพราะว่าดึงดูดพลังของพระเจ้า ซึ่งพลังของพระเจ้านั้นย่อมจะประทานชีวิตให้เสมอ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิต และพระองค์จะทรงทำให้พวกเรามีชีวิตใหม่ ขอให้พวกเราพิจารณาดูว่าความเป็นเจ้านายของพระเจ้า ผ่านสายโซ่แห่งบรรดาบุรุษสตรีเหล่านั้นไปได้อย่างไร ซึ่งบ่อยครั้งถูกเข้าใจผิดและถูกปล่อยให้อยู่ตามชายขอบสังคม  ทว่าโลกก็ยังคงมีชีวิตและเจริญพัฒนาซึ่งต้องขอบคุณพลังของพระเจ้าซึ่งข้ารับใช้ของพระองค์เหล่านี้ดึงดูดความสนใจของพระองค์ด้วยคำภาวนา  พวกเขาไม่ได้เป็นสายโซ่ที่ส่งเสียงน่ารำคาญซึ่งแทบจะไม่เป็นหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์  แต่มีความสำคัญในการฟื้นฟูความไว้วางใจในโลก  พ่อจำได้ถึงเรื่องราวของชายคนหนึ่ง เป็นหัวหน้าคนสำคัญของรัฐบาลแต่ไม่ใช่ยุคนี้ เป็นเรื่องของอดีต  เขาเป็นอเทวนิยมที่ไม่มีเจตนารมณ์ใดๆเกี่ยวกับศาสนาในหัวใจ แต่ในช่วงเยาว์วัยเคยไดยินคุณยายสวดภาวนา และนั่นยังอยู่ในความทรงจำของเขา  ในยามทุกข์ยากแห่งชีวิตความทรงจำนั้นหวนกลับมายังหัวใจของเขาอีกครั้งซึ่งเขากล่าวว่า “แต่คุณยายสวดภาวนา…  “ดังนั้นเขาจึงเริ่มสวดด้วยสูตรที่คุณยายเคยสวดแล้วเขาก็ได้พบกับพระเยซูคริสต์ การสวดภาวนาเป็นสายโซ่สัมพันธ์แห่งชีวิตเสมอ มนุษย์ชายหญิงหลายคนที่สวดภาวนาเป็นการหว่านชีวิต  คำภาวนาหว่านคุณค่าชีวิต เพราะฉะนั้นจึงมีความสำคัญมากที่ต้องสอนเด็กๆให้รู้จักสวด พ่อรู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อเห็นเด็กๆที่ไม่รู้จักทำเครื่องหมายกางเขน  จำเป็นต้องสอนให้พวกเขารู้จักทำเครื่องหมายกางเขนอย่างดีเพราะนี่เป็นบทภาวนาแรก  เป็นเรื่องสำคัญที่เด็กๆต้องเรียนรู้ที่จะสวด  ต่อมาบางทีเขาอาจลืมแล้วไปเลือกทางอื่น   แต่ภาวนาแรกที่เรียนมาตอนเป็นเด็กเขาจะไม่มีวันลืม จะประทับตราอยู่ในหัวใจ เพราะว่าเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเสวนากับพระเจ้า  การเดินทางของพระเจ้าในประวัติศาสตร์จะผ่านทางพวกเขา ผ่านมาทาง “ชนกลุ่มหนึ่ง” แห่งมนุษยชาติที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของผู้ที่มีความเข้มแข็งที่สุด แต่ขอให้พระเจ้าทรงทำให้สำเร็จไปด้วยอัศจรรย์ของพระองค์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเปลี่ยนหัวใจดุจหินของพวกเราให้เป็นหัวใจที่มีเลือดเนื้อ (เทียบ อสค. 36: 26)  และนี่จะเป็นการช่วยให้เราสวดภาวนา เพราะว่าการภาวนาเปิดประตูสู่พระเจ้าผู้ที่จะทรงเปลี่ยนหัวใจของพวกเรา ซึ่งบ่อยครั้งแข็งดุจหิน ให้เป็นหัวใจมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงจำเป็นต้องสวดภาวนาและพวกเราจะสวดได้ดีเพราะความเป็นมนุษย์ของพวกเรา

สันตะบิดรทรงปราศรัยเป็นภาษาอิตาเลียน

        พ่อขอต้อนรับพี่น้องที่พูดภาษาอิตาเลียนทุกคน อีกไม่กี่วัน (29 พฤษภาคม) พวกเราจะฉลองพิธีรำลึกถึงนักบุญเปาโล ที่ 6 ผู้เป็นพระสันตะปาปา  ขอให้แบบฉบับของบิชอปแห่งกรุงโรมซึ่งบรรลุถึงจุดสูงสุดแห่งความศักดิสิทธิ์เป็นกำลังใจให้แต่ละคนยอมรับอุดมการณ์แห่งพระวรสารด้วยใจกว้าง

        ความคิดของพ่อมีไปถึงผู้สูงอายุ เยาวชน คนป่วย และคนที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ในโอกาสที่พวกเรากำลังเตรียมสมโภชพระจิต พ่อขอเตือนใจให้ลูกๆ ขอให้เป็นคนว่านอนสอนง่ายต่อการดลใจของพระจิต เพื่อว่าชีวิตของพวกลูกจะได้มีความอบอุ่นและได้รับแสงสว่างแห่งความรักที่พระจิตของพระเจ้า ทรงหลั่งมายังหัวใจของลูกๆ  พ่อขออวยพรมายังทุกคน!

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)