Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชพระจิตเจ้า ปี A

สุขสันต์วันเกิดแด่พระศาสนจักรที่รัก (Happy Birthday, Dear Church!)

มีสัตบุรุษคนหนึ่งเป็นคนศรัทธามาก เขามักจะไปช่วยงานที่วัดเสมอ วันเกิดของเขาตรงกับวันที่ 8 กันยายน ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระบังเกิดพอดี ปีหนึ่งเขาจัดงานวันเกิดหลังจบมิสซาฉลองแม่พระ มีการเลี้ยงอาหารและตัดเค้กด้วย ขณะที่ตัดเค้กพวกเขาร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้แม่พระผู้เป็นที่รัก (“Happy Birthday, Dear Mother”) หลังจากนั้น พวกเขาได้นำอาหารที่เตรียมไว้อีกจำนวนหนึ่งไปแจกจ่ายให้กับบรรดาคนยากจน

เรามีวันฉลองวันสมภพของพระเยซูเจ้า และของพระแม่มารีย์ แล้วสำหรับพระศาสนจักรซึ่งเป็น “พระวรกายของพระคริสตเจ้า” เราควรฉลองวันไหน คำตอบคือวัน “สมโภชพระจิตเจ้า” นี่แหละที่ถือเป็นวันเกิดแท้จริงของพระศาสนจักร ทั้งนี้เพราะกลุ่มของอัครสาวกในขณะนั้นที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ได้ “เกิดใหม่” กลายเป็นกลุ่มบุคคลที่ไปประกาศศาสนาด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่ง และแม่พระก็ประทับอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย คือเหตุการณ์บังเกิดของพระกายทิพย์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งก็คือพระศาสนจักรนั่นเอง (เทียบ กจ 1:14)

วันเปนเตกอสเต เป็นวันฉลองที่สำคัญวันหนึ่งของชาวยิว [อีกสองวันฉลองที่สำคัญของชาวยิวคือ (1) ฉลองปัสกา และ (2) ฉลองพลับพลา] แต่เดิมวันฉลองนี้ ธรรมประเพณีอธิบายว่าเป็นการระลึกถึงพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ที่ภูเขาซีนาย มีบันทึกไว้ในหนังสืออพยพดังนี้ “รุ่งเช้าวันที่สาม มีเสียงฟ้าร้องคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบ เมฆหนาทึบปกคลุมภูเขา เสียงเป่าเขาสัตว์ดังก้องทั่วไป โมเสสนำประชากรออกมานอกค่ายเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า ทั่วภูเขาซีนายมีควันปกคลุม เนื่องจากพระเจ้าเสด็จลงมาบนภูเขานั้น ควันไฟพุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาไฟใหญ่ ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง… โมเสสทูลพระเจ้า พระเจ้าก็ตรัสตอบเป็นเสียงฟ้าร้อง” (อพย 19:16-19) นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพันธสัญญาเดิม ณ บัดนี้ ในวันเปนเตกอสเต บรรดาศิษย์มาประชุมในสถานที่เดียวกัน “ทันใดนั้น มีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของแต่ละคน” เราสังเกตว่าในหนังสือกิจการอัครสาวกอธิบายปรากฏการณ์ที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมานี้ มีความคล้ายคลึงกับช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ประชากรอิสราเอล ก่อนจะทรงเรียกโมเสสขึ้นไปบนภูเขา เพื่อจะทรงมอบบทบัญญัติสิบประการให้โมเสสนำลงมาให้แก่ประชากร

ยังมีอีกคำหนึ่งที่น่าสนใจ คำนี้มาจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ “แล้วพระยาห์เวห์ประทานศิลาสองแผ่นแก่ข้าพเจ้า พระองค์ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์จารึกพระวาจาทุกคำที่พระองค์ตรัสแก่ท่านบนภูเขาจากกลางไฟในวันที่ท่านมาชุมนุมกัน” (ฉธบ 9:10) คำว่า “มาชุมนุมกัน” ในหนังสือเล่มนี้ หมายถึงการที่ประชากรของพระเจ้ามาชุมนุมกันประกอบศาสนพิธีเช่นในวันประกาศธรรมบัญญัติ จนในที่สุดในพันธสัญญาใหม่จะหมายถึง “พระศาสนจักร” หรือใช้ในความหมายว่า “บรรดาผู้ที่มาชุมนุมกันล้อมรอบพระเยซูคริสตเจ้า” ซึ่งถือเป็นองค์กรที่มีองค์ประกอบของเนื้อเยื่อที่มีชีวิต (organic) ไม่ใช่เป็นเครื่องจักรกล (mechanic) ดังเกร็ดเรื่องเล่าต่อไปนี้

ช่างซ่อมรถยนต์คนหนึ่งกำลังเปลี่ยนฝาสูบเครื่องยนต์ของรถเก๋งคันหนึ่ง ขณะนั้นมีนายแพทย์ผ่าตัดหัวใจผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งเข้ามาในอู่ซ่อมพอดี “สวัสดีครับคุณหมอ” นายช่างทักทาย “เชิญคุณหมอมาทางนี้หน่อยครับ” แม้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่คุณหมอก็เดินไปที่นายช่าง เขาชี้ให้ดูงานที่กำลังทำ แล้วตั้งข้อสงสัยว่า “ดูสิครับ ผมกำลังเปิดหัวใจ เอาวาล์ว(ลิ้นลูกสูบ = ลิ้นหัวใจ)เหล่านี้ออกมา และใส่อันใหม่ๆเข้าไป ทำไมเราทำงานแบบเดียวกัน แต่คุณหมอได้รับค่าจ้างมากมาย ส่วนผมได้แค่นิดเดียว” คุณหมอได้แต่ยิ้มและกระซิบว่า “คุณทดลองทำการซ่อมในขณะที่เครื่องยนต์ยังกำลังทำงานอยู่สิ” ดังนั้น จะเห็นว่าการนำอุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์มาประกอบเข้าด้วยกัน เป็นเรื่องเครื่องจักรกล แต่การมาชุมนุมกันในแบบพระศาสนจักรเป็นเรื่องอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่มีชีวิต ดังที่ในบทอ่านที่สองของวันนี้ได้อธิบายไว้ว่า เปรียบเหมือนร่างกายของมนุษย์ที่มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่างๆเหล่านี้แม้มีหลายส่วนแต่ก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกัน พระศาสนจักรก็เช่นกันประกอบไปด้วยประชาชนต่างๆ ที่มีพระพรพิเศษต่างๆกัน มาอยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเยซูเจ้าทรงให้กำเนิดพระวรกายใหม่ของพระองค์ คือพระศาสนจักร โดยทรงเป่าลมเหนือบรรดาศิษย์ที่มาชุมนุมกันอยู่ ตรัสว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น… จงรับพระจิตเจ้าเถิด” เราอาจเปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับการให้กำเนิดมนุษย์ (เทียบ ปฐก 2:7) ดุจดังเช่นพระจิตของพระเจ้าได้ทรงบันดาลให้ “มนุษย์ที่เป็นแค่ฝุ่นดิน” มีชีวิตขึ้นมา การเป่าลมของพระเยซูเจ้าเพื่อประทานพระจิตเจ้า ก็เกิดผลให้พวกเขาทั้งหลายกลายเป็นศิษย์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังในฐานะที่เป็นพระศาสนจักร พวกเขาได้รับมอบหมายในเรื่องของการกลับคืนดี การให้อภัยบาปหรือไม่อภัยบาปของผู้ใด

ในปี ค.ศ. 2002 นิตยสารไทม์ (TIME magazine) ได้จั่วหัวข้อที่หน้าปกฉบับเดือนเมษายนว่า : “พระศาสนจักรคาทอลิกจะไปรอดไหม” เราน่าจะถามกลับว่า “พระศาสนจักรจะไม่รอดได้อย่างไร ถ้าเส้นชีวิตของพระศาสนจักรคือพระจิตเจ้า” ใช่แล้วครับ พระศาสนจักรอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระจิตเจ้า แต่เราทุกคนรวมเป็นพระศาสนจักร ดังนั้น ดุจดังเช่นคนที่เตรียมตัวเฉลิมฉลองวันเกิดอย่างดี ให้เราเตรียมสมโภชพระจิตเจ้าด้วยวิถีใหม่โดยพิจารณาว่า เราแต่ละคนมีพระพรพิเศษอะไรที่จะแบ่งปันให้กับองค์กรพระศาสนจักรนี้ พระจิตเจ้าได้ทรงมอบพระพรพิเศษที่มีแต่หนึ่งเดียวให้แต่ละคน และให้ทุกๆคน

ปกติ ฉลองวันเกิดก็ต้องมีของขวัญ เราจะมีของขวัญส่วนตัวอะไรดีเพื่อมอบให้กับพระศาสนจักร นักบุญเปาโลได้กล่าวไว้ในบทอ่านที่สองของวันนี้ว่า “เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน” คือท่านมีความเข้าใจว่าพระจิตเจ้าทรงเป็นแก่นภายในของเอกภาพในพระศาสนจักร ดังนั้น ถ้าเราจะร้องเพลง “Happy Birthday, Dear Church” ก็ให้ร้องด้วยจิตตารมณ์แบบเดียวกับนักบุญเปาโล และมากกว่านั้น คือไม่เพียงรับพระจิตเจ้าเข้ามาสู่ดวงใจอย่างดื่มด่ำเท่านั้น แต่ให้เรายินยอมให้พระจิตเจ้า “ทรงหลอมตัวตนของเราให้ละลาย ทรงปั้นเราขึ้นมา ทรงเติมเราให้เต็ม และทรงใช้เราเป็นเครื่องมือด้วยเทอญ”

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2020
Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds
By : Francis Gonsalves, S.J.)

พระเจ้าทรงสนพระทัยในการเปลี่ยนแปลง

มีเรื่องเล่าแต่เก่าก่อนถึงเรื่องนกอินทรีย์ที่เปลี่ยนไป เริ่มต้นด้วยชายชนเผ่าคนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า วันหนึ่งเขาเจอไข่นกอินทรีย์ จึงนำกลับมาที่บ้านและนำไปไว้ในกองไข่ของแม่ไก่ ต่อเมื่อฟักเป็นตัวแล้วมันก็โตขึ้นมาพร้อมกับลูกไก่ทั้งหลาย วิธีหาอาหารก็จิกกินตามพื้นที่โน่นที่นี่เหมือนไก่ตัวอื่นๆนั่นเอง มันไม่เคยเรียนรู้ที่จะบินอย่างนกอินทรีย์ วันหนึ่ง ขณะกำลังหาอาหารที่ตกอยู่ตามพื้น มันเห็นนกอินทรีย์ตัวหนึ่งทะยานบินอย่างสง่าอยู่บนท้องฟ้า มันเห็นแล้วก็รู้สึกชื่นชมนกอินทรีย์ที่อยู่บนนั้น ไก่ตัวอื่นๆเข้าไปหามันและพูดว่า “ดูซิ นั่นคือนกอินทรีย์ เป็นราชาแห่งนกทั้งหลาย เรากับเจ้าเป็นแค่ไก่ เราไม่สามารถบินได้เหมือนนกอินทรีย์หรอก” บ่อยๆนะครับที่เราดำรงชีวิตอย่างจนยาก โดยมิได้ตระหนักถึงพลังของพระจิตเจ้าที่สถิตอยู่ภายในตัวเรา

เป็นความจริงทั่วๆไปที่คนเรามักจะรอคอยเสมอที่จะปรับปรุงตน ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเราให้ดีขึ้น นี่เองที่ทำให้มีการโฆษณามากมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อควบคุมน้ำหนัก และเครื่องมือออกกำลังกาย ปัจจุบันนี้เราจะเห็นผู้คนมากทีเดียวต้องการเปลี่ยนแปลงรูปปรากฏของตนให้ดีขึ้น สวยขึ้น หล่อขึ้น หลายคนไปประเทศเกาหลีเพื่อทำศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงตนเอง หรือถ้าเป็นแง่มุมอื่นๆ ก็เช่น หลายคนไปเข้าชั้นเรียนทำอาหาร ฯลฯ บางคนไปเข้าคอร์สสัมมนาต่างๆ บางคนไปขอคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ หรือนักจิตบำบัด แสดงว่าผู้คนต้องการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

พระเจ้าทรงสนพระทัยในการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ให้เราหันกลับไปดูวันเปนเตกอสเตครั้งแรกของบรรดาศิษย์ที่เล่าไว้ในหนังสือกิจการอัครสาวก เราจะพบว่าพระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนเป็นจำนวนมาก

การเปลี่ยนแปลงประการแรกเกิดขึ้นกับบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้านั่นเอง เราทราบดีว่าพวกเขามีความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่ให้รอดอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ยังสับสนหรือยังงงๆกับอีกหลายสิ่งหลายอย่าง พวกเขายังไม่สามารถเข้าใจอย่างเต็มที่ในภารกิจของพระเยซูเจ้า อาจจะยังสงสัยอยู่บ้างว่า เมื่อไม่มีพระองค์แล้วจะเป็นอย่างไร นอกจากสับสน สงสัยแล้ว พวกเขายังขี้อายด้วย ทำให้ไม่มีความมั่นใจที่จะประกาศข่าวดีให้กับคนอื่นๆ แต่เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้น มีเสียงจากฟ้าลักษณะเหมือนลิ้น แยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ฝูงชนรวมตัวกันเข้ามาฟัง พวกเขามาจากทุกชาติทั่วโลก ได้รับฟังบรรดาศิษย์ประกาศพระวรสาร และทุกคนเข้าใจเป็นภาษาของตน นักบุญเปโตรได้เริ่มต้นเทศนา และทำให้คนกลับใจถึงสามพันคนในวันเดียวเท่านั้น ดังนั้นเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับบรรดาศิษย์ในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จมา พวกเขาไม่สับสนอีกต่อไป แต่กลับมามีความเข้าใจในแผนการแห่งความรอดอย่างครบสมบูรณ์ พวกเขาไม่อายอีกต่อไป แต่มีความมั่นใจในการพูดในที่สาธารณะ

การเปลี่ยนแปลงประการที่สองที่เกิดขึ้นในวันเปนเตกอสเตวันนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งกว่าที่เกิดขึ้นกับบรรดาศิษย์เสียอีก คือหลังจากเปโตรได้เทศนาจบแล้ว คนจำนวนถึงสามพันคนเข้าสู่ความเชื่อ และได้รับศีลล้างบาป พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปในวันนั้น พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทำให้คนทั้งสามพันคนกลับใจในวันนั้น

ดังนั้น เราสามารถสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันเปนเตกอสเตวันนั้นด้วยคำเพียงคำเดียว คือ การเปลี่ยนแปลง โลกของเราในปัจจุบันนี้ก็ต้องการการเปลี่ยนแปลง ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่รู้จักพระเยซูคริสตเจ้า และยังมีคริสตชนจำนวนมากที่ยังคงเป็นเหมือนบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าในช่วงก่อนที่พระจิตเจ้าเสด็จมา คือ ยังคงงุนงง สับสน อ่อนแอ และเขินอาย จึงยังต้องการให้พระจิตเสด็จมาเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเรา

มีคำถามว่าทำไมใช้สัญลักษณ์ของเปลวไฟเมื่อบรรดาผู้มีความเชื่อได้รับพระจิตเจ้า คำตอบคือว่า ไฟมีหลายคุณลักษณะ แต่คุณลักษณะหนึ่งที่โดดเด่นของไฟ คือเป็นเครื่องหมายของการเปลี่ยนแปลง โดยไฟไปสัมผัสอะไรก็จะทำให้สิ่งนั้นเปลี่ยนรูปไป มีเรื่องเล่าว่า มีช่างตีเหล็กคนหนึ่งมีเหล็กอยู่สองท่อน เขาต้องการเชื่อมให้เป็นหนึ่ง เขานำเหล็กสองท่อนนั้นไปไว้บนทั่งตีเหล็ก ใช้ค้อนทุบสุดแรงเกิด แต่ทำอย่างไรมันก็ยังคงเป็นสองชิ้น ไม่มีทางที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ที่สุด เขานึกได้ในสิ่งที่ไม่ควรลืม เขาจึงโยนเหล็กทั้งสองท่อนลงไปบนไฟ เมื่อมันร้อนจนเป็นสีแดงแล้ว ก็นำมาวางซ้อนทับกัน แล้วใช้ค้อนทุบลงไปแค่ครั้งสองครั้ง มันก็กลายเป็นชิ้นเดียวกัน นี่คือไฟนั่นเองที่ไปเปลี่ยนทุกสิ่งที่มันไปสัมผัส

นานมาแล้ว มีเรือลำหนึ่งหลุดออกนอกเส้นทางในขณะที่อยู่ใกล้ๆ เมืองซาน ดิเอโก มันติดอยู่กับแนวหินช่วงที่น้ำลด เรือลากจูงสิบสองลำพยายามช่วยให้เรือลำนั้นพ้นจากการติดกับจากแนวหินนั้น แต่ไม่เป็นผล ที่สุด กับตันเรือสั่งให้เรือลากจูงเหล่านั้นกลับไป เขาถอนหายใจและกล่าวว่า “ฉันจะต้องอดทน และรอคอย” เขารอจนกระแสน้ำขึ้นสูง แล้วนั้นดูเหมือนทั่วทั้งมหาสมุทรค่อยๆยกตัวขึ้น สิ่งใดที่อำนาจของมนุษย์ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ระลอกคลื่นที่สูงขึ้นของมหาสมุทรแปซิฟิกกลับทำได้ง่ายๆ มันช่วยยกเรือขึ้นมาและสามารถนำไปสู่ช่องทางที่ถูกต้องของมันได้ เปรียบเหมือนกับว่ามีบางสิ่งได้เกิดขึ้นกับพระศาสนจักรแรกเริ่มในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จมา พวกเขามาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน เต็มไปด้วยความสับสน ไร้ชีวิตชีวา และหมดหวัง แต่เมื่อกระแสของพระจิตเจ้าพัดพาเข้ามา ทันใดนั้น บรรดาศิษย์ก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปในบัดดล และกลับมาอยู่ในช่องทางที่ถูกต้องในการประกาศข่าวดีของพระเยซูเจ้า

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2020
Based on : Ignite Your Spirit ; by Fr John Pichappilly)