การเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาแบบทั่วไป (General Audience) วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2020
และการสอนคำสอน เรื่องการสวดภาวนาและพระธรรมล้ำลึกแห่งการสร้าง
“การสวดภาวนาจะประทานความสว่างแก่ท่าน ซึ่งจะทำให้หัวใจของท่าน และใบหน้าท่านสว่างไสว แม้ในยามค่ำมืด หรือแม้ในยามเผชิญความทุกข์โศกเศร้า”
เมื่อเช้านี้เวลา 9.30 น. การเข้าเฝ้าแบบทั่วไปกับสมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งถ่ายทอดสดจากห้องสมุดวาติกัน ในการสอนคำสอนต่อไปเรื่องการอธิษฐานภาวนา ในคำปราศรัยเป็นภาษาอิตาเลียน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเน้นการไตร่ตรองเกี่ยวกับ “พระธรรมล้ำลึกแห่งการสร้าง” (สดด. 8: 4-5.10)
หลังจากสรุปคำสอนด้วยหลายภาษาแล้ว สมเด็จพระสันตะปาปาทรงกล่าวต้อนรับผู้ที่เข้าเฝ้าฯ และรับฟังการสอนคำสอน การเข้าเฝ้าสิ้นสุดลงด้วยการขับร้องเพลงข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามด้วยการอวยพรของสมเด็จพระสันตะปาปา
อรุณสวัสดิ์ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย วันนี้พวกเราจะเรียนคำสอนเรื่องการสวดภาวนากันต่อไป โดยรำพึงและไตร่ตรองถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งการสร้าง ชีวิตและความจริงธรรมดาๆที่พวกเราดำรงอยู่ทุกวันเปิดหัวใจมนุษย์ให้ต้องสวดภาวนา
ในหน้าแรกของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นเสมือนบทเพลงยิ่งใหญ่แห่งการขอบคุณ พระเจ้า เรื่องราวของการสร้างสรรพสิ่งสรรพสัตว์ ซึ่งมีการขานต่อในบทรับเกี่ยวกับความดีและความงดงามของทุกสิ่ง ที่เกิดขึ้นนั้นได้รับการยืนยันจากพระเจ้าเสมอ พระวาจาของพระเจ้าทำให้สิ่งที่มีชีวิตเกิดขึ้น และทุกสิ่งก็เกิดมีชีวิตขึ้นในโลก โดยอาศัยพระวาจาพระองค์ทรงแยกแสงสว่างออกจากความมืด สับเปลี่ยนหมุนเวียนให้เป็นเวลากลางวันและกลางคืน ทรงแยกฤดูกาลให้หมุนเวียนกันไป สร้างให้เกิดมีสีสัน ทั้งเหล่าพฤกษชาติพันธุ์พืช และสัตว์นานาชนิด หลังจากที่โปรดให้มีป่าไม้มากมาย เป็นที่ป้องกันภัยพิบัติมิให้เกิดขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ก่อให้เกิดความพึงพอใจและความชื่นชมยินดี “พระเจ้าทรงเห็นว่าทุกสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นดีมาก” (ปฐก. 1: 31) นอกจากดีแล้วยังสวยสดงดงามอีกด้วย พวกเราจึงเห็นถึงความงดงามแห่งสิ่งสร้างทั้งปวง
ความงดงามและพระธรรมล้ำลึกแห่งการสร้างเป็นการขับเคลื่อนแรกในหัวใจมนุษย์ที่กระตุ้นให้ต้องมีการสวดภาวนา (เทียบ คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 2566) บทเพลงสดุดีที่ 8 กล่าววไว้ตั้งแต่แรก ที่พวกเราได้ยิน “เมื่อข้าพเจ้าแหงนมองท้องฟ้า ซึ่งนิ้วพระหัตถ์บรรจงสร้างไว้ มองดูเดือนดูดาวที่พระองค์ทรงประดับไว้อย่างมั่นคง มนุษย์เป็นใครกันหนอ พระองค์จึงทรงระลึกถึงเขา บุตรแห่งมนุษย์เป็นใครกันหนอ พระองค์จึงทรงเอาพระทัยใส่” (สดด. 8 ข้อ 3-4) บุคคลที่อธิษฐานภาวนาจะพิศเพ่งพระธรรมล้ำลึกแห่งสิ่งสร้างที่อยู่รอบตัวเขา เขาจะเห็นท้องฟ้าที่เต็มด้วยดวงดาวระยิบระยับเหนือศีรษะ และการปรากฏแห่งดวงดาวที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ทำให้เขาเห็นและเกิดอัศจรรย์ใจว่าต้องมีเครื่องหมายแห่งความรักอยู่เบื้องหลังในการสร้างที่ยิ่งใหญ่นี้อย่างแน่นอน… แล้วมนุษย์เป็นอะไรกัน ในความกว้างใหญ่ไพศาลนี้?” “แทบจะไม่เป็นอะไรเลย” เพลงสดุดีอีกบทยังกล่าว (เทียบ สดด. 89 ข้อ 48) มนุษย์เป็นบุคคลที่เกิดมาแล้วก็ตาย เป็นสัตว์ที่อ่อนแอมาก แต่ว่าในมวลสากลโลก มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่รับรู้ถึงความงดงาม เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่เกิดมาแล้ว แม้เขาต้องตายในวันนี้แต่ว่าไม่ใช่ในวันหน้า เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่รับรู้ถึงความสวยงามนี้ พวกเราก็รับรู้ถึงความงดงามนี้
การอธิษฐานภาวนาของมนุษย์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับความสำนึกแห่งอัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดหากเปรียบกับมิติสากล ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ดูเหมือนจะเป็นเพียงเล็กน้อย… ทว่ามนุษย์ใช่ว่าจะไม่เป็นอะไรเลยก็หาไม่ ในการอธิษฐานภาวนาความรู้สึกสำนึกแห่งพระเมตตาจะได้รับการยืนยันอย่างทรงพลัง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ความลับแห่งสากลจักรวาลอยู่ที่การพิศเพ่งอันทรงเมตตาของใครบางคนที่ผ่านเข้ามาในสายตาของพวกเรา บทเพลงสดุดียืนยันว่าพวกเราถูกสร้างขึ้นมาเล็กกว่าพระเจ้านิดเดียวเท่านั้น ซึ่งพวกจะได้รับมงกุฎพร้อมกับเกียรติและพระสิริรุ่งโรจน์ (เทียบ สดด. 8: 5) ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์อยู่ที่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า ซึ่งได้แก่การครองราชย์ของพระองค์ โดยธรรมชาติพวกเราแทบจะไม่เป็นอะไร เป็นแค่ตัวเล็กๆ แต่โดยอาศัยกระแสเรียก โดยอาศัยการเรียกของพระองค์ พวกเราคือบุตรของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
นี่เป็นประสบการณ์ที่พวกเราหลายคนได้ประสบพบพาน หากเรื่องราวของชีวิตที่บางครั้งเต็มไปด้วยความขมขื่นทำให้พวกเราเสี่ยงที่จะสูญเสียของขวัญแห่งการสวดภาวนาไป เป็นการเพียงพอที่พวกเราจะพิศเพ่งไปยังท้องฟ้าที่เต็มด้วยดวงดาว พิศเพ่งไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน พิศเพ่งไปยังดอกไม้… เพื่อที่จะจุดประกายแห่งการสำนึกคุณและขอบคุณ บางทีนี่ประสบการณ์นี้เป็นพื้นฐานแห่งพระคัมภีร์ไบเบิ้ลหน้าแรก
เมื่อมีการเขียนเรื่องราวพระคัมภีร์เกี่ยวกับการสร้าง ประชากรอิสราเอลมิได้ชื่นชมอยู่กับเวลาแห่งความสุข อำนาจของศัตรูเข้ามายึดครองแผ่นดิน หลายคนถูกเนรเทศต้องตกเป็นทาสในแถบเมโซโปตาเมีย พวกเขาไม่มีแผ่นดินของตัวเอง ไม่มีโรงสวด ไม่มีชิวิตสังคมและเสรีภาพทางศาสนา พวกเขาไม่มีอะไรเลย นี่เป็นเรื่องราวแห่งการสร้าง บางคนก็พบเหตุผลที่ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ การอธิษฐานภาวนาเป็นพลังแรกแห่งความหวัง เมื่อพวกท่านสวดภาวนาแล้วความหวังของท่านจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ชวิตของพวกท่านก้าวไปข้างหน้า พ่อปรารถนาจะบอกว่าการสวดภาวนาเป็นการเปิดประตูสู่ความหวัง ความหวังยังคงมีอยู่เสมอ พวกเราจำเป็นต้องสวดภาวนา แล้วพระเจ้าจะเปิดประตูให้พวกเรามองเห็นความหวัง เพราะผู้ที่ชอบสวดภาวนาจะปกป้องความจริงพื้นฐาน พวกเขาเป็นผู้ที่กล่าวกับตนเองเป็นคนแรก และจึงกล่าวย้ำกับผู้อื่นว่า ชีวิตนี้แม้จะถูกทดลองในการเผชิญความทุกข์ยากลำบากเพียงใด แต่ชีวิตจะเปี่ยมด้วยพระหรรษทานที่จะทำให้พวกเขาผู้เชื่อในคำภาวนาต้องแปลกใจ นั่นคือพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองและการปกป้อง
มนุษย์ชายหญิงที่สวดภาวนาทรงดีว่า ความหวังจะแรงกว่าการสิ้นหวัง พวกเยาเชื่อว่าความรักมีอำนาจมากกว่าความตาย และสักวันหนึ่งความรักจะมีชัยชนะ แม้ว่าพวกเราจะไม่ทราบเวลาและหนทางว่าจะเป็นเมื่อไร บุคคลที่สวดภาวนาจะสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าของพวกเขาซึ่งมีประกายแห่งแสงสว่าง เพราะแม้ในยามที่มืดมิดพระอาทิตย์ก็ไม่หยุดที่จะส่องแสงไปยังพวกเขา การสวดภาวนาจะนำแสงสว่างมาสู่พวกท่าน จะส่องสว่างดวงวิญญาณของพวกท่าน จะส่องสว่างในหัวใจของพวกท่าน จะส่องสว่างบนใบหน้าของพวกท่านแม้ในยามมืด และในยามที่เผชิญความเศร้าโศกเสียใจ
พวกเราทุกคนต้องเป็นคนที่มีความชื่นชมยินดี ท่านคิดถึงประเด็นนี้บ้างหรือเปล่า? ว่าพวกท่านเป็นผู้ที่มีความชื่นชมยินดี? ท่านอยากที่จะเป็นผู้นำข่าวร้ายที่ทำให้ทุกคนเศร้าใจหรือ? พวกเราทุกคนสามารถที่จะเป็นผู้นำข่าวดีไปให้ทุกคน ชีวิตเป็นของขวัญอันประเสริฐที่พระเจ้าทรงประทานให้พวกเรา ชีวิตนั้นสั้นเกินไปที่จะให้หมดไปในความเศร้าในความขมขื่น ฉะนั้นอย่าเสียเวลา ขอให้พวกเราสรรเสริญพระเจ้า พวกเรามีความสุขเพราะว่าพวกเรามีชีวิตอยู่ พวกเรามองไปยังโลกจักรวาล พวกเรามองไปยังความสวยสดงดงามต่างๆ แล้วพวกเราก็มองไปที่ไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์พร้อมกับพูดว่า “พระองค์ยังคงประทับอยู่ พระองค์ทรงทำให้ลูกมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์”
ดังนั้นจึงจำเป็นที่หัวใจของพวกเราต้องร้อนรนที่ต้องสำนึกคุณและสรรเสริญพระเจ้า พวกเราเป็นลูกของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ของพระผู้สร้าง พวกสามารถที่จะอ่านลายพระหัตถ์ของพระองค์ในสิ่งสร้างทั้งปวง สิ่งสร้างนั้นที่พวกเราไม่ช่วยกันปกปักษ์รักษาในทุกวันนี้ แต่ในสิ่งสร้างเหล่านั้นมีลายพระหัตถ์ของพระเจ้าประทับอยู่ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งสรรพสัตว์ขึ้นมาเพราะความรัก ขอพระเจ้าโปรดให้พวกเราเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งและนำพวกเราให้กล่าวว่า “ขอบคุณพระองค์” และคำว่า “ขอบคุณ” เป็นคำภาวนาที่สวยงามที่สุด
หลังการสอนคำสอนสมเด็จพระสันตะปาปาทรงปราศรัย (ภาษาอิตาเลียน)
พ่อขอต้อนรับประชาสัตบุรุษที่พูดภาษาอิตาเลียนทุกคน บัดนี้พวกเราปิดฉลองพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ ทำให้พ่อต้องขอเตือนใจทุกคนให้เป็นประจักษ์พยานที่มีใจกว้างต่อการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ โดยทราบดีว่าพระองค์ทรงประทับอยู่กับพวกเราเสมอ และพระองค์ทรงเป็นพลังเพื่อคอยสนับสนุนพวกเราอยู่เสมอในการเดินทางในชีวิตของพวกเรา
พ่อคิดถึงเป็นพิเศษสำหรับบรรดาเยาวชน ผู้สูงอายุ คนป่วย และคู่บ่าสาวที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ในการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูคริสต์ทรงมอบสาส์น และโครงการให้กับพระศาสนจักรทั้งมวล “ท่านทังหลายจงไปสอนนานาชาติ ให้มาเป็นศิษย์ของเรา… สอนพวกเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราให้แก่ท่าน” (มธ. 28: 19-20) จงทำให้พระวาจาแห่งความรอดเป็นที่ทราบกันทั่วไป และจงเป็นประจักษ์พยานในชีวิตประจำวัน ขอให้เรื่องนี้เป็นอุดมการณ์ และหน้าที่ของท่านทุกคน ขออวยพรทุกคน
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- บทเทศน์วันพุธที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2020
- ทูตสวรรค์แจ้งข่าว วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2020
- การเข้าเฝ้าแบบทั่วไปสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส วันพุธที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2020
- การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 28 เมษายน 2021 ณ ห้องสมุดวาติกัน
- การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 28 เมษายน 2021