Skip to content

บทเทศน์วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2020

สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเตือนใจสัตุบุรษว่าพวกเราไม่ได้อยู่ตามลำพัง

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงถวายมิสซาส่วนพระองค์ที่มีการถ่ายทอดสดจากวัดน้อยภายในสถานพำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน ในวันอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้ายโดยที่พระองค์อธิษฐานภาวนาให้กับคนเก็บขยะ และทรงเตือนใจว่าพวกเราไม่ใช่ลูกกำพร้า เพราะพวกเรามีพระบิดาในสรวงสวรรค์

วันนี้พวกเราภาวนาสำหรับผู้ที่ทำความสะอาดโรงพยาบาล ถนนหนทาง ซึ่งเก็บเศษขยะ ซึ่งไปยังทุกบ้านเพื่อเก็บสิ่งปฏิกูลต่างๆ”  นี่คือความตั้งใจของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในการถวายมิสซาในวันอาทิตย์ที่หกในเทศกาลปัสกา พระองค์ตรัสต่อไปว่า “การเก็บขยะเป็นงานที่ไม่มีใครเห็น แต่เป็นงานจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ขอพระเจ้าทรงอวยพรและช่วยพวกเขา”

        จากนั้นพระองค์ทรงไตร่ตรองถึงข้อความของพระวรสาร (ยน. 14: 15-21) และบทอ่านที่สอง (1 ปต. 3: 15-18) ในบทเทศน์ของพระองค์

        สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเริ่มบทเทศน์โดยกล่าวว่า เมื่อพระเยซูคริสต์ทางกล่าวคำอำลาศิษย์ของพระองค์ ทรงประทานให้พวกเขามีความหวัง ความหวังนั้น คือคำสัญญาที่พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้พวกเขาเป็นกำพร้า ความหมายของการเป็นกำพร้าคือไม่มีพ่อแม่ ซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งปัญหามากมายในโลก

        “พวกเราดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมที่ขาดพ่อ ความรู้สึกของการเป็นกำพร้าทำให้พวกเรารู้สึกว่าพวกเราคือส่วนหนึ่งแห่งภราดรภาพ”

        ผู้ที่ทำให้คำสัญญานี้สำเร็จลุล่วงไปคือองค์พระจิต “พระจิตมิได้เสด็จมาเพื่อทำให้พวกเราเป็นแบบลูกค้าของพระองค์” สมเด็จพระสันตะปาปาตรัส ตรงกันข้ามพระจิตเสด็จมา “เพื่อแสดงให้พวกเราเห็นว่าจะเข้าถึงพระบิดาได้อย่างไร หนทางที่พระเยซูคริสต์ทรงเปิดให้พวกเรานั้นเป็นหนทางที่พระองค์ทรงแสดงให้พวกเราเห็น”

        สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสต่อไปว่า การนำด้วยจิตวิญญาณไปสู่พระบุตรของพระเจ้านั้นไม่มีตัวตน “พระบิดาเจ้าทรงเป็นศูนย์กลาง” พระองค์เตือนใจว่า “พระบุตรถูกส่งลงมาจากพระบิดา และทรงกลับไปสู่พระบิดา พระจิตถูกส่งจากพระบิดาเพื่อเตือนใจพวกเราและสอนพวกเราว่าจะเข้าถึงพระบิดาได้อย่างไร”

        “การรับรู้ว่าพวกเราเป็นบุตร” ไม่ใช่ “กำพร้า” นี้คือกุญแจที่จะช่วยให้พวกเราดำเนินชีวิตในสันติสุข สนมเด็จพระสันตะปาปาทรงอธิบาย สงครามไม่ว่าใหญ่ไม่วาเล็ก “จะมีมิติแห่งการเป็นกำพร้าเสมอ เพราะพระบิดาผู้ทรงเป็นสันติสุขนั้นขาดหายไป”

        พันธกิจของพวกเราในฐานะคริสตชนคือการปฏิบัติให้สำเร็จลุล่วงไปในสิ่งที่นักบุญเปโตรเตือนใจพวกเราในบทอ่านที่สอง พวกเราต้องเป็นประจักษ์พยานต่อความหวังที่พวกเรามีเมื่อผู้อื่นขอให้พวกเราอธิบาย “จงกระทำด้วยความอ่อนโยนและด้วยวามเคารพ” นักบุญเปโตรแนะนำ “ด้วยมโนธรรมของท่านที่โปร่งใส”  ความอ่อนโยนและความเคารพคือหนทางแห่งคุณสมบัติในพฤติกรรมของผู้ที่มีส่วนร่วมในความสัมพันธ์กับบิดาร่วมของพวกเรา สมเด็จพระสันตะปาปาอธิบาย  “นี่เป็นทัศนคติของการขึ้นอยู่กับครอบครัวที่แน่ใจว่าตนเองมีบิดา” ผู้ที่เป็นศูนย์กลาง ผู้ที่เป็นต้นกำเนิดของทุกคน ผู้ที่เป็นบ่อเกิดแห่งความเป็นเอกภาพและความรอด และพระองค์ทรงส่งพระจิตเสด็จมา เพื่อ “เตือนใจพวกเรา” ว่าพวกจะต้องเข้าหาพระบิดาอย่างไร เพื่อที่จะสอนพวกเราทัศนคติของความเป็นบุตรที่มีความอ่อนโยน สุภาพ สันติสุข สมเด็จพระสันตะปาปาตรัส

        ก่อนจบบทเทศน์สมเด็จพระสันตะปาปาทรงอธิษฐานภาวนา “ขอให้พวกเราวอนขอพระจิตให้เตือนใจเราเสมอว่าจะเข้าถึงพระบิดาเจ้าได้อย่างไร ให้เตือนใจพวกเราว่าเราแต่ละคนมีพระบิดา และในวัฒนธรรมที่มีจิตสำนึกแห่งการเป็นกำพร้านี้ ขอพระองค์โปรดประทานพระหรรษทานให้พวกเราได้พบกับพระบิดาอีกครั้งหนึ่ง พระบิดาผู้ทรงประทานทุกสิ่งด้วยความหมายแห่งชีวิต ขอพระองค์โปรดให้มนุษย์ชายหญิงทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)