Skip to content

บทความ โควิด-19 “เมื่อผ่านพ้นวิกฤติ” (Beyond Crisis)

"เมื่อพวกเรามองสู่อนาคต"

โดย คพ. เฟเดริโก ลอมบาร์ดี้ เอส. เจ. (Fr. Federico Lombardi sj)
อดีตโฆษกแห่งสันตะสำนัก นครรัฐวาติกัน

เมื่อเกิดวิกฤตการระบาดของไวรัสโคโรนา คุณพ่อเฟเดริโก ลอมบาร์ดี้ เอส. เจ. (Federico Lombardi, sj) เขียนบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์หลังวิกฤตว่าพวกเราจะมีอนาคตอย่างไร

ในบทความตอนที่หนึ่ง บาดหลวงนักบวชคณะเยซุอิตเตือนใจพวกเราว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เผยพระองค์เชิงสัญลักษณ์ของพระเจ้า แต่เป็นการอวตารแท้จริงของพระองค์  ทั้งนี้เพื่อที่พวกเราจะสามารถพบกับพระองค์ และพระองค์ตรัสกับพวกเราว่า พระองค์ยังคงประทับอยู่ และพระองค์ทรงรอคอยพวกเราอยู่ในสวรรค์

ต่อไปนี้เป็นบทความของท่านที่จัดพิมพ์โดยสำนักข่าววาติกัน

ในช่วงหลายวันมานี้ข้าพเจ้าอ่านการยืนยันของนักคิดชาวรัสเซียนคนหนึ่งว่า “ความสัมพันธ์แบบง่ายๆของคนเราเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลก”  ซึ่งเตือนความทรงจำของข้าพเจ้าให้นึกถึงบทเพลงที่น่ารักบทเหนึ่งที่เปี่ยมด้วยความร่าเริงยินดีซึ่งเผยแพร่เมื่อหลายสิบปีก่อนโดยกลุ่มเยาวชนซึ่งช่วยส่งเสริมมิตรภาพและภราดรภาพในหมู่ประชาชน “ปวงประชาจงเจริญ อายุยืนยง – Long live the people!” แน่นอนว่าว่าบางคนยังคงจำบทเพลงนี้ได้ เนื้อหาพูดถึงหลายคนที่พวกเราพบตามถนนหนทางทุกเช้า ในขณะที่กำลังเดินทางไปทำงาน  ข้าพเจ้าพูดถึงหลายเรื่องแต่เรื่องหนึ่งก็คือ “หากมีคนเพิ่มขึ้นมองผู้อื่นด้วยสายตาที่เป็นมิตร  พวกเราจะมีผู้คนที่มีปัญหาน้อยกว่า และคนที่มีน้ำใจดีมากกว่า…”  สิ่งนี้จรรโลงความรู้สึกหลายอย่างที่ชาญฉลาดและเชิงบวก  ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้งในสองสามปีที่แล้ว  เมื่อเดินไปตามท้องถนน ได้พบเห็นผู้คนมากมายที่ดูเหมือนว่าแต่ละบุคคลสาละวนปิดอยู่กับตนเอง  ส่วนคนอื่นก็ใส่สายหูฟังต่อจากโทรศัพท์มือถือ หรือพูดคุยกลางอากาศเสียงดังโดยไม่คำนึงถึงคนอื่นที่อยู่ในรถโดยสารที่ถัดไปไม่กี่เซนติเมตร  ดูเหมือนว่าความรู้สึกชื่นชมในการมองคนอื่นด้วยใจเมตตา และการเอาใจใส่นั้นจะหาดูได้ยาก และวัฒนธรรมใหม่ในการสื่อสารกันในชีวิตประจำวันทำให้พวกเขาดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกเรา

        หลังจากที่ต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้านหลายสัปดาห์ ข้าพเจ้านึกอยากที่จะไปพบผู้คนหน้าตาต่างๆตามถนนหนทางอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าหวังว่าไม่เร็วก็ช้าในเวลาที่เหมาะสมเรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้อีกโดยไม่ต้องสวมหน้ากากหรือแผ่นพลาสติกบังหน้า และข้าพเจ้าหวังว่าคงจะได้มีโอกาสทักทายพวกเขาได้อีก หรือแม้แต่เพียงการยิ้มอย่างจริงใจ  ในหลายเดือนที่ผ่านมาพวกเราหลายคนต่างต้องแปลกใจกับความเป็นไปได้ของสื่อดิจิตอลและพวกเราก็หวังที่จะตักตวงผลประโยชน์จากเครื่องมือสื่อต่อไปในอนาคตด้วย  ทว่าเมื่อมีการต่ออายุการปิดกั้นกักตัวกันอีกต่อไป พวกเราต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่เพียงพอ

        พวกเราจะพบกันอีกในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้บนท้องถนนหรือที่รถไฟใต้ดินไหม?  พวกเราสามารถที่จะไปรวมตัวกันในสถานที่พักผ่อนในเมืองด้วยความสงบอีกเมื่อไร? พวกเรายังจะตกอยู่ในสภาพของความกลัวและความสงสัยต่อไป หรือโดยอาศัยความช่วยเหลือของนักวิทยาศาสตร์และผู้ปกครองบ้านเมืองจะสามารถสร้างความสมดุลให้กับปรีชาญาณที่ถูกต้องกับความปรารถนาที่จะกลับคืนมาในการประสานเชื่อมคุณภาพชีวิตประจำวันให้กับโลกมนุษย์เสียใหม่?  พวกเราจะต้องรับรู้มาก (กว่าเดิม) ว่าพวกเราคือครอบครัวมนุษย์ที่กำลังเดินทางอยู่ในบ้านส่วนรมร่วมกัน ซึ่งเป็นโลกใบเดียวกันของพวกเราหรือไม่?

        บัดนี้โรคระบาดทำให้พวกเรามีประสบการณ์กับมิติที่เป็นปัญหาของโลกาภิวัต ซึ่งพวกเราทุกคนต้องร่วมใจกันสร้างอนาคตใหม่ พวกเราจะสามารถค้นพบแรงกระตุ้นแห่งมิตรภาพระหว่างประชาชนที่ไร้พรมแดน จะพบกับการต้อนรับที่มีความแตกต่างที่แปลกประหลาดและที่น่าชื่นชม จะพบกับความหวังที่จะมีชีวิตร่วมกันในโลกแห่งสันติสุขหรือไม่?

        พวกเราจะดำเนินชีวิตฝ่ายกาย และพวกเราจะเห็นกายของผู้อื่นอย่างไร  ที่อาจจะแพร่เชื้อติดต่อกันได้ หรือความเสี่ยงที่พวกเราต้องระวัง หรือการแสดงออกแห่งดวงวิญญาณของพี่น้องชายหญิงของเรา? เพราะในเบื้องลึกของหัวใจแล้วร่างกายมนุษย์ทุกคนเป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมถึงสิ่งสร้างที่มีอัตลักษณ์จำเพาะ ที่มีคุณค่า ที่มีวิญญาณประเสริฐ และเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า…  พระสุรเสียงของพระองค์ช่างน่าอัศจรรย์เพียงใด  จังหวะการก้าวเดินของพระองค์ โดยเฉพาะการยิ้มของบุคคลที่เรารัก!  …  แต่ยิ่งไปกว่านั้นอีก นี่ไม่ควรที่จะเป็นความจริงสำหรับทุกคนที่พวกเราพบปะหรือ?  แล้วการได้รับอิสรภาพคืนมาจากไวรัสโคโรนาจะช่วยให้พวกเราเป็นอิสระจากไวรัสอื่นๆของร่างกายและวิญญาณที่เป็นอุปสรรคมิให้พวกเราเห็น และพบขุมทรัพย์ที่มีอยู่ในดวงวิญญาณของผู้อื่น หรือว่าเรายิ่งจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากยิ่งขึ้น?

        เทคโนโลยีดิจิตอลสามารถเป็นสื่อและติดตามความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเรา  การปรากฏทางกายภาพของบุคคล ของกายที่โปร่งใสแห่งดวงวิญญาณ การอยู่กันอย่างใกล้ชิด และการพบปะกันยังเป็นจุดสำคัญดั้งเดิมสำหรับประสบการณ์และการเดินทางของพวกเรา  พระเยซูคริสต์มิได้เป็นเพียงการแสดงที่เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า แต่ว่าเป็นการอวตารในโลกนี้เพื่อที่พวกเราจะได้พบกับพระองค์ และซึ่งไม่ได้ยากจนในหนทางใดหนทางหนึ่งไม่ว่าพระองค์จะรับรู้หรือไม่  ส่วนพวกเราจะสามารถและต้องสามารถพบพระพักตร์ของพระองค์ และในโฉมหน้าของผู้อื่น

        ด้วยสายตาเช่นไร ด้วยหัวใจเช่นไร ด้วยการยิ้มแบบใดที่พวกเราจะเดินได้อีกครั้งตามท้องถนน และพบปะกับประชาชนมากมายที่กำลังเดินทาง  แม้ว่าพวกเราจะไม่รู้จักพวกเขา นี่เป็นระยะเวลาหลายเดือนที่พวกเราไม่ได้พบปะกัน และเช่นเดียวกับพวกเรา มีความรู้สึกว่าอยากพบปะกันอีกในการเดินทางทุกวันแห่งชีวิตบนโลกอันเป็นบ้านส่วนรวมของพวกเราหรือไม่และอย่างไร?

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทความนี้มาแบ่งปันและไตร่ตรองเพื่อการเจริญชีวิตใหม่)