บทเทศน์วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2020
ขอให้พวกเรารำลึกถึงบุคคลที่เคราะห์ร้ายผู้ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขา และจากไปเพราะโรคร้ายโควิด19
ขอให้เราภาวนาสำหรับผู้เคราะห์ร้ายบุคคลต่างๆที่ไม่ใครรู้จัก ที่จากไปเพราะการติดเชื้อไวรัสโคโรนา… ขอให้พวกเราจดจำไว้ด้วยว่าการอธิษฐานภาวนาเท่านั้นจะเปิดดวงพระทัยของพระบิดาเจ้า…
ตามสำนักข่าววาติกันสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเน้นในวันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน ในระหว่างการถวายมิสซา ณ วัดน้อยภายในสถานพำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน
พระสันตะปาปาฟรานซิสเริ่มพิธีมิสซา โดยขอให้พวกเรารำลึกถึงเหยื่อของไวรัสโคโรนา พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาสำหรับผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่มีใครรู้จัก ในขณะที่การผ่อนปรนการควบคุมโรคระบาดในระยะที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นในประเทศอิตาลี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในวันที่ 4 พฤษภาคมนี้
ในบทเทศน์สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเน้นข้อความจากพระคัมภีร์ของวันนี้ “ไม่มีผู้ใดสามารถมายังเราได้ นอกเสียพระบิดาจะทรงทำนำเขามา”
แล้วสมเด็จพระสันตะปาปาทรงถามว่าและเราจะทำอย่างไร “เพื่อที่พระบิดาจะถือว่าเป็นธุระของพระองค์ที่จะนำประชากร” ไปหาพระเยซูคริสต์
สมเด็จพระสันตะปาปาตรัส คำตอบที่ให้ชีวิตง่ายขึ้น คือ: ต้องสวดภาวนา
คริสตชนต้อง “เป็นประจักษ์พยานและสวดภาวนาคู่กัน”
“หากปราศจากสองสิ่งนี้” พระองค์ตรัส “ท่านไม่อาจที่จะทำงานเทศนาแพร่ธรรมได้ การเทศน์ของพวกเราอาจจะฟังดูดี แต่หากปราศจากซึ่งการกระทำในการผลักดันของพระบิดา ประชาชนจะไม่ถูกดึงดูดเข้าหาพระเยซูคริสต์”
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสสรุปด้วยดารอธิษฐานภาวนา “ขอให้พวกเราวิงวอนขอพระหรรษทานจากพระเยซูคริสต์ ขอให้พวกเราเจริญชีวิตด้วยการเป็นประจักษ์พยาน และด้วยการอธิษฐานภาวนา เพื่อที่พระบิดาเจาจะได้ดึงดูดประชาชนเข้าหาพระเยซูคริสต์”
บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (ฉบับเต็ม)
“ไม่มีใครจะมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงนำเขามา” พระเยซูคริสต์ทรงเตือนใจพวกเราว่าบรรดาประกาศกก็ประกาศเช่นนี้เหมือนกัน “และพวกเขาจะได้รับการสอนจากพระเจ้า” เป็นพระเจ้าที่ทรงนำพวกเราให้เข้าใจถึงพระบุตร ปราศจากการสอนนี้พวกเราไม่อาจที่จะรู้จักพระเยซูคริสต์ได้ ใช่แล้ว ท่านสามารถเรียนรู้ หรือศึกษาพระคัมภีร์ เรียนรู้ว่าพระองค์ทรงบังเกิดมาอย่างไร พระองค์ทรงกระทำอะไรบ้าง แต่เพื่อที่จะรู้จักพระองค์จากภายใน เพื่อที่จะรู้พระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์ ก็จะมีก็แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงนำพามาเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจของพระราชินีแห่งเอธิโอเปีย จากพระคัมภีร์พวกเราเห็นว่าเขาเป็นบุคคลที่มีใจศรัทธา แม้เขาจะมีธุระกิจมากมาย แต่เขาก็อุทิศเวลาไปนมัสการพระเจ้า เขาเป็นผู้ที่มีความเชื่อคนหนึ่ง และในขณะที่เขากำลังเดินทางกลับไปยังประเทศของตนนั้น เขาอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ พระเจ้าทรงส่งอัครสาวกฟิลิปไปพบเขากล่าวว่า “จงไปหาเขาที่รถม้า” และฟิลิปได้ยินเสียงรัฐมนตรีที่กำลังอ่านหนังสือของอิสยาห์ ฟิลิปเข้าไปใกล้แล้วถามเขาว่า “ท่านเข้าใจหรือไม่ว่าประกาศกหมายถึงใคร?” “กระผมจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครช่วยอธิบาย” แล้วรัฐมนตรี ผู้เป็นขันทีผู้นี้ก็ถามอัครสาวกฟิลิปว่า “ประกาศกกล่าวเช่นนี้หมายถึงผู้ใด?” “กรุณาขึ้นมาบนรถ” และในระหว่างการเดินทางนั้นซึ่งพ่อเองไม่ทราบว่านานแค่ไหน แต่พ่อคิดว่าคงราวสองชั่วโมง ฟิลิปก็อธิบาย ท่านอัครสาวกอธิบายเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้ขันทีผู้นั้นฟัง
ความร้อนใจนั้นที่สุภาพบุรุษท่านนี้อ่านหนังสือประกาศกอิสยาห์ความจริงแล้วเกิดจากพระบิดาผู้ซึ่งกำลังดึงเขาให้เข้ามาหาพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเตรียมตัวเขา พระองค์ทรงนำเขาจากประเทศเอธิโอเปียไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการพระเจ้า และอาศัยเหตุการณ์เช่นนี้พระองค์ทรงเตรียมตัวเขาเพื่อจะเผยพระเยซูคริสต์ให้เขารู้จัก จนกระทั่งเมื่อเขาเห็นแหล่งน้ำ เขากล่าวขึ้นมาทันทีว่า “ท่านโปรดศีลล้างบาปให้ข้าพเจ้าได้ไหม?” แล้วเขาก็มีความเชื่อ
ความจริงนี้บอกพวกเราว่า ไม่มีผู้ใดสามารถรู้จักพระเยซูคริสต์ ถ้าหากพระบิดาเจ้ามิได้นำพาเขาไป มีเหตุมีผลสำหรับงานแพร่ธรรมของพวกเรา สำหรับพันธกิจการประกาศพระวรสารในฐานะที่พวกเราเป็นคริสตชน พ่อกำลังคิดถึงดินแดนมิสซัง “ท่านจะทำอะไรในดินแดนมิสซังบ้าง?” “ฉันจะไปทำให้คนกลับใจ – แต่ช้าก่อน ท่านจะไม่ทำให้ใครสักคนกลับใจได้เลย แต่เป็นพระบิดาที่จะทรงดึงดูดหัวใจผู้คนให้เข้ามารู้จักกับพระเยซูคริสต์” การเดินทางไปยังดินแดนมิสซัง (คือดินแดนที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ และไม่รู้จักคำสอนของพระองค์) ซึ่งบรรดาธรรมทูตก็ทำสิ่งที่ดีที่น่าชื่นชม ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องไปสร้างโครงสร้างที่ใหญ่โต สร้างขึ้นมาแล้วก็หยุดแค่นั้น เปล่าเลย โครงสร้างของคริสตศาสนาและพระศาสนจักรที่สำคัญสุดคือต้องเป็นประจักษ์พยานข่าวดีด้วยชีวิต ท่านไม่สามารสร้างโครงสร้างโรงพยาบาลหรือสถาบันการศึกษาที่ครบครันทันสมัย ถ้าหากหากโครงสร้างขาดการเป็นประจักษ์พยานแห่งชีวิตคริสตชนงานต่างๆของพวกท่านจะไม่เป็นงานของการเป็นประจักษ์พยาน ไม่ได้เป็นการประกาศพระเยซูคริสต์ที่แท้จริง นั่นอาจเป็นเพียงงานสังคมเพื่อการกุศลที่ดี ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
ขอให้พวกท่านคิดไตร่ตรองดังนี้ หากฉันไปทำงานในแดนมิสซัง แล้วฉันเห็นสิ่งนี้ หากฉันต้องการร่วมมือในงานแพร่ธรรม ฉันต้องไปด้วยทักษะที่มั่นใจว่าพระบิดาจะเป็นผู้ดึงดูดประชาชนให้มารู้จักกับพระเยซูคริสต์ด้วยการเป็นประจักษ์พยานชีวิตของจริงของฉัน พระเยซูคริสต์เองทรงตรัสกับเปโตร เมื่อเปโตรสารภาพว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ “ซีมอนเปโตร ท่านโชคดีที่พระบิดาทรงเผยสิ่งนี้ให้ท่านทราบ” เป็นพระบิดาที่ทรงดึงดูด ทรงผลักดัน และพระองค์ทรงดึงดูดโดยอาศัยการเป็นประจักษ์พยานของพวกเราด้วย “ข้าพเจ้าต้องทำหน้าที่หลายอย่าง ที่นี่ ที่นั่น ที่โน่นเรื่องการศึกษา เรื่องเมตตาสงเคราะห์ เรื่องนี้ เรื่องนั้น…” แต่หากปราศจากการเป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิตจริง กิจกรรมต่างๆอาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่นั่นไม่ใช่เป็นการประกาศพระวรสาร นั่นไม่ใช่เสาหลักที่แสดงถึงความเป็นไปได้ที่พระบิดาจะดึงดูดผู้คนให้มารู้จักกับพระเยซูคริสต์ การทำงานและการเป็นประจักษ์พยานในชีวิตเป็นสิ่งจำเป็น
“แต่ว่าฉันสามารถทำอะไรได้บ้างล่ะ เพื่อว่าพระบิดาจะสามารถดึงดูดผู้คนเหล่านั้นเข้ามารู้จักพระเยซูคริสต์? นี่เป็นการสวดภาวนาสำหรับมิสซัง อธิษฐานภาวนาเพื่อว่าพระบิดาจะได้ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหาพระเยซูคริสต์ การเป็นประจักษ์พยานชีวิตแลการสวดภาวนาเป็นสิ่งควบคู่กัน หากปราศจากซึ่งการเป็นประจักษ์พยานและการสวดภาวนาไม่อาจที่ทำการเทศน์แพร่ธรรมได้ การประกาศข่าวดีไม่สามารถกระทำได้ ท่านอาจเทศน์เก่งสอนจริยธรรมได้ดี อาจทำสิ่งที่ดีๆได้หลายอย่าง แต่พระบิดาจะไม่สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหาพระเยซูคริสต์ได้ นี่คือหัวใจ นี่คือศูนย์กลางแห่งการแพร่ธรรมของพวกเรา คือต้องให้พระบิดาสามารถดึงดูดประชาชนเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ การเป็นประจักษ์พยานชีวิตของพวกเราเป็นการเปิดประตูสู่ประชาชน และการอธิษฐานภาวนาของพวกเราเปิดประตูสู่หัวใจของพระบิดาให้ดึงดูดประชาชน – ประจักษ์พยานและการสวดภาวนา และนี่ไม่ใช่เพียงแต่สำหรับงานต่างๆของมิสซังอย่างเดียว แต่เป็นความจริงสำหรับการงานของพวกเราในฐานะที่เป็นคริสตชนด้วย พวกเราต้องตั้งคำถาม ฉันเป็นประจักษ์พยานถึงชีวิตคริสตชนในรูปแบบชีวิตของฉัน ตามกระแสเรียกที่ฉันเป็น หรือเปล่า? ฉันอธิษฐานภาวนาเพื่อว่าพระบิดาจะได้ดึงดูดประชาชนเข้าหาพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?
นี่เป็นบทบาทที่ยิ่งใหญ่สำหรับงานแพร่ธรรมทุกแห่งหน และที่เป็นพิเศษก็คืองานมิสซังไม่ใช่การบังคับให้ผู้อื่นกลับใจ ครั้งหนึ่งมีสตรีที่น่านับถือผู้หนึ่ง พวกเราอาจเห็นได้ว่าเธอเป็นบุคคลที่มีน้ำใจดี เธอมาพบพ่อพร้อมกับเด็กสองคนชายคนหนึ่งและหญิงอีกคนหนึ่ง เธอพูดกับพ่อว่า: คุณพ่อคะ เด็กชายคนนี้เป็นโปรเตสแตนต์แล้วกลับใจ ดิฉันเป็นคนที่ทำให้เขาเชื่อ ส่วนเด็กหญิงคนนี้เป็น… ดิฉันเพียงทราบว่า เขาเป็นคนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าบ้างมั้ง … พ่อเองไม่ทราบว่าเธอพูดอะไรกับพ่อมากมาย และสตรีผู้นั้นเป็นคนดี แต่เธอเข้าใจผิด พ่อจึงพูดกับสตรีผู้นั้นว่า “ฟังนะ คุณไม่ได้ทำให้ใครกลับใจทั้งนั้น เป็นพระเจ้าเองที่ไปสัมผัสดวงใจของประชาชน แล้วก็อย่าลืมว่าคุณต้องเป็นประจักษ์พยานชีวิตอย่างดี และต้องไม่บังคับให้ผู้อื่นกลับใจ เปลี่ยนศาสนา”
ขอให้พวกเราวิงวอนขอพระหรรษทานจากพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าพวกเราจะได้ทำงานด้วยการเป็นประจักษ์พยานชีวิตและด้วยการสวดภาวนา เพื่อทว่าพระบิดาเจ้าจะได้ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหาพระเยซูคริสต์ และรู้จักพระองค์
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงจบพิธีด้วยการอวยพรศีลมหาสนิทพร้อมกับขอร้องบรรดาสัตบุรุษให้มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ลูกขอกราบลง ณ แทบพระบาทของพระองค์ ลูกขอมอบการเป็นทุกข์ถึงบาปจากใจจริงของลูก ดวงใจที่มัวแต่สาละวนอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องอันไร้สาระต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ ลูกขอกราบนมัสการพระองค์ในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความรักของพระองค์ ในขณะที่กำลังรอที่จะรับความสุขแห่งศีลมหาสนิท ลูกปรารถนาที่จะรับพระองค์ทางจิตวิญญาณ ข้าแต่พระเยซูคริสต์ โปรดเสด็จมายังลูกเพื่อลูกจะได้เข้าไปหาพระองค์ ขอให้ความรักของพระองค์จงเผาตัวลูกทั้งในชีวิตและในความตาย ลูกเชื่อในพระองค์ ลูกไว้ใจในพระองค์ ลูกรักพระองค์ อาแมน
Regina caeli laetare, alleluia.
Quia quem meruisti portare, alleluia.
Resurrexit, sicut dixit, alleluia.
Ora pro nobis Deum, alleluia.
(Christ, whom you bore in your womb, alleluia,
Has risen, as He promised, alleluia.
Pray for us to the Lord, alleluia).
(ราชินีสวรรค์ จงชื่นชมยินดีเถิด อัลเลลูยา
เพราะพระองค์ที่พระแม่อุ้มไว้ในครรภ์ อัลเลลูยา
ได้ทรงกลับเป็นขึ้นมาตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ อัลเลลูยา
โปรดภาวนาต่อพระองค์เพื่อลูกด้วยเทอญ อัลเลลูยา)
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์นี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความคิดที่จะปฏิรูปพระศาสนจักร
- ทูตสวรรค์แจ้งข่าว วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2020
- สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”
- สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม
- ร่วมประชุมบิชอปเพื่อนคณะโฟโคลาเร