Skip to content

บทเทศน์เสาร์วันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2020

“สิ่งที่บุคคลทำหน้าที่ฝังศพเป็นอะไรที่เจ็บปวดและน่าเศร้า พวกเขาถูกกระหน่ำด้วยความเจ็บปวดแห่งโรคระบาด”

ฉลองนักบุญมาร์โก

ในขณะที่โลกกำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19     สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสและผู้คนอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ต่างพากันอธิษฐานภาวนาสำหรับผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ซึ่งได้แก่บรรดาแพทย์ พยาบาล ผู้ที่ช่วยกันดูแลคนป่วย และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

        เมื่อเริ่มต้นมิสซาเช้าวันเสาร์ที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาทรงยกคำภาวนาวันนี้เป็นพิเศษสำหรับบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งรับผิดชอบงานที่หนักหน่วงมากในช่วงนี้ ซึ่งได้แก่ผู้ที่ทำหน้าที่ฝังศพผู้ที่ล่วงลับจากการติดเชื้อโควิด-19

        “สิ่งที่พวกเขาทำเป็นอะไรที่แสนเจ็บปวดและน่าเศร้าใจมาก พวกเขาสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดกับความเจ็บปวดแห่งโรคระบาดนี้” พระองค์ตรัส   ในบทเทศน์วันฉลองนักบุญมาร์โกนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงไตร่ตรองพระวรสารบันทึกโดยนักบุญมาร์โก  เหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะจากโลกนี้ไปยังพระบิดา พระองค์ทรงส่งศิษย์ของพระองค์ออกไปประกาศข่าวดี บัญชาว่า “จงไปทั่วโลกประกาศพระวรสารให้กับทุกคน”

เมื่อเน้นถึงธรรมชาติธรรมทูตแห่งความเชื่อพระองค์ตรัสว่า “ความเชื่อจะต้องเป็นธรรมทูต มิฉะนั้นก็จะไม่เป็นความเชื่อ” นี่ไม่ใช่เป็นสิ่งสำหรับตนเองเท่านั้น เมื่อบุคคลหนึ่งเจริญเติบโตขึ้นในความเชื่อ แล้วต้องทำให้ผู้นั้นออกจากตนเอง และมุ่งไปหาผู้อื่นซึ่งเป็นความหมายของคำว่า “ส่งออกไป” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัส  “ความเชื่อต้องมีการถ่ายทอด ต้องมีการมอบให้ผู้อื่น ที่สำคัญที่สุด คือการเป็นประจักษ์พยาน” พระองค์เน้นในเรื่องนี้มาก 

สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเล่าว่ามีบาดหลวงองค์หนึ่งที่ทำงานอยู่ในเมืองหนึ่งในยุโรปชอบบ่นว่าคริสตชนเป็นกลุ่มลัทธิที่สอนว่ามีบางสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ (agnosticism) และขาดความเชื่อ  สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสว่าเป็นเพราะพวกเขาขาดเจตนารมณ์แห่งการเป็นธรรมทูต  ความเชื่อเป็นสิ่งที่พวกเราต้องมอบให้กับผู้อื่นอาศัยการเป็นประจักษ์พยานของเราเป็นหัวใจสำคัญ  การระบุว่าใครเป็นคริสตชนหรือคาทอลิกในบัตรประชาชนเป็นเพียงข้อมูล เป็นอะไรเชิงวัฒนธรรม “นี่ไม่ใช่ความเชื่อ” สมเด็จพระสันตะปาปาตรัส “ความเชื่อนั้นท่านจำเป็นต้องออกไปยืนยันและประกาศ ซึ่งนำให้ท่านต้องไปมอบให้กับผู้อื่น เพราะโดยธรรมชาติแล้วความเชื่อจำเป็นต้องมีการถ่ายทอด ความเชื่อจะทำตัวนิ่งอยู่เฉยๆไม่ได้”

การเป็นธรรมทูตไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องเดินทางไปในที่ไกลๆ  ซึ่งหมายความว่าถ้าหากท่านมีความเชื่อท่านจำเป็นที่ต้องออกจากตนเอง  แล้วจึงแสดงความเชื่อของท่านให้ปรากฏในสังคม  นี่ไม่ได้หมายความให้ท่านต้องบังคับผู้อื่นให้กลับใจเหมือนกับเกณฑ์ผู้คนให้มาร่วมทีมฟุตบอล หรือร่วมกันช่วยงานกุศล

การถ่ายทอดความเชื่อเป็นการเผยพระเจ้าให้ผู้อื่นเห็นโดยอาศัยการเป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิต และการรับใช้ เพื่อว่าพระจิตเจ้าจะได้กระทำการในประชาชน  การรับใช้คือหนทางแห่งชีวิต สมเด็จพระสันตะปาปาตรัส ถ้าพวกเราบอกว่าเราเป็นคริสตชน แต่วิธีดำเนินชีวิตแบบคนไม่มีศาสนาก็จะไม่มีใครเชื่อถือพวกเราแน่นอน ตรงกันข้ามถ้าตัวฉันเป็นคริสตนแล้วดำเนินชีวิตแบบคริสตชน บุคคลอื่นที่พบเห็นก็ให้ความสนใจ และนี่คือการเป็นประจักษ์พยานแห่ชีวิตจริง

นักศึกษามหาวิทยาลัยในประเทศโปแลนด์คนหนึ่งถามพระสันตะปาปาว่า เขาต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะทำไห้เพื่อนๆที่เป็นอเทวนิยมของเขามีความเชื่อ พระสันตะปาปาตอบว่า “สิ่งสุดท้ายที่เธอจะทำคือพูดให้น้อยที่สุด” แต่ “จงเริ่มด้วยการดำเนินชีวิตที่เป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิตจริงที่เธอเชื่อ จากนั้นเพื่อนๆของเธอที่ไม่มีศาสนาจะเริ่มฉงนใจแล้วถามว่า ทำไมเธอถึงดำเนินชีวิตเช่นนี้?’”  สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสว่าความเชื่อต้องมีกาถ่ายทอด ไม่ใช่เป็นการเอาชนะ แต่ต้องมอบให้ดุจเป็นขุมทรัพย์ พวกเราต้องทำเช่นนี้ด้วยความสุภาพถ่อมตนดังที่นักบุญเปโตรขอร้องในบทอ่านที่หนึ่ง “จงมีความถ่อมตนต่อกันและกันเถิด” 1 ปต 5: 5) พระองค์ตรัสว่ามีหลายกรณีที่ทั้งชายและหญิงในพระศาสนจักรและในประวัติศาสตร์ ในกระบวนการขับเคลื่อน และในกลุ่มนักเทศน์เหมือนกับว่าชอบบีบบังคับคนอื่นให้คนกลับใจ ให้เปลี่ยนศาสนา แล้วสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการคอรัปชั่น

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสสรุปโดยการกล่าวว่าพระเยซูคริสต์ขอให้พวกเรามั่นใจว่า ถ้าพวกเราออกจากตัวเองเพื่อเป็นประจักษ์พยานต่อพระองค์ งานต่างๆของพวกเราจะเกิดดอดออกผลและกลายเป็นนักทำอัศจรรย์  พระองค์ตรัสว่าในการถ่ายทอดอุดมการณ์มักจะมีอาจารย์ แต่ในการถ่ายทอดความเชื่อนั้นพระเยซูคริสต์จะประทับอยู่กับพวกเรา และจะติดตามพวกเราไปจนกระทั่งสิ้นโลก

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์นี้มาฝากเพื่อแบ่งปันและไตร่ตรอง)