ณ วัดน้อยภายในสถานพำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน
ในพิธีมิสซาสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอธิษฐานภาวนาสำหรับผู้นำภาครัฐ ในการเอาใจใส่ดูแลประชาชนในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในมิสซาเช้าวันเสาร์ ทรงภาวนาวอนขอพระเยซูคริสต์ทรงฃ่วยเหลือ และประทานพละกำลังให้ผู้นำภาครัฐในทุกระดับ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและทรงไตร่ตรองว่าจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรในช่วงวิกฤตินี้
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอธิษฐานภาวนาสำหรับผู้นำภาครัฐ ผู้ออกกฎหมาย นายกเทศมนตรี ผู้นำศาสนาในระหว่างมิสซาเช้าวันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พระองค์ทรงภาวนาขอให้ “พระเยซูคริสต์โปรดช่วยและประทานพละกำลังให้พวกเขา เพราะว่าภารกิจและความรับผิดชอบของพวกเขาไม่ใช่ของง่าย เมื่อมีความคิดที่แตกต่างกันระหว่างกันในหมู่พวกเขา” พระองค์อธิษฐาน “ขอให้พวกเขาเข้าใจว่าในช่วงวิกฤตนี้ พวกเขาต้องร่วมมือร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อความดีประโยชน์สุขของประชาชน เหตุว่าความเป็นเอกภาพนั้นย่อมสำคัญกว่าความขัดแย้ง” จากบทอ่านที่หนึ่งและพระวรสารได้ให้ข้อคิดมากมาย สำหรับบทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปา พระองค์ทรงไตร่ตรองเกี่ยวกับความจริงว่าพระศาสนจักรเฉกเช่นเดียวกันกับพวกเราทุกคนต่างดำเนินชีวิตอยู่ทั้งในสันติสุขและในยามวิกฤตแห่งชีวิต บทอ่านที่หนึ่ง (กจ. 9: 31-42) กล่าวว่าพระศาสนจักรรุ่นแรกๆมีสันติสุข พระวรสารโดยนักบุญยอห์นกล่าวถึงเวลาแห่งวิกฤตเมื่อบรรดาสาวกบางคนตัดสินใจที่จะไม่ติดตามพระเยซูคริสต์อีกต่อไป เพราะคำสอนของพระองค์เรียกร้องอย่างมากกับการดำเนินชีวิต (ยน. 6: 31-42)
พระศาสนจักรมีสันติสุข
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเริ่มการเทศน์ด้วยบทอ่านที่หนึ่ง “พระศาสนจักรมีสันติสุข พระศาสนจักรถูกสถาปนาขึ้นมาและดำเนินไปด้วยความเคารพยำเกรงต่อพระเจ้าและโดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระจิต บรรดาคริสตชนก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น” คำอธิบายนี้บอกพวกเราว่าพระศาสนจักรในเวลานั้นมีความสงบสุขและได้รับกำลังใจอย่างมาก เพราะการเกื้อหนุนกันลำกัน พระพรของพระจิต” สมเด็จพระสันตะปาปาตรัส
วิกฤตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสต่อไปว่า ชีวิตจะเปี่ยมด้วยสันติสุขเสมอไปก็หาไม่ แม้แต่มียามวิกฤตด้วย วันนี้พระวรสารเล่าถึงปฏิกิริยาศิษย์หลายคนของพระเยซูคริสต์ต่อคำสอนที่พวกเขาพบว่ายากจริงๆที่จะเข้าใจ พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยว่าคนที่รับประทานพระกายและพระโลหิตของพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร หลายคนตกใจ รับเรื่องนี้ไม่ได้
เวลาแห่งการตัดสินใจเลือก
ยามวิกฤตเฉกเช่นปัจจุบันเป็นเวลาที่พวกเราต้องเลือกตัดสินใจ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัส เพราะยามฉุกเฉินเช่นนี้นี่เองที่พระองค์ทรงต้องการให้อัครสาวกทั้งสิบสองคนตัดสินใจว่าพวกเขาอยากที่จะละทิ้งพระองค์ไปหรือไม่ นี่ทำให้อัครสาวกเปโตรต้องสารภาพความเชื่อของตนเป็นครั้งที่สอง “พระอาจารย์ เราจะหันหน้าไปพึ่งผู้ใดเล่า? เพราะพระองค์ทรงมีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร เรามีความเชื่อมั่นว่าพระองค์เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” แม้ว่า “เปโตรไม่เข้าใจ” ทุกสิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัส แต่ว่า “เปโตรไว้วางใจในพระเยซูคริสต์”
พวกเราจะต้องดำเนินชีวิตผ่านวิกฤตอย่างไร
สมเด็จพาระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอ้างถึงภาษิตของชาวอาร์เจนตีเนียน เพื่อที่จะอธิบายว่าจะต้องดำเนินชีวิตผ่านวิกฤตินี้อย่างไร “เมื่อท่านขี่ม้าและท่านต้องการข้ามแม่น้ำ ก็จงอย่าเปลี่ยนม้ากลางแม่น้ำ” พระองค์เสริมว่า บุคคลที่ต้องการทอดทิ้งพระเยซูคริสต์ เป็นการเปลี่ยนม้ากลางแม่น้ำ ตรงกันข้ามในยามวิกฤตเรียกร้องให้พวกเราต้องยึดมั่น ดำรงอยู่ในความสงบเงียบ ยึดมั่นในความเชื่อของพวกเรา “นี่ไม่ใช่เวลาที่จะทำการเปลี่ยนใจ” นี่เป็นเวลาที่จะต้องคงซื่อสัตย์ นี่เป็นเวลาที่พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์ตรัส เวลาวิกฤตเช่นนี้เป็นเวลาที่เรียกร้องให้พวกเราต้องกลับใจเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่ใช่เลาที่เราทิ้งห่างจากความดี การทำประโยชน์สุขแก่สังคม”
การบริหารจัดการในยามสันติสุขและยามวิกฤต
“พวกเราเราคริสตชนจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าจะต้องจัดการทั้งยามที่มีสันติสุขและยามที่เผชิญวิกฤตอย่างไร” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอธิบาย วิกฤตในความเชื่อได้รับการอธิบายยากนักเขียนชีวิตฝ่ายจิตกล่าวว่า ช่วงนี้เป็นเสมือน “การเดินลุยไฟเพื่อที่กลายเป็นคนเข้มแข็ง” พระองค์ตรัสว่า การอธิษฐานภาวนาที่พระองค์กระทำต่อพระเยซูคริสตเจ้าคือขอให้ทรงส่งพระจิตเสด็จมาเพื่อว่าพวกเราจะได้ทราบว่า “จะต้องต่อสู้กับการประจญในยามวิกฤตอย่างไร และพวกเราจะต้องซื่อสัตย์ในความเชื่ออย่างไร.. พร้อมกับมีความหวัง เพื่อว่าเวลาแห่งสันติสุขจะได้ตามมา “ขอพระเยซูคริสต์ประทานพลังให้กับพวกเราในยามวิกฤต มิให้พวกเราละทิ้งความเชื่อ และไม่ให้ท้อแท้ใจในยามทุกข์ยาก”
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจบพิธีมิสซาด้วยการอวยพรศีลมหาสนิทพร้อมกับทรงเชื้อเชิญสัตบุรุษให้มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
ต่อไปนี้เป็นบทภาวนาของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ลูกขอกราบลง ณ แทบพระบาทของพระองค์ ลูกขอมอบการเป็นทุกข์ถึงบาปจากใจจริงของลูก ดวงใจที่มัวแต่สาละวนอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องอันไร้สาระต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ ลูกขอกราบนมัสการพระองค์ในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความรักของพระองค์ ในขณะที่กำลังรอที่จะรับความสุขแห่งศีลมหาสนิท ลูกปรารถนาที่จะรับพระองค์ทางจิตวิญญาณ ข้าแต่พระเยซูคริสต์ โปรดเสด็จมายังลูกเพื่อลูกจะได้เข้าไปหาพระองค์ ขอให้ความรักของพระองค์จงเผาตัวลูกทั้งในชีวิตและในความตาย ลูกเชื่อในพระองค์ ลูกไว้ใจในพระองค์ ลูกรักพระองค์ อาแมน
Regina caeli laetare, alleluia.
Quia quem meruisti portare, alleluia.
Resurrexit, sicut dixit, alleluia.
Ora pro nobis Deum, alleluia.
(Christ, whom you bore in your womb, alleluia,
Has risen, as He promised, alleluia.
Pray for us to the Lord, alleluia).
(ราชินีสวรรค์ จงชื่นชมยินดีเถิด อัลเลลูยา
เพราะพระองค์ที่พระแม่อุ้มไว้ในครรภ์ อัลเลลูยา
ได้ทรงกลับเป็นขึ้นมาตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ อัลเลลูยา
โปรดภาวนาต่อพระองค์เพื่อลูกด้วยเทอญ อัลเลลูยา)
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์นี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความคิดที่จะปฏิรูปพระศาสนจักร
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงรำลึกถึง ครบรอบ 25 ปีของสมณสาส์นเวียน “UT UNUM SINT” (1995-2020)
- พระสันตะปาปาฟรานซิสประชุมหารือผ่านทาง “video conference” กับพระอัครอัยกาคีริล (Kirill)
- บทเทศน์วันอังคารที่ 28 เมษายน
- บทเทศน์วันพุธที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2020