พระสันตะปาปาฟรานซิสประทานการสัมภาษณ์แก่นักข่าวชาวอังกฤษ ดร. ออสเทน ไอเวอร์เรจห์ ได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร “THE TABLET”
โป๊ปฟรานซิส “ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นี่คือเวลาสำหรับความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ”
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงประทานการสัมภาษณ์พิเศษแก่ ดร.ออสเทน ไอเวอร์เรจห์ นักข่าวสายวาติกันชาวอังกฤษ
- ทรงย้ำ ในสถานการณ์โรคระบาด นี่คือเวลาสำหรับความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่านิ่งเฉยไม่ทำอะไร สิ่งที่พระองค์ทำคือสั่งให้มีการถ่ายทอดสดมิสซาเช้าทางออนไลน์และจัดการประทานพรแด่โรมและโลกเป็นกรณีพิเศษ เพราะนี่คือการเดินร่วมทางและใกล้ชิดกับคริสตชน และเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่กำลังมีทุกข์เดือดร้อน
- ทรงสอน ในวิกฤตินี้ “พระเจ้าไม่ปล่อยให้อัศจรรย์สำเร็จแบบครึ่งๆ กลางๆ” ถ้าพวกเราให้ความร่วมมือกับบรรดา “นักบุญข้างบ้าน” ทำตามคำแนะนำของท่านเหล่านั้น เช่น หมอและพยาบาล อัศจรรย์จะเกิดขึ้นแน่นแน และพวกเราจะเป็นหนึ่งในคนที่ร่วมทำงานนี้ด้วย
- ทรงชี้ วิกฤติครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจน ทุกคนเผชิญความทุกข์กันทั่วหน้า แต่สิ่งน่ากังวลคือวิกฤตินี้จะทำให้เรากลายเป็นคนเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนกับปัญหาที่คนอื่นกำลังประสบ ตัวอย่างชัดๆ คือ นักการเมืองที่ปากพูดถึงการแก้ปัญหาความอดอยาก แต่มือยังค้าขายอาวุธสงครามต่อไป
เมื่อปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 ดร.ออสเทน ไอเวอร์เรจห์ นักข่าวสายวาติกันชาวอังกฤษ ได้ขออนุญาตสัมภาษณ์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ผ่านทางคำถามที่เตรียมไว้และส่งให้พระสันตะปาปาทางอีเมล จากนั้นไม่นาน พระสันตะปาปาทรงบันทึกเสียงสัมภาษณ์และส่งกลับมาให้ดร.ไอเวอร์เรจห์ นำมาตีพิมพ์ลง “เดอะ แท็บเล็ต” นิตยสารคาทอลิกของอังกฤษ ใจความสำคัญของบทสัมภาษณ์ “Pope Report” ได้เรียบเรียงมาให้ทุกท่านติดตามกัน
คำถามแรก ดร.ไอเวอเรจห์ ถามพระสันตะปาปาว่า พระองค์ทรงพบอะไรบ้างในช่วงโรคระบาดและมีคำสั่งปิดเมือง ในสถานพำนักซางตา มาร์ธา และโรมันคูเรีย ทำอย่างไรบ้างทั้งชีวิตฝ่ายจิตและชีวิตการงาน
พระสันตะปาปาฟรานซิสตอบว่า ภายในโรมันคูเรีย นครรัฐวาติกัน ทุกคนพยายามทำงานตามปกติ เพียงแต่มีการสับเปลี่ยนเวลาเข้างานเป็น 2 รอบ เพื่อจะได้ไม่ต้องมารวมตัวกันแน่นหนาแบบพร้อมหน้ากัน นอกจากนี้ มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายอย่างเคร่งครัดโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ส่วนภายในสถานพำนักซางตา มาร์ธา ก็มีการแบ่งรอบการทานอาหารออกเป็น 2 รอบต่อหนึ่งมื้อ ทุกคนทำงานตามปกติด้วยการใช้เทคโนโยลีจากออฟฟิศของตน หรือจากห้องพักส่วนตัว ขอรับรองได้ว่าไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในการทำงานอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องชีวิตฝ่ายจิต พระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสว่า พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนามากขึ้นกว่าเดิมเพราะนี่คือสิ่งจำเป็นที่สุด พระองค์คิดถึงหน้าที่ในความรับผิดชอบ และสิ่งที่จะต้องกระทำต่อจากนี้ในฐานะผู้นำสูงสุดของพระศาสนจักรคาทอลิก
พระสันตะปาปาฟราสซิสกล่าวต่อไปว่า พระองค์เป็นกังวลมากนั่นคือ พระองค์จะเดินร่วมทางและใกล้ชิดกับประชากรของพระเจ้าผ่านทางวิธีไหนได้บ้าง อย่างน้อย ณ เวลานี้มีสิ่งที่พระองค์ทำแล้วก็คือผ่านทางมิสซาเช้าที่มีการถ่ายทอดผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงพระดำรัสเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2020 ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร (การประทานพรแด่กรุงโรมและแก่โลกเป็นกรณีพิเศษ – Urbi et Orbi)
พระสันตะปาปาฟรานซิสย้ำว่า ในช่วงเวลาของความไม่แน่นอนอย่างยิ่งเช่นนี้ นี่คือเวลาสำหรับการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และเป็นเวลาสำหรับความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ของคริสตชน ซึ่งจำเป็นต้องแสดงออกด้วยการเปิดน่านฟ้าใหม่ เปิดหน้าต่างออกหาพระเจ้าและคนอื่นๆ พวกเราต้องแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ขณะที่อยู่ภายในบ้าน นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกกักตัวอยู่ภายในบ้านตัวเอง
ดร.ไอเวอเรจห์ ถามพระสันตะปาปาฟรานซิสต่อไปว่า พวกเราได้เห็นนโยบายภาครัฐในการแก้ปัญหาวิกฤติ การสั่งประชาชนอยู่บ้านเพื่อกักกันตัวเองคือเครื่องหมายบอกว่า รัฐบาลบางประเทศยอมให้เศรษฐกิจเสียหาย มากกว่ายอมให้ประชาชนของตนต้องเจ็บป่วยล้มตายมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นเช่นกันว่ายังมีผู้คนที่ถูกกีดกันอยู่ และดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ พระองค์คิดอย่างไร
พระสันตะปาปาตอบว่า ปัจจุบัน คนเร่ร่อนก็ยังคงเป็นคนเร่ร่อน ภาพข่าวที่ปรากฏหลายวันก่อน ณ ลานจอดรถในเมืองลาส เวกัส ซึ่งคนเร่ร่อนถูกนำไปกักกันตัว ณ ตรงนั้น ขณะที่โรงแรมมีห้องว่างเต็มไปหมด แต่คนเร่ร่อนไม่สามารถไปพักในโรงแรมเหล่านั้นได้ นี่คือวัฒนธรรมทิ้งขว้างในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
คำถามต่อไปคือพระสันตะปาปามองวิกฤติและความเสียหายทางเศรษฐกิจนี้ เป็นการลงโทษเพื่อให้มนุษย์ได้ประพฤติตัวใหม่ต่อระบบนิเวศน์หรือเปล่า
พระสันตะปาปาตอบว่า มีคำกล่าวในภาษาสเปนว่า “พระเจ้าให้อภัยเสมอ มนุษย์ให้อภัยบางครั้ง แต่ธรรมชาติไม่เคยให้อภัยเลย” ลองดูไฟป่าในออสเตรเลีย หรือจะเป็นเรือขนสินค้าสามารถแล่นข้ามขั้วโลกเหนือได้ เพราะธารน้ำแข็งยักษ์ละลาย หรือจะเป็นน้ำท่วม พ่อไม่รู้หรอกว่า ปรากฎการณ์เช่นนี้คือการแก้แค้นหรือเสียงร้องจากธรรมชาติหรือไม่ แต่ปรากฎการณ์เช่นี้คือการโต้ตอบของธรรมชาติอย่างแน่นอน
พระสันตะปาปาฟรานยังตรัสอีกว่า วิกฤติครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ทุกคนต่างเผชิญโรคร้ายกันทั่วหน้า พระองค์กังวลใจว่าวิกฤตินี้จะทำให้พวกเรากลายเป็นคนเฉยชา ไม่ทุกข์ร้อนกับปัญหาคนอื่น เช่น นักการเมืองที่ปากพูดถึงการเผชิญหน้าวิกฤติความอดอยาก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ผลิตอาวุธสงครามต่อไป
ในวิกฤติทุกประเภท พระสันตะปาปาตรัสว่า เรามองเห็นสองด้านคือ มีทั้งภัยอันตรายและโอกาสใหม่ๆ พระองค์ทรงไตร่ตรองว่า ขณะนี้มีโอกาสให้พวกเราได้ทบทวนว่า พวกเราควรจะชะลออัตราการผลิตและการบริโภคลงบ้าง เพื่อเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และไตร่ตรองธรรมชาติของโลก นี่คือโอกาสในการกลับตัวกลับใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองใหม่
วิกฤติโควิด-19 พระสันตะปาปายังย้ำคำเดิมว่า นี่คือเวลาที่พวกเราได้เห็น “นักบุญข้างบ้าน” (The Saints next door) ท่านเหล่านี้คือบรรดาแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ขนส่งมวลชน พนักงานขายของตามร้านต่างๆ รวมถึงนักบวช ซิสเตอร์ บราเดอร์ และบาดหลวงที่ทำงานดูแลคนป่วย ท่านเหล่านี้คือบุคคลที่ต้องมาทำงานเพื่อทำให้สังคมเดินหน้าต่อไป
พระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสอีกว่า มีคนกล่าวไว้ “พระเจ้าไม่ปล่อยให้อัศจรรย์สำเร็จไปแบบครึ่งๆ กลางๆ” ถ้าพวกเรารับรู้อัศจรรย์นี้จากบรรดานักบุญข้างบ้าน ถ้าพวกเราเดินตามทางของพวกเขา อัศจรรย์จะบังเกิดด้วยดีและจะดีงาม เป็นประโยชน์สุขกับทุกฝ่าย พระเจ้าไม่เคยปล่อยให้งานของพระองค์เสร็จแบบครึ่งๆ กลางๆ พวกเราจะต้องเป็นบุคคลที่ร่วมทำงานนี้ด้วย
คำถามถัดไปคือ ผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ ศาสนจักรจำเป็นต้องคิดทบทวนวิธีการทำงานของพวกเรารูปแบบใหม่หรือไม่ พระสันตะปาปาได้เห็นศาสนจักรที่มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีการแพร่ธรรมมากขึ้น และไม่ยึดติดกับตัวโครงสร้างสถาบันมากขึ้นไหม พระองค์คิดอย่างไรกับรูปแบบใหม่ๆอย่างเช่น “ศาสนจักรภายในบ้าน” (Home Church)
พระสันตะปาปาฟรานซิสตอบว่า พ่อไม่อยากให้พูดว่าไม่ยึดติดกับตัวโครงสร้างสถาบัน (De-Institutionalised Church) แต่พระองค์ขอพูดว่า อย่าไปยึดติดกับวิธีการคิดที่บางอย่างจะดีกว่า ศาสนจักรคือสถาบัน พระจิตทรงสร้างศาสนจักรขึ้นมา (The Church is institution. It is the Holy Spirit who institutionalized the Church.)
ส่วนเรื่องศาสนจักรทางบ้าน นี่เป็นเรื่องที่พวกเราต้องมีปฏิกิริยา ตอบสนองกับการถูกกักตัวอยู่ในบ้านด้วยความคิดแบบสร้างสรรค์ พวกเราอาจจะหดหู่ใจและแตกแยกกันผ่านสื่อต่างๆที่ชี้นำพวกเราให้ออกจากความจริง หรือพวกเราสามารถเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้
สุดท้าย ดร.ไอเวอเรจห์ ถามว่า พระสันตะปาปามีสิ่งใดบ้าง ที่พระองค์ปรารถนาบอกเป็นพิเศษไปยังผู้สูงอายุที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวไหม รวมถึงบอกกับบรรดาเยาวชนที่ต้องอยู่แต่ภายในบ้าน
พระสันตะปาปาฟรานซิสตอบว่า ผู้สูงอายุคือบรรพบุรุษของพวกเรา พวกท่านต้องคุยกับลูกหลาน ความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้สูงอายุกับลูกหลานจะได้รับการขจัดให้หมดไปด้วยการพบหน้ากันและสนทนากันกัน
ส่วนบรรดาเยาวชนคนรุ่นใหม่ พระสันตะปาปาฟรานซิสขอให้พวกเขามองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง จงกล้าหาญ กล้าคิด กล้าฝันอยู่เสมอ
Credit to Vasin Manasuranggul (Win): Thank you very much for this sharing: [email protected] – April 13, 2020
วิษณุ ธัญญอนันต์ – ขอนำมาถ่ายทอดต่อในบทสัมภาษณ์นี้เพื่อการแบ่งปันสิ่งดีๆและเป็นกำลังใจให้ทุกคน ขอพระจิตนำทางให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”
- สมณลิขิตสำหรับชี้แจงเหตุผลในการประกาศใช้สมณอัตตาณัติ “ผู้พิทักษ์ธรรมประเพณี” (TRADITIONIS CUSTODES)
- สมณลิขิตจากพระสันตะปาปาฟรานซิส
ถึงอาร์ชบิชอป ริโน ฟิสิเกลลา (Archbishop Rino Fisichella) - สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม
- พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงยืนยันว่า
เลบานอนคือประเทศต่อไปที่พระองค์จะเสด็จไปเยือน