Skip to content

บทเทศน์วันเสาร์ที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2020

ณ วัดน้อยภายในสถานพำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน

พระสันตะปาปาฟรานซิสขอให้พวกเราภาวนาสำหรับผู้ดูแลคนพิการ ผู้ใช้ภาษามือ

ผู้ปกครอง ผู้อาวุโส นักกฎหมาย เมื่อเห็นคนเหล่านี้และความกล้าของพวกเขา (อัครสาวกเปโตรและยอห์น) ในสิ่งที่พวกเขาพูด และเมื่อทราบว่าพวกเขาเป็นพวกที่ไร้ซึ่งการศึกษา บางคนอาจเขียนไม่เป็นด้วยซ้ำต่างพากันแปลกใจ  บรรดาผู้ปกครอง ผู้อาวุโส นักกฎหมาย ไม่เข้าใจ “แต่ว่าเป็นอะไรที่เราไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกเขาจึงกล้าหาญชาญชัยเช่นนั้น” (กจ. 4: 13) คำพูดแต่ละคำล้วนแต่มีความสำคัญทั้งนั้นซึ่งเป็นลักษณะและรูปแบบประจำของนักเทศน์คริสตชน ดังที่มีการกล่าวในหนังสือกิจการของอัครสาวก: ทั้งกล้าหาญและไม่เกรงกลัวผู้ใด เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นรากศัพท์มาจากภาษากรีกที่กล่าวถึงทุกสิ่ง และพวกเราก็ใช้คำนี้หลายครั้งเพราะคำศัพท์กรีกนี้หมายถึง “Parrhesia” ความกล้าหาญ ความไม่รู้จักเกรงกลัว  พะวกเขาเห็นความกล้า ความไม่รู้จักกลัว  “parrhesia” นี้ในบรรดาอัครสาวกแล้ว พวกเขาก็ไม่เข้าใจ มึนงง

        ความกล้าหาญ: เป็นความกล้าหาญที่ไม่เกรงกลัวผู้ใดที่อัครสาวกเทศนาเป็นครั้งแรก… หนังสือกิจการอัครสาวกเต็มไปด้วยเรื่องเช่นนี้ มีการกล่าวว่าเปาโลและบาร์นาบัสพยายามอธิบายอย่างกล้าหาญให้กับชาวยิวถึงพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์ และท่านทั้งสองก็ประกาศพระวรสารด้วยความกล้าหาญ (เทียบ กจ. 13: 46)

        ทว่ามีถ้อยคำประโยคหนึ่งในจดหมายถึงชาวฮีบรูที่พ่อชื่นชอบมาก เมื่อผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรูรับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้ชุมชนกำลังตกต่ำลง มีอะไรที่ขาดหายไป เป็นความอบอุ่นอะไรบางอย่างที่บรรดาคริสตชนกำลังรู้สึกเย็นชาลง  มีการกล่าวอะไรทำนองนี้ซึ่งพ่อจำไม่ค่อยแม่นยำ แต่ว่ามีการกล่าวว่า “จงจำถึงวันแรกๆ ท่านต้องสู้รบปรบมืออย่างยากลำบาก บัดนี้จงอย่าทิ้งความกล้าหาญของท่านไป” (เทียบ ฮบ. 10: 32-35) “จงฟื้นฟูชีวิตขึ้นใหม่” จงฟื้นฟูความกล้าหาญ ความกล้าหาญของคริสตชนที่จะเดินหน้าต่อไป พวกเราไม่อาจที่จะเป็นคริสตชนได้ หากปราศจากซึ่งความกล้าหาญนี้ หากท่านไม่มีความกล้าหาญ ท่านก็ไม่ใช่คริสตชนที่ดี หากท่านขาดความกล้า ขลาดกลัว หากในการอธิบายสถานภาพของท่าน ท่านหันไปใช้อุดมการณ์ หรืออธิบายโดยขาดความกล้า ท่านก็ขาดรูปแบบแห่งการเป็นคริสตชนอย่างแท้จริง เสรีภาพในการพูด หรือพูดง่ายๆว่า ความกล้าหาญนั่นเอง

        และพวกเราก็เห็นว่าผู้ปกครอง ผู้อาวุโส นักกฎหมายกลายเป็นเหยื่อหรือจำเลย  พวกเขาตกเป็นเหยื่อของความกล้าหาญนี้ เพราะว่าพวกเขาถูกต้อนจนมุม พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร  เมื่อต้องรับรู้ว่า “บรรดาอัครสาวกเป็นชาวบ้านธรรมดาซื่อๆ ไม่มีการศึกษาสูง” พวกเขาก็ประหลาดใจ แล้วพวกเขาก็รับรู้ว่าพวกเขาเผชิญกับพระเยซูคริสต์  แต่เมื่อเห็นชายพิการที่ได้รับการเยียวยารักษายืนอยู่ข้างพระองค์ พวกเขาก็ไม่มีอะไรที่จะมาพูดโต้แย้ง” (กจ. 4: 13-14) ทั้งๆที่เผชิญความจริงเช่นนี้ แทนที่จะยอมรับความจริงอย่างที่พวกเขาเห็น หัวใจของพวกเขาถูกปิดตายจนทำให้พวกเขาพยายามหันไปใช้วิธีทางการทูต คือหาทางออมชอม “พวกเราลองมาทำให้พวกเขากลัวกันหน่อย ให้เราบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะถูกลงโทษ ลองดูซิว่าพวกเขาจะหุบปากหรือไม่” (เทียบ กจ. 4: 16-17) พวกเขาถูกต้อนจนมุม และไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดเลยที่จะกล่าวว่า

“แต่เรื่องนี้อาจเป็นความจริงได้ไหม?”  ใจของพวกเขาถูกปิดตายไปแล้ว  ซึ่งเป็นเรื่องยาก ภายในหัวใจของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยชั่วร้าย นี่เป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง: พลังของพระจิตซึ่งแสดงออกในความกล้าหาญแห่งการเทศนาและในความกล้าชนิดไม่หวั่นเกรงอิทธิพลใดๆในการเทศนา สามารถแทงทะลุเข้าไปในหัวใจที่ชั่วร้ายได้  เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราระมัดระวัง: เป็นคนบาปได้ แต่ต้องไม่คอรัปชั่นชั่วร้าย และต้องไม่มีการคอรัปชั่น เพราะการคอรัปชั่น การไม่ซื่อตรงมีหลากหลายวิธีที่จะแสดงตนออกมา…

        แต่พวกเขาจนมุมไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ในที่สุดพวกเขาก็หาวิธีออมชอม จึงคิดไม่ซื่อ “ให้เราขู่พวกเขา ต้องทำให้พวกกลัวกันสักหน่อย” พวกเขาเชิญอัครสาวก เชิญให้อัครสาวกกลับมาแล้วออกคำสั่ง  พวกเขาไม่ได้เชิญอัครสาวกให้มาพูดหรือสอนในพระนามของพระเยซูคริสต์ (เทียบ กจ. 4: 18) พวกเรารู้จักเปโตรกันดี เขาไม่ได้เกิดมาเป็นคนกล้า เขาเป็นคนขี้ขลาด เขาปฏิเสธพระเยซู แต่ ณ เวลานี้อะไรเกิดขึ้น? บรรดาอัครสาวกตอบอย่างกล้าหาญว่า “นี่ถูกต้องแล้วหรือในสายพระเนตรของพระเจ้าที่จะฟังพวกท่าน แทนที่จะฟังพระเจ้า ท่านต้องตัดสินใจ เพราะพวกเราต้องพูดถึงสิ่งที่พวกเราได้เห็นและได้ยินมา” (กจ. 4: 19-20) ทว่าความกล้าของคนขลาดที่เคยปฏิเสธพระเยซูคริสต์นี้มาจากไหน?  อะไรเกิดขึ้นในหัวใจของชายคนนี้ (เปโตร)?  นี่เป็นของขวัญของพระจิต: ความกล้าหาญ ความไม่รู้จักเกรงกลัว “parrhesia” ล้วนเป็นของขวัญ เป็นพระหรรษทานที่พระจิตทรงประทานให้ในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมา  ความจริงหลังจากที่ได้รับพระจิตแล้ว  บรรดาอัครสาวกก็ออกไปเทศนาด้วยความกล้าหาญ นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา  นี่คือการผนึกเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเครื่องหมายของคริสตชนที่แท้จริง เขาเป็นคนกล้า เขาพูดถึงความจริงทั้งสิ้นเพราะว่าพวกเขาผนึกเป็นหนึ่งเดียวกัน และในการส่งพวกเขาออกไป  พระเยซูคริสต์ทรงเรียกร้องให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน  หลังจากการสรุปของนักบุญมาร์โกในพระวรสาร “เมื่อพระองค์ทรงตื่นขึ้นจากการบรรทมในตอนเช้า… “ (มก. 16: 9) เรื่องเล่าการเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพ – พระองค์ทรงโกรธพวกเขาสำหรับการที่พวกเขาไม่เชื่อ และความกระด้างของหัวใจเพราะพวกเขาไม่เชื่อคนที่เห็นพระองค์หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับคืนชีพ” (ข้อ 14) แต่การทักทายของพระเยซูคริสต์มีอำนาจของพระจิต “จงรับพระจิตเจ้าเถิด” (ยน. 20: 22) แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” (มก. 16: 15) จงไปด้วยความกล้าหาญ จงอย่าได้กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น

        เมื่อคำนึงและไตร่ตรองถึงข้อความจดหมายถึงชาวฮีบรู “จงอย่าละทิ้งความกล้าหาญของท่าน จงอย่าได้ทิ้งของขวัญของพระจิต” (เทียบ ฮบ. 10: 35) ความจริงพันธกิจของพระศาสนจักรเกิดขึ้นจากจุดนี้ จากของขวัญนี้ที่ทำให้พวกเรากล้าหาญในการประกาศพระวาจา

        ขอพระเยซูคริสต์โปรดให้พวกเรามีความกล้าหาญเสมอ นี่ไม่ได้หมายความว่าให้เรากล้าบ้าบิ่นโดยปราศจากความเฉลียวฉลาด เปล่าเลย ความกล้าหาญของคริสตชนต้องเฉลียวฉลาดและรอบคอบเสมอ

        สมเด็จพระสันตะปาปาทรงจบการเทศน์ด้วยการอวยพรศีลมหาสนิทพร้อมกับเชื้อเชิญสัตบุรุษให้มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน

        ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ลูกขอกราบลง ณ แทบพระบาทของพระองค์ ลูกขอมอบการเป็นทุกข์ถึงบาปจากใจจริงของลูก ดวงใจที่มัวแต่สาละวนอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องอันไร้สาระต่อหน้าพระพักตร์พระองค์  ลูกขอกราบนมัสการพระองค์ในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความรักของพระองค์ ในขณะที่กำลังรอที่จะรับความสุขแห่งศีลมหาสนิท ลูกปรารถนาที่จะรับพระองค์ทางจิตวิญญาณ  ข้าแต่พระเยซูคริสต์ โปรดเสด็จมายังลูกเพื่อลูกจะได้เข้าไปหาพระองค์  ขอให้ความรักของพระองค์จงเผาตัวลูกทั้งในชีวิตและในความตาย ลูกเชื่อในพระองค์ ลูกไว้ใจในพระองค์ ลูกรักพระองค์ อาแมน

        ก่อนออกจากวัดน้อยซึ่งยกถวายให้กับพระจิต ได้มีการขับร้องเพลงแม่พระที่ใช้มาเก่าแก่โบราณ คือบท “Regina Caeli” ซึ่งนิยมขับร้องกันในเทศกาลปัสกา

Regina caeli laetare, alleluia.

Quia quem meruisti portare, alleluia.

Resurrexit, sicut dixit, alleluia.

Ora pro nobis Deum, alleluia.

(Christ, whom you bore in your womb, alleluia,

Has risen, as He promised, alleluia.

Pray for us to the Lord, alleluia).

(ราชินีสวรรค์ จงชื่นชมยินดีเถิด อัลเลลูยา

เพราะพระองค์ที่พระแม่อุ้มไว้ในครรภ์ อัลเลลูยา

ได้ทรงกลับเป็นขึ้นมาตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ อัลเลลูยา

โปรดภาวนาต่อพระองค์เพื่อลูกด้วยเทอญ อัลเลลูยา)

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์นี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)