Skip to content

บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสวันที่ 16 เมษายน 2020

ณ วัดน้อยภายในสถานที่พำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน

ท่านร้อนใจหรือ? ท่านกลัวหรือ?
ขอให้การประทับอยู่ของพระเยซูคริสต์
ทำให้หัวใจของท่านเปี่ยม ด้วยความชื่นชมยินดี

พระสันตะปาปาฟรานซิส ภาวนาสำหรับบรรดาเภสัชกร

ท่านร้อนใจหรือ?  ท่านกลัวหรือ?  ขอให้การประทับอยู่ของพระเยซูคริสต์บรรเทาใจ และทำให้หัวใจของท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี…

        ตามสำนักข่าววาติกันสมเด็จพระสันตะปาปาฟรkoซิสทรงเน้นในวันที่ 16 เมษายน ช่วงที่ถวายมิสซาประจำวันส่วนพระองค์ที่ตำหนักพักซางตามาร์ธา

        เมื่อเริ่มพิธีมิสซาในขณะที่ทรงรำลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของไวรัสโคโรนา พระองค์ทรงระลึกถึงบรรดาเภสัชกรเป็นพิเศษโดยตั้งข้อสังเกตว่าในขณะที่พระองค์ทรงรำลึกถึงบุคคลากรทางการแพทย์ต่างๆ พระองค์ยังมิได้ให้ความใส่ใจต่อพวกเขาอย่างเพียงพอ

        “พ่อขอบคุณบรรดานายแพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร แต่ลืมเภสัชกรไป”  พระองค์สารภาพพร้อมกับตรัสว่า “บุคคลเหล่านั้นต้องทำงานหนักมากเพื่อช่วยคนป่วยให้ดีขึ้น ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาเพื่อพวกเขาด้วย”

        ในบทเทศน์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงรำพึงไตร่ตรองถึงความร้อนอกร้อนใจและความกลัวของหลายคนในกรุงเยรูซาเล็ม หลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์

 

 

        “ขณะที่บรรดาศิษย์เกิดความสงสัย” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอธิบาย เกี่ยวกับการประทับอยู่ของพระเยซูคริสต์ทำให้ความกลัวของศิษย์หายไปอย่างไร  เมื่อพระองค์ทรงปรากฏตนแก่พวกเขาตรัสว่า “ทำไมท่านถึงวุ่นวายใจ และทำไมความสงสัยเหล่านี้จึงเกิดขึ้นใจในจิตใจของท่าน? จงดูที่พระหัตถ์ของเราสิ!  จงสัมผัสเราแล้วเห็นได้กับสายตาของท่านเอง! เพราะถ้าเป็นผีจริงก็ไม่มีเนื้อและกระดูก”

        ด้วยคำพูดเหล่านี้ความกลังได้กลายเป็นความชื่นชมยินดีจนล้นพ้น

        สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมา บรรดาศิษย์กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าพวกเขา “เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี” (เทียบ กจ. 24: 52-53) นี่แหละเป็นความบรรเทาที่สมบูรณ์ เป็นความบริบูรณ์แห่งการประทับอยู่ของพระเยซูคริสต์ ดังที่นักบุญเปาโลกกล่าวกล่าวกับชาวกาลาเทียว่า “ความชื่นชมยินดีคือผลของพระจิต” (เทียบ กท. 5: 22)

        สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงย้ำว่านี่ไม่ใช่ “ผลของอารมณ์ที่หลุดออกมาเพราะอะไรที่น่าอัศจรรย์”

        “เปล่าเลย นี่เป็นสิ่งที่มากไปกว่านั้นอีก” พระองค์ย้ำพร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า “ความชื่นขมยินที่ล้นหัวใจของพวกเราเช่นนี้เป็นผลของพระจิต  ไม่มีผู้ใดสามารถมีความชื่นชมยินดีนี้ได้โดยปราศจากพระจิต  นี่เป็นพระหรรษทาน พระพรที่จะได้รับความชื่นชมยินดีของพระจิต”

บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (ฉบับเต็ม)

        ในหลายต่อหลายวันเหล่านั้น ผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มมีความรู้สึกหลายอย่างทั้งกลัว ทั้งประหลาดใจ ทั้งสงสัย  “ในวันเหล่านั้นในขณะที่คนง่อยที่ได้รับการรักษาแล้ว พวกเขาต่างพากันคลั่งไคล้อยู่กับเปโตรและยอห์น และประชากรต่างพากันพิศวงใจ… (กจ. 3: 11) ขณะนั้นเกิดบรรยากาศแห่งความร้อนอกร้อนใจ เพราะว่ามีสิ่งประหลาด มหัศจรรย์ใจเกิดขึ้นที่ผู้คนไม่เข้าใจ พระเยซูคริสต์เสด็จกลับไปหาศิษย์ของพระองค์

พวกเขาต่างก็พากันรู้ดีว่าพระองค์เสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพแล้ว  เปโตรเองก็ทราบเพราะท่านได้สนทนากับพระองค์ตอนเช้านั้น  ศิษย์สองคนที่เดินทางกลับจากตำบลเอมมาอุสก็ทราบ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏองค์พวกเขาก็ตกใจ “ตกใจแล้วก็กลัว เพราะพวกเขาคิดว่าตนเจอผี”  (ลก. 24: 37) พวกเขามีประสบการณ์เดียวกัน ณ ทะเลสาบเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงดำเนินบนผิวน้ำ ทว่าในตอนนั้นจึงทำใจกล้า ท้าทายพระเยซูคริสต์ว่า “พระอาจารย์ หากเป็นพระองค์จริงๆ โปรดสั่งให้ข้าพเจ้าเดินไปยังพระองค์” (เทียบ มธ. 14: 28)   วันนี้เปโตรปิดปากเงียบ ท่านได้พูดกับพระอาจารย์เมื่อเช้าแล้ว ไม่มีใครทราบว่าสองคนสนทนาอะไรกัน ดังนั้นเปโตรจึงปิดปากเงียบ ทว่าบรรดาศิษย์เปี่ยมไปด้วยความกลัวและความผิดหวัง พวกเขาคิดว่าพวกเขาเจอผี พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำไมพวกท่านจึงวุ่นวายใจ? ทำไมพวกท่านจึงมีคำถามในใจ? จงมองดูมือและเท้าของเราสิ… “พระองค์ทรงแสดงให้พวกเขาเห็นรอยบาดแผลของพระองค์ (เทียบ ลก. 24: 38-39) นี่คือขุมทรัพย์อันประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์นำไปยังสวรรค์ เพราะพระบิดาเจ้าทรงเห็น และให้วิงวอนเพื่อเรา “เอามือมาคลำดูสิ เพราะผีไม่มีเนื้อและกระดูก”

        และแล้วยังมีอีกวลีหนึ่งที่สร้างความบรรเทาใจให้กับพ่อ เพราะฉะนั้นสารของพระวรสารจึงเป็นสารที่พ่อชอบมาก “ในขณะที่พวกเขายังคงไม่เชื่อ แต่พวกก็มีความชื่นชมยินดี… (เทียบ ลก. 24: 41) อีกครั้งหนึ่ง พวกเขาต่างพากันประหลาดใจ ความชื่นชมยินดีปิดกั้นเขาจากการเชื่อ  ความชื่นชมยินดีนั้นยิ่งใหญ่จนพวกเขาคิดว่า “ไม่นะ นี่ไม่อาจที่จะเป็นจริงได้ ความชื่นชมยินดีนี้ไม่ใช่ของแท้  นี่มากเกินไปจริงๆ”  และนี่ปิดกั้นมิให้พวกเขาเชื่อ – ความชื่นชมยินดีเป็นช่วงแห่งความยินที่ใหญ่หลวง พวกเขาเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีจนพิการเพราะความชื่นชมยินดี  ความชื่นชมยินดีเป็นความปรารถนาประการหนึ่งของเปาโลสำหรับประชากรแห่งกรุงโรม “ขอให้พระเจ้าแห่งความหวังประทานให้ท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีทุกประการ” (เทียบ รม. 15: 13) เปาโลขอให้ประชาชนจงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี นี่เป็นประสบการณ์แห่งความบรรเทาสูงสุดเมื่อพระเยซูคริสต์ทำให้พวกเราเข้าใจว่า นี่เป็นอะไรที่แตกต่างไปจากความร่าเริงธรรมดาๆ การมองโลกในแง่บวก ความสำเร็จต่างๆ… ไม่ใช่เช่นนั้น นี่เป็นคนละเรื่อง   เพื่อที่จะมีความชื่นชมยินดี เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ความยินดีที่ล้นพ้นที่เกิดขึ้นกับพวกเรา เพราะฉะนั้นเปาโลจึงขอให้ “พระเจ้าแห่งความหวังประทานความชื่นชมยินดี” ให้กับพี่น้องชาวโรมัน

        และคำพูดนั้น การแสดงออกเช่นนั้น เพื่อที่จะทำให้พวกเราเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีจึงได้มีการกล่าวย้ำหลายครั้ง ตัวอย่างเช่นเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นในเรือนจำ เปาโลได้ช่วยชีวิตของเพื่อนนักโทษคนหนึ่งซึ่งกำลังจะฆ่าตัวตาย เพราะประตูคุกเปิดออกเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว แล้วเปาโลก็ประกาศพระวรสารแก่เขาโปรดศีลล้างบาปให้กับเขาและนักโทษผู้นั้นพระคัมภีร์บอกว่า “เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี” เพราะมีความเชื่อมั่งคง (เทียบ กจ. 16: 29-34) สิ่งเดียวกันนั้นเกิดขึ้นกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจแห่งเมืองกาดาเชเมื่อฟิลิปล้างบาปเขาแล้วหายตัวไป ส่วนรัฐมนตรีผู้นั้นจากไป “เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี” (เทียบ กจ. 8: 39) สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ บรรดาศิษย์เดินทางกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มซึ่งพระคัมภีร์บอกว่า “เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี” (กจ. 24: 52-53) นี่เป็นความบริบูรณ์แห่งความบรรเทาใจ เป็นความบริบูรณ์แห่งการประทับอยู่ของพระเยซูคริสต์ เพราะดังเช่นที่นักบุญเปาโลกล่าวกับชาวกาลาเทียไว้ว่า “ความชื่นชมยินดีเป็นผลงานของพระจิต” (เทียบ กท. 5: 22) นี่ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ที่โพล่งออกมาเพราะสิ่งที่น่าพิศวงอะไรบางอย่าง ไม่เลย แต่เป็นสิ่งที่มากไปกว่านั้น ความชื่นชมยินดีที่เปี่ยมล้นหัวใจของพวกเรานี้คือผลงานของพระจิต พวกเราไม่สามารถมีความชื่นชมยินดีนี้ได้โดยปราศจากพระจิต นี่เป็นพระหรรษทานและพระพรที่จะรับความชื่นชมยินดีของพระจิต

        มีคำเตือนใจข้อท้ายๆและวรรคท้ายๆในสมณสาส์นเตือนใจ การประกาศพระวรสาร (Evangelii Nuntiandi) ของพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 (ข้อ 79-80) เมื่อพระองค์ตรัสถึงบรรดาคริสตชนที่มีความชื่นชมยินดีแห่งผู้ประกาศพระวรสารด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่กับผู้ที่ไม่ได้เรื่องได้ราว  วันนี้เป็นวันดีที่จะอ่านสาส์นนี้พร้อมกับความชื่นชมยินดี  นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บอกเรา “เพราะความชื่นชมยินดีพวกเขาไม่เชื่อ…” ความชื่นชมยินดีล้นพ้นจนพวกเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้

        มีข้อความตอนหนึ่งในหนังสือเนหะมีย์ซึ่งน่าจะช่วยพวกเราได้ในการไตร่ตรองวันนี้เกี่ยวกับความชื่นชมยินดี  หลังจากที่ประชากรกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว  พวกเขาก็ค้นพบหนังสือธรรมบัญญัติอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาจำขึ้นใจธรรมบัญญัติได้ เพราะพวกเขาหาหนังสือดังกล่าวไม่พบ จากนั้นมีการฉลองกันอย่างเอิกเกริก ประชาชนต่างแห่กันมาฟังเอสราผู้เป็นสมณะอ่านหนังสือธรรมบัญญัติดังกล่าว  ประชานต่างตื้นตันใจ ร่ำไห้ การร่ำไห้ของพวกเขาเป็นความชื่นชมยินดี… ตอนท้ายเมื่อสมณะเอสราอ่านจบ ผู้ปกครองเนหะมีย์กล่าวกับประชาชนว่า “จงอย่าได้เสียใจ จงหยุดร่ำไห้ จงรักษาความชื่นชมยินดีเอาไว้ เพราะความชื่นชมยินดีของพระเจ้าเป็นพลังของท่านอย่างเต็มเปี่ยม” (นหม. 8: 1-12)

        ข้อความจากหนังสือเนหะมีย์จะช่วยพวกเราได้ในวันนี้ พลังยิ่งใหญ่ที่พวกเราจำต้องนำมาเปลี่ยนแปลงชีวิต นำมาประกาศพระวรสาร นำเอามาเป็นประจักษ์พยานแห่งชีวิตล้วนเป็นความชื่นชมยินดีของพระเยซูคริสต์ และเป็นผลงานของพระจิต  วันนี้ให้พวกเราวิงวอนขอให้พระองค์ประทานผลพวงนี้ให้แก่พวกเรา

        สมเด็จพระสันตะปาปาจบการถวายมิสซาด้วยการอวยพรศีลมหาสนิทพร้อมกับเชื้อเชิญสัตบุรุษให้ร่วมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน

ต่อไปนี้เป็นบทภาวนาของสมเด็จพระสันตะปาปา

        ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ลูกรับรู้ว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งพระแท่น  ลูกขอกราบนมัสการพระองค์เหนือสิ่งใด ลูกปรารถนาที่จะรับพระองค์มาประทับในดวงใจลูก  เนื่องจากบัดนี้ลูกไม่สามารถที่จะรับพระองค์ อย่างน้อยโปรดเสด็จมาประทับในวิญญาณของลูกทางจิต เมื่อพระองค์เสด็จมา ลูกขอสวมกอดพระองค์ และขอร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ โปรดอย่าให้ลูกต้องพรากไปจากพระองค์เลย

        ก่อนจากวัดน้อยซึ่งยกถวายให้กับพระจิต มีการขับร้องบทเพลงแม่พระเก่าแก่ “Regina Caeli” ซึ่งนิยมขับร้องกันในเทศกาลปัสกา

Regina caeli laetare, alleluia.

Quia quem meruisti portare, alleluia.

Resurrexit, sicut dixit, alleluia.

Ora pro nobis Deum, alleluia.

 (Queen of Heaven rejoice, alleluia.

Christ, whom you bore in your womb, alleluia,

Is risen, as He promised, alleluia.

Pray for us to the Lord, alleluia).

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์นี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)