Skip to content

ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์นี้ขอให้เราเดินไปพร้อมกับความเชื่อ

ณ วัดน้อยนักบุญมาร์ธา นครรัฐวาติกัน: ขอให้คิดถึงคนยากจน  พ่อภาวนาขออย่าให้เกิด “วิบัติใหญ่” ภายในคุกหรือสถานที่ต้องกักที่มีนักโทษแออัด

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงแบ่งปันความทรงจำส่วนพระองค์ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงบัวโนสไอเรส…

จากสำนักข่าววาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสเรื่องนี้เมื่อวันจันทร์ที่ 6 เมษายน ซึ่งอยู่ในช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ขณะที่ถวายบูชาขอบพระคุณ ณ วัดน้อยซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน

เมื่อเริ่มพิธีมิสซาในขณะที่รำลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของเชื้อไวรัสโคโรนา สมเด็จพระสันตะปาปาทรงอธิษฐานภาวนาพิเศษสำหรับผู้ที่ถูกจองจำและคนยากจน

สมเด็จพระสันตะปาปาทรงตั้งข้อสังเกตโดยนึกถึงนักโทษในเรือนจำ “ที่ใดที่มีผู้คนอยู่กันอย่างแออัด… ที่นั่นมักมีอันตรายอันจะติดเชื้อโรคระบาด ซึ่งในที่สุดจะลงเอยด้วยมหาหายนะ”

“ขอให้ภาวนาสำหรับผู้ที่รับผิดชอบและสำหรับผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจในเรื่องนี้” พระองค์วิงวอน “ขอให้พวกเขาได้พบกับวิธีที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหานี้”

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสยังทรงกล่าวถึงคนยากจนด้วย และทรงกล่าวว่าพระเยซูคริสต์ประทับอยู่กับพวกเขาเสมอ พระองค์ทรงเปรยว่าคนยากจนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของระบบเศรษฐกิจและการเงิน  พวกเขาอายเกินไปที่จะขอความช่วยเหลือ พระสันตะปาปาทรงรับรู้อย่างดีว่าพวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้อยู่รอดได้ถึงอย่างน้อยปลายเดือนแม้ว่าพวกเขาจะมีงานทำก็ตาม

ต่อจากนั้นสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเล่าเรื่องหนึ่ง ขณะที่พระองค์ดำรงตำแหน่งอาร์ชบิชอปแห่งกรุงบัวเนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตีนา

“ครั้งหนึ่งมีบุคคลบางคนมาบอกพ่อเกี่ยวกับโรงงานร้างแห่งหนึ่งที่มีครอบครัวประมาณ 15 ครอบครัวอาศัยอยู่ในสองสามเดือนที่ผ่านมา พ่อจึงไปที่นั่น” พระองค์ตรัสโดยจำได้ว่า “เวลานั้นภายในมีครอบครัวที่มีเด็กๆอยู่ด้วย แต่ละคนยึดเอาส่วนหนึ่งของโรงงานนั้นเป็นที่พักอาศัย  เมื่อเข้าไปใกล้ๆพ่อเห็นว่าทุกครอบครัวมีเฟอร์นิเจอร์ที่สวยงาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนชั้นกลาง ทุกครอบครัวมีโทรทัศน์ แต่พวกเขาพากันมาจับจองอาศัยที่นั่นเพราะว่าพวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน”

พระสันตะปาปาทรงเล่าต่อ “พวกเขาเหล่านี้เป็นคนยากจนรุ่นใหม่ที่ถูกบังคับให้ต้องทิ้งบ้านเรือน เพราะว่าไม่สามารถที่จะจ่ายค่าเช่า  นี่เป็นความอยุติธรรมของระบบเศรษฐกิจ และระบบการเงินที่ทำให้พวกเขาต้องเป็นเช่นนั้น”

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงย้ำว่าพระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่ในหมู่คนยากจนเสมอโดยเตือนใจว่า “คำถามแรกของพระเยซูคริสต์ในวันพิพากษาคือ “ท่านได้ปฏิบัติต่อคนยากจนอย่างไร?  ท่านให้อาหารพวกเขาหรือเปล่า?  ท่านไปเยี่ยมพวกเขาในคุก หรือในโรงพยาบาลหรือเปล่า? ท่านได้ช่วยบรรดาหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าบ้างไหม?   เพราะว่าเราเองประทับอยู่ที่นั่น”

สมเด็จพระสันตะปาปากล่าวว่าพวกเราจะถูกพิพากษา “ตามความสัมพันธ์ที่พวกเรามีกับคนยากจน”

พระสันตะปาปาตรัสอีกว่า “หากพ่อไม่เห็นคนยากจนอยู่ในสายตาในทุกวันนี้ และปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง ทำราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตน  พระเยซูคริสต์ก็จะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ในวันพิพากษาเช่นกัน”

เมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ท่านจะมีคนจนอยู่กับท่านเสมอ” หรืออีกนัยหนึ่ง “เราจะอยู่กับท่านในคนยากจน เราจะประทับอยู่ที่นั่น”  พระสันตะปาปาตรัสพร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า “นี่ไม่ใช่เป็นการกระทำแบบคอมมิวนิสต์”

พระองค์ตรัสว่านี่คือจุดศูนย์กลางแห่งพระวรสาร “พวกเราจะถูกพิพากษาตามนี้” ก่อนจบสมเด็จพระสันตะปาปาทรงเตือนใจประชาสัตบุรุษให้มีส่วนร่วมในความเป็นหนึ่งเดียวกันฝ่ายจิต ในเวลาแห่งวิกฤตนี้ และลงท้ายด้วยการอวยพรศีลมหาสนิท

ต่อไปนี้เป็นบทภาวนาของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันฝ่ายจิต

 ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ลูกขอกราบลง ณ แทบพระบาทาของพระองค์ ลูกขอมอบการเป็นทุกข์ถึงบาปแด่พระองค์ด้วยความเสียใจจริงจากหัวใจของลูกซึ่งมัวแต่สาละวนอยู่กับสิ่งที่ไร้ค่าเรื่องราวไร้สาระต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์  ลูกขอนมัสการพระองค์ในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความรักของพระองค์  ลูกปรารถนาที่จะรับพระองค์  ในขณะที่รอความสุขแห่งศีลมหาสนิทลูกปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรับพระองค์ทางจิต  ข้าแต่พระเยซูคริสต์ โปรดเสด็จมายังลูกเพื่อว่าลูกจะเข้าไปหาพระองค์  ขอให้ความรักของพระองค์เผาไหม้ตัวลูกทั้งในชีวิตและในความตาย  ลูกเชื่อในพระองค์ ลูกไว้วางใจในพระองค์ ลูกรักพระองค์  อาแมน

บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (ฉบับเต็ม)

ข้อความตอนนี้ลงเอยด้วยข้อสังเกต: ดังนั้นหัวหน้าสมณะวางแผนที่จะฆ่าลาซารัสด้วย เนื่องจากเพราะตัวลาซาลัสชาวยิวหลายคนจากไป และเชื่อในพระเยซูคริสต์” (ยน. 12: 10-11) วันก่อนพวกเราพบข้อความเรื่องการล่อลวง เป็นการล่อลวงเบื้องต้น เป็นการหลอกลวง แล้วค่อยๆรุนแรงขึ้น นี่เป็นข้อความที่สอง ส่วนข้อความตอนที่สามมีความรุนแรงเพิ่มยิ่งขึ้น สร้างผลกระทบและสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง ทว่ายังมีอีกข้อความหนึ่ง ยังคงดำเนินต่อไป ไม่ยอมหยุด ไม่เพียงพอสำหรับสิ่งเหล่านี้ที่เอาเรื่องราวกับพระเยซูคริสต์ให้ถึงตาย แต่บัดนี้ลาซารัสก็พลอยโดนไปด้วย เพราะว่าเขาเป็นประจักษ์พยานแห่งชีวิต

        วันนี้พ่อปรารถนาที่จะหยุดอยู่ที่พระดำรัสของพระเยซูคริสต์ หกวันก่อนวันปัสกา ซึ่งความจริงพวกเราอยู่แทบปากประตูของมหาทรมาน มารีย์และมาร์ธาน้องสาวสองคนของลาซาลัส มารีย์มีอากัปกริยาแห่งการพิศเพ่ง  มาร์ธากำลังรับใช้ อย่างข้อความในอีกตอนหนึ่ง มารีย์เปิดประตูสู่การพิศเพ่ง  ฝ่ายยูดาสคิดถึงแต่เงินและแสร้งคิดถึงคนยากจน  ไม่ใช่ว่าเขาห่วงคนยากจนหรือไม่ก็ตาม แต่เพราะว่าเขาเป็นขโมย เนื่องจากเขาเป็นคนถือถุงเงิน เขามักจะยักยอกเงินจากถุงนั้น (เทียบ ยน. 12: 6)  เรื่องเล่าผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์นี้เหมาะกับกาลเวลาเสมอ  เรื่งราวเช่นนี้ปรากฏอยู่เสมอ แม้ในระดับสูง  พวกเราคิดถึงบางองค์กรกุศล และองค์กรมนุษยธรรมซึ่งมีบุคคลที่อุทิศตนอย่างจริงจังมากมาย หลายองค์กรมีโครงสร้างที่มั่งคั่งมาก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่คนยากจนได้รับความช่วยเหลือจริงมีเพียงแค่ 40% เพราะอีก 60% ต้องจ่ายค่าจ้างผู้คนจำนวนมาก  เป็นวิธีหนึ่งที่คล้ายๆยักยอกเอาเงินไปจากคนยากจน แต่พระเยซูคริสต์คือคำตอบ  พ่อประสงค์ที่หยุดข้อคิดอยู่ตรงนี้: “ความจริงแล้วท่านจะมีคนยากจนอยู่กับท่านเสมอ และมีจำนวนมากมายด้วย  มีคนยากจนที่พวกเรามองเห็นได้ แต่นี่เป็นส่วนที่เล็กน้อยที่สุด ปริมาณส่วนใหญ่ของคนยากจนเป็นบุคคลที่พวกเรามองไม่เห็น เป็นคนยากจนที่ถูกซ่อนเร้น  พวกเรามองไม่เห็นพวกเขาเพราะว่าพวกเราเข้าสู่วัฒนธรรมแห่งการเพิกเฉย วัฒนธรรมแบบธุระไม่ใช่ ซึ่งพวกเรามักปฏิเสธว่า “เปล่า เปล่า คนยากจนไม่มีมากขนาดนั้น พวกเราไม่เหนพวกเขา… พวกเรามักลดความจริงเสมอ  แต่จริงๆแล้วมีคนยากจนอยู่มากมาย ดาษดื่นมากมายจริงๆ

        แม้ว่าพวกเราไม่ได้ตกอยู่ในวัฒนธรรมที่ไม่รู้จักร้อนรู้จักหนาวนี้ พวกเราก็มักมีนิสัยที่จะมองคนยากจนว่าเป็นเครื่องประดับของเมือง ใช่แล้ว พวกเขาอยู่ที่นั่นเหมือนรูปปั้น ใช่แล้ว พวกเราเห็นพวกเขา ใช่เลย หญิงชราคนนั้นเป็นขอทาน… แต่ดูเหมือนว่านี่เป็นเรื่องปกติ เป็นเครื่องประดับส่วนหนึ่งของสังคมเมืองที่ต้องมีคนยากจน  ทว่าคนยากจนส่วนใหญ่ต้องตกเป็นเหยื่อของนโยบายเศรษฐกิจและการเงิน  จากสถิติเมื่อไม่นานมานี้ สรุปไว้ดังนี้: มีเงินอยู่มากมายในมือของคนรวยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

และมีความยากจนในเพื่อนมนุษย์จำนวนมหาศาล นี่เป็นความยากจนของคนจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อของโครงสร้างที่ไร้ความยุติธรรมแห่งเศรษฐกิจโลก  มีคนจนจำนวนมากมายต้องอับอายที่จะบอกว่าพวกเขามีไม่เงินพอกินจนสิ้นเดือน  มีคนยากจนจำนวนมากจากชนชั้นกลาง แอบย่องไปหาหน่วยงาน “การีตัส” โดยขอร้องให้ช่วยเป็นการส่วนตัว เพราะเขารู้สึกอาย คนยากจนมีจำนวนมากกว่าคนรวยหลายร้อยเท่า…  และสิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสนั้นเป็นความจริง

        “ความจริงแล้วท่านจะมีคนยากจนอยู่กับท่านเสมอ” แต่ว่าฉันมองเห็นพวกเขาบ้างไหม?  ฉันยอมรับรู้ถึงความจริงนี้ไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงทีซ่อนเร้นอยู่ คนเหล่านั้นที่เขารู้สึกอายที่จะพูดว่า พวกเขาไม่สามารถชักหน้าถึงหลังจนกระทั่งสิ้นเดือน? พวกเขาไม่มีเงินพอแม้แต่จะกินจนถึงสิ้นเดือน

        พ่อจำได้ดีว่าที่บัวโนสไอเรส มีคนบอกพ่อว่าว่า ภายในตึกของโรงงานร้างที่ว่างเปล่ามาเป็นเวลาหลายปีได้ถูกจับจองเป็นที่อยู่อาศัยของสมาชิกครอบครัว 15 ครอบครัว ซึ่งพวกเขามาอาศัยในสองสามเดือนที่แล้ว พ่อจึงไปที่นั่น เป็นครอบครัวที่มีเด็กๆลูกหลานอยู่ด้วย แต่ละคนจับจองที่ส่วนหนึ่งของโรงงานที่ว่างเปล่านั้นเป็นที่พักอาศัย เมื่อมองไปรอบๆพ่อรู้สึกแปลกใจที่สังเกตเห็นว่าทุกครอบครัวมีเฟอร์นิเจอร์ที่สวยงาม มีโทรทัศน์ พวกเขาเป็นคนชั้นกลาง  พวกเขาไปอาศัยที่นั้นเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าเช่าบ้าน  พวกเขาเป็นคนจนรุ่นใหม่ที่ต้องจากบ้านไปเพราะไม่สามารถจ่ายค่าเช่า  พวกเขาไม่มีเงินพอ เป็นความอยุติธรรมขององค์กรเศรษฐกิจและระบบการเงินที่นำพวกเขาไปอยู่ที่นั่น และคนประเภทนี้มีอยู่มากมาย.. ทำให้คิดถึงวันที่พวกเราจะพบพวกเขาในวันพิพากษา คำถามแรกที่พระเยซูคริสต์จะถามคือ “ท่านจัดการและใส่ใจดูแลอย่างไรกับคนยากจน? ท่านให้อาหารพวกเขารับประทานหรือเปล่า? เมื่อพวกเขาอยู่ในเรือนจำท่านเคยไปเยี่ยมพวกเขาบ้างหรือเปล่า?  ท่านไปเยี่ยมพวกเขาที่โรงพยาบาลบ้างหรือเปล่า?  ท่านเคยช่วยบรรดาแม่หม้ายและเด็กกำพร้าหรือเปล่า?  เพราะว่าเราอยู่ที่นั่น”  เราจะถูกพิพากษาในเรื่องเหล่านี้  พวกเราจะไม่ถูกพิพากษาสำหรับความฟุ้งเฟ้อ ความร่ำรวยและการเดินทางหรืองานทางสังคมที่พวกเรามี  แต่พวกเราจะถูกพิพากษาในเรื่องความสัมพันธ์ที่พวกเรามีกับคนยากจน  ถ้าหากวันนี้ฉันมองข้ามหัวคนยากจน ฉันปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง ฉันละเลย ฉันเสแสร้งคิเองไปว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น เมื่อนั้นแหละพระเยซูคริสต์จะมองไม่เห็นหัวของผู้นั้นในวันพิพากษา  เมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ท่านจะมีคนยากจนอยู่กับท่านเสมอ” พระองค์หมายความว่า “เราจะอยู่กับท่านในคนยากจนเสมอ  เราประทับอยู่ที่นั่น”  และนี่ไม่ใช่เป็นคอมมิวนิสต์ นี่คือศูนย์กลางแห่งพระวรสาร พวกเราจะถูกพิพากษาด้วยเรื่องนี้อย่างแน่นอน

        ก่อนจากวัดน้อยซึ่งยกถวายให้กับองค์พระจิต มีการขับร้องบทเพลงแม่พระที่เก่าแก่ Ave Regina Caelorum

        “ข้าแต่พระราชินีสวรรค์ พระราชินีแห่งทูตสวรรค์ ประตูและรากฐานแห่งความรอด โปรดนำแสงสว่างมาสู่โลก ข้าแต่พรหมจารีผู้ชื่นชมยินดี และทรงพระสิริรุ่งโรจน์และสวยงามยิ่งกว่าสตรีใดๆ ข้าแต่พระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดวิงวอนพระเยซูคริสต์เพื่อพวกลูกด้วยเทอญ”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศ์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรองเพื่อการใส่ใจต่อคนยากจน)