Skip to content

ท่ามกลางโรคระบาดขอให้กล้าเชื่อว่าพระเจ้าผู้ทำนุบำรุงรักษา
จะประทานความบรรเทาให้กับพวกท่าน

บทเทศน์วันอาทิตย์ใบลาน วันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2020

ท่ามกลางการแพร่ของโรคระบาดพระเยซูคริสต์ตรัสกับเราทุกคนในขณะที่พวกเราอาจรู้สึกโดดเดี่ยว และสิ้นหวัง ขอให้พวกเรามีความกล้าหาญ พระเจ้าผู้ที่คอยบำรุงรักษาท่านจะให้ความบรรเทาพวกท่าน

ก่อนอาทิตย์ปัสกาหนึ่งสัปดาห์พอดีสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงตรัสคำบรรเทาใจเหล่านี้ เพื่อเตือนใจบรรดาสัตบุรุษที่ชมรายการถ่ายทอดพิธีมิสซาว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงเจริญชีวิตในความรู้สึกที่ตนถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นเชิงในการทรมานก็เพื่อที่ทรงประทับอยู่อย่างใกล้ชิดกับพระบิดาเจ้า

บทเทศน์ของพระสันตะปาปาในมหาวิหารนักบุญเปโตรที่ไม่มีสัตบุรุษเข้าร่วมเนื่องจากการระมัดระวังติดเชื้อเชื้อไวรัส ที่ทำให้สัตบุรุษส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน  สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสว่า พวกเราต้องไม่กลัวหรือมัวแต่พะวงอยู่แต่ในสิ่งที่พวกเราผิดพลาดในชีวิตของเรา หรือ ดำเนินชีวิตอย่างที่ตนคุ้นเคย แต่ขอให้รับรู้ว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่กับพวกเราเสมอ พร้อมกับพระองค์พวกเราจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง

        ต่อไปนี้เป็นบทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (ฉบับเต็ม) ที่เผยแพร่โดยสำนักข่าววาติกัน

        พระเยซูคริสต์ “ทรงทำตนเองว่างเปล่าและยอมรับสภาพทาส” (ฟป. 2: 7) จงยอมให้คำพูดของนักบุญเปาโลกนำพวกเราไปในวันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เมื่อพระวาจาของพระเจ้าแสดงให้พวกเราเห็นว่าพระองค์เป็นดุจคนรับใช้ในวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าดุจคนรับใช้ที่ล้างเท้าอัครสาวก ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์พระองค์แสดงให้พวกเราเห็นว่าพระองค์ดุจผู้ที่ได้รับการทรมาน และเป็นผู้รับใช้ที่มีชัยชนะ (เทียบ อสย. 52: 13) และพรุ่งนี้ (วันจันทร์สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์) พวกเราจะได้ฟังคำทำนายของประกาศกอิสยาห์เกี่ยวกับพระองค์ “นี่คือผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเราเชิดชู” (อสย. 42: 1) พระเจ้าทรงช่วยให้พวกเรารอดด้วยการรับใช้พวกเรา บ่อยๆครั้งพวกเราคิดว่า พวกเราคือผู้ที่รับใช้พระเจ้า เปล่าเลย พระองค์ทรงเลือกสรรพวกเราอย่างเป็นอิสระ เพื่อที่รับใช้พวกเรา เพราะว่าพระองค์ทรงรักพวกเราก่อน นี่เป็นการยากที่จะรักและไม่ได้รับการรักตอบ และก็จะยากขึ้นไปอีกที่จะรับใช้ หากพวกเราไม่ยอมให้ตัวของเราได้รับการรับใช้จากพระเจ้า

พระเยซูคริสต์าทรงรับใช้พวกเราอย่างไร?  โดยการมอบชีวิตของพระองค์ให้แก่พวกเรา พวก เราเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักอย่างมาก พวกเรามีคุณค่า ราคาสูงมากสำหรับพระองค์  นักบุญอังเยลาแห่งโฟลีโญกล่าวว่าครั้งหนึ่งเธอได้ยินพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ความรักของเราต่อเธอนั้นไม่ใช่เรื่องตลก” ความรักของพระองค์ต่อพวกเรานำให้พระองค์อุทิศตนเองและรับบาปทั้งหมดของพวกเราไว้กับพระองค์  นี่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้พวกเราแปลกใจ: เพื่อเป็นการลงโทษบาปของพวกเรา พระเจ้าทรงรับแบกบาปของพวกเราทั้งหมดไว้กับพระองค์โดยไม่ปริปากบ่น แต่ด้วยความสุภาพ ถ่อมตน อดทน และนบนอบดุจผู้รับใช้  พระองค์ไม่ได้สลัดความชั่วร้ายที่บดขยี้พระองค์ แต่ทรงยอมรับอย่างเข้มแข็งในความทรมานเพื่อความดีจะได้ชนะต่อความชั่วของพวกเราอาศัยความรักจนถึงที่สุด

พระเยซูคริสต์ทรงรับใช้พวกเราจนกระทั่งพระองค์ประสบกับสถานการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดจากผู้ที่พระองค์ทรงรัก นั่นคือการทรยศละการถูกทอดทิ้ง

        การทรยศ  พระเยซูคริสต์ถูกทรยศจากศิษย์ที่ปฏิเสธและขายพระองค์  พระองค์โดนทรยศจากผู้คนที่ร้องชัยโยแด่พระองค์ แล้วตะโกนภายหลังว่า “เอาไปตรึงบนไม้กางเขน” (มธ. 27: 22)  พระองค์โดนทรยศจากสถาบันนักบวชที่ประณามพระองค์อย่างไม่ชอบธรรม และจากสถาบันการเมืองที่ล้างมือไม่ยุ่งเกี่ยวกับพระองค์  พวกเราสามารถคิดถึงการทรยศต่างๆทั้งเล็กและใหญ่ที่พวกเราได้รับความทุกข์ในชีวิต เป็นเรื่องน่ากลัวที่พบว่าความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้กันอย่างมั่นคงนั้นถูกทรยศ  พวกเรารู้สึกความผิดหวังที่พุ่งออกมาจากหัวใจที่สามารถทำให้ชีวิตขาดความหมายได้  สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะว่าพวกเราเกิดมาเพื่อที่จะถูกรักและเพื่อรัก และสิ่งที่เจ็บปวดมากที่สุด นั่นคือการที่ถูกทรยศจากคนที่สัญญาว่าจะจงรักภักดีและใกล้ชิดกับพวกเรา  พวกเราไม่อาจจินตนาการได้ว่าพระเจ้าผู้ที่ทรงรักพวกเรานั้นจะมีความเจ็บปวดสักปานใด

ขอให้พวกเรามองดูภายในตัวของเรา หากพวกเราซื่อสัตย์กับตนเอง พวกเราจะเห็นความไม่ซื่อสัตย์มากมายของเราเอง  กี่ครั้งมาแล้วที่พวกเราพูดเท็จ หน้าไหว้หลังหลอก มีชีวิตแบบสองมาตรฐาน!  กี่ครั้งแล้วที่พวกเราทรยศต่อคำสัญญาของพวกเรา! กี่ครั้งแล้วที่พวกเราละเลยปฏิบัติตามความตั้งใจดีของเรา! พระเยซูคริสต์ทรงทราบหัวใจของพวกเราดีกว่าตัวเราเองเสียอีก พระองค์ทรงทราบว่าพวกเราอ่อนแอ และเป็นคนที่ไม่จริงจังสักเพียงใด พวกเราหกล้มมาแล้วกี่ครั้ง เป็นการยากเพียงใดที่พวกเราจะลุกขึ้นมาใหม่  เป็นการยากเพียงใดที่จะเยียวยาบาดแผลบางอย่างในตัวของเรา  พระองค์ทรงกระทำสิ่งใดที่เสด็จมาช่วยพวกเราและรับใช้พวกเรา?  พระองค์บอกพวกเราโดยผ่านทางประกาศกว่า “เราจะเยียวยาความซื่อสัตย์ของเขา เราจะรักพวกเขาอย่างที่สุด” (ฮชย. 14: 5) พระองค์ทรงเยียวยาพวกเราด้วยการแบกความไมซื่อสัตย์ของพวกเราไว้บนบ่าของพระองค์ และทรงนำเอาการทรยศของพวกเราออกไป ตรงกันข้ามกับการหมดกำลังใจเพราะความกลัวที่จะล้มเหลวอีก บัดนี้พวกเราสามารถพิศเพ่งไปยังไม้กางเขน พวกเราจะรู้สึกว่าพระองค์กำลังสวมกอดพวกเราและขอให้พวกเรากล่าวกับพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเยซูคริสต์ แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ซื่อสัตย์ แต่พระองค์ก็ยังทรงรับมันไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงกางพระหัตถ์ต้อนรับข้าพเจ้า พระองค์ทรงรับใช้ข้าพเจ้าด้วยความรัก พระองค์ยังคงคอยให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้า…ดังนั้น ข้าพเจ้าจะพยายามต่อไป”

การถูกทอดทิ้ง  ในพระวรสารวันนี้พระเยซูคริสต์ตรัสคำหนึ่งจากไม้กางเขน คำเดียวเท่านั้น “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า เหตุใดพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า?” (มธ. 27: 46) นี่เป็นคำพูดที่แรงมาก พระเยซูคริสต์ทุกข์ทรมานจากการถูกทอดทิ้งจากคนของพระองค์เองซึ่งหนีพระองค์ไป แต่พระบิดาเจ้ายังทรงประทับอยู่กับพระองค์  บัดนี้ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวแห่งความสันโดษเป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงเรียกหา “พระเจ้า” และ “ด้วยเสียงอันดัง” พระองค์ทรงถามคำถามที่ทรมานใจเป็นที่สุด “เพราะเหตุใด”  “เหตุใดพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า?”  ความจริงแล้วคำพูดเหล่านี้มีอยู่แล้วในบทเพลงสดุดี (เทียบ สดด. 22: 2) ซึ่งบอกพวกเราว่าพระเยซูคริสต์ทรงนำเอาประสบการณ์แห่งการสินหวังอย่างที่สุดมาสู่การอธิษฐานภาวนาของพระองค์ด้วย แต่ด้วยความจริงพระองค์ทรงมีประสบการณ์กับการสิ้นหวังนั้น พระองค์ทรงประสบกับความสิ้นหวังที่รุนแรงที่สุด พระวรสารยืนยันโดยการอ้างถึงคำพูดว่า: เอลี เอลี ลามา ซาบักตานี ?

เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น? ขอย้ำอีกครั้ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพวกเรา เพื่อที่ช่วยให้พวกเราได้รอด  เพื่อว่าเมื่อพวกเราหลังชนกำแพง เมื่อพวกเราหาทางออกในชีวิตไม่พบ ไม่มีแสงสว่างในชีวิต ไม่มีหนทางหนีอีกแล้ว เมื่อชีวิตดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ตอบสนอง พระเจ้าหายไปไหน พวกเราควรจำไว้ว่าพวกเราไม่ได้อยู่ตามลำพัง  พระเยซูคริสต์ทรงมีประสบการณ์กับการถูกทอดพทิ้งอย่างสิ้นเชิงในสถานการณ์ที่พระองค์ไม่เคยประสบมาก่อน เพื่อจะได้เป็นบุคคลหนึ่งในพวกเราและในทุกสิ่งทุอย่าง  พระองค์ทรงกระทำไปเพื่อตัวฉันเอง เพื่อพวกท่าน เพื่อจะบอกพวกเราว่า “จงอย่ากลัว ท่านไม่ได้อยู่ตามลำพัง เพราะเรามีประสบการณ์ความสิ้นหวังทุกอย่างของท่านมาก่อนแล้วเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับพวกท่านมากขึ้น”  นั่นคือจุดสุดยอดที่พระเยซูคริสต์ช่วยให้พวกเรารอด พระองค์เสด็จสู่ห้วงลึกแห่งความทุกข์อันขมขื่นของพวกเรา ซึ่งลงท้ายด้วยการถูกทรยศและถูกทอดทิ้ง  ในวันนี้ท่ามกลางวิบัติแห่งการแพร่โรคระบาดท่ามกลางการโฆษณาชวนเชื่อในความปลอดภัยรูปแบบเท็จเทียมต่างๆ ซึ่งต่างล้มเหลว ท่ามกลางความหวังหลายอย่างที่ถูกทำลายไป ในมิติแห่งการถูกทอดทิ้งที่ทำให้หัวใจของพวกเราหนักอึ้ง  พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเราแต่ละคนว่า “จงกล้าหาญ จงเปิดหัวใจให้กับความรัก ท่านจะรู้สึกความบรรเทาใจจากพระเจ้า ผู้ซึ่งคอยทำนุบำรุงรักษาพวกท่าน”

ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก  พวกเราสามารถทำอะไรได้บ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับความรักของพระเจ้าฐานะผู้รับใช้พวกเราจนกระทั่งถูกทรยศและถูกทอดทิ้ง?  พวกเราสามารถปฏิเสธ จะทรยศต่อพระองค์ผู้ทรงสร้างพวกเรามา และจะไม่ทอดทิ้งสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเรา  พวกเราถูกสร้างขึ้นมาในโลกนี้เพื่อที่จะรักพระองค์และรักเพื่อนพี่น้องของเรา แม้สิ่งอื่นๆจะผ่านไป แต่สิ่งนี้เท่านั้นที่จะคงอยู่คือความรัก  วิบัติจากโรคร้ายที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่นี้เตือนใจให้พวกเราต้องเอาจริงกับสิ่งที่พวกเราควรจะเอาจริงอาจัง  แล้วไม่ไปลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่จำเป็น เพื่อที่จะได้ค้นพบใหม่ว่า ชีวิตจะไม่มีประโยชน์อันใดหากไม่ใช้ไปในการรับใช้ผู้อื่น  เพราะว่าชีวิตจะถูกวัดด้วยมาตรการแห่งความรัก  เพราะฉะนั้นในวันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ภายในบ้าน ที่พักอาศัยของพวกเรา  ขอให้พวกเรายืนอยู่ต่อหน้าไม้กางเขน พระเยซูผู้ถูกตรึงเป็นมาตรการสูงสุดแห่งความรักของพระเจ้าต่อพวกเรา และต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงรับใช้พวกเราจนกระทั่งมอบชีวิตของพระองค์ให้แก่พวกเรา ขอให้พวกเราวิงวอนขอพระหรรษทานที่จะเจริญชีวิตเพื่อการรับใช้  ขอให้พวกเราออกไปพบผู้ที่กำลังทนทุกข์ และผู้ที่มีความเดือดร้อนมากที่สุด  ขอให้พวกเราอย่ามัวแต่กังวลครุ่นคิดเพียงสิ่งที่พวกเราขาดเหลือ แต่ขอให้ใส่ใจว่าพวกเราจะทำความดีอันเป็นคุณประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้อย่างไรบ้าง?

นี่คือผู้รับใช้ของเราที่เราเชิดชู พระบิดาเจ้าผู้ทรงทำนุบำรุงพระเยซูคริสต์ ในมหาทรมานของพระองค์ก็ทรงสนับสนุนในความพยายามของพวกเราที่จะรับใช้ด้วย  ต้องรัก ต้องให้อภัย ต้องดูแลผู้อื่นในครอบครัวและในสังคม สิ่งเหล่านี้แน่นอนว่าอาจเป็นเรื่องยาก พวกเราอาจรู้สึกเหมือนกับการเดินรูป 14 ภาค แต่หนทางแห่งการรับใช้เป็นชัยชนะ และเป็นหนทางแห่งการมอบชีวิตซึ่งพวกเราได้รับความรอด  พ่อปรารถนาที่จะกล่าวเช่นนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อบรรดาเยาวชนในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่มอบให้กับพวกเขาเป็นเวลา 35 ปีมาแล้ว     ลูกๆที่รัก จงมองไปยังบรรดาวีรชนที่แท้จริง ซึ่งมีดวงตาสว่างในวันเหล่านี้  พวกเขาไม่ใช่เป็นคนที่มีชื่อเสียง ร่ำรวย หรือเป็นคนที่ประสบกับความสำเร็จ  ตรงกันข้ามพวกเขาเป็นบุคคลที่อุทิศตนเองเพื่อรับใช้ผู้อื่น  ขอให้รู้สึกว่าตนก็ถูกเรียกเช่นเดียวกันให้ใช้ชีวิตทำนองนี้  จงอย่ากลัวในการมอบชีวิตของพวกท่านให้แก่พระเจ้าและแก่ผู้อื่น นี่เป็นสิ่งคุ้มค่าจริงๆ!  เพราะชีวิตเป็นของขวัญที่พวกเราได้รับก็ต่อเมื่อพวกเราให้ชีวิตรับใช้ผู้อื่น ความชื่นชมยินดีสูงสุดของพวกเราจะมาจากการที่กล่าวว่า กระผม/ดิฉันยินดีที่จะรักและรับใช้ โดยไม่มีเงื่อนไข คำว่า “ถ้า” หรือ “แต่ว่า” เฉกเช่นที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำต่อพวกเรา และพวกเราคือศิษย์ของพระองค์

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)