บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
โอกาสสถาปนานักบุญใหม่ พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6
อาร์ชบิชอปออสการ์ โรเมโร และอีก 5 ท่าน
“พระเยซูคริสต์ทรงประทานทุกสิ่งให้แก่เราและทรงเรียกร้องทุกสิ่งจากเรา พระองค์ประทานความรักบริบูรณ์แก่เราและทรงขอให้เรามอบดวงใจแด่พระองค์โดยไม่มีการแบ่งให้ผู้ใด พระองค์ทรงประทานพระองค์เองให้เป็นปังทรงชีวิตแก่เรา เราจะมอบเศษปังเป็นการตอบแทนพระองค์บ้างได้ไหม?”
วันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 2018
เช้าวันนี้ที่จตุรัสของมหาวิหารนักบุญเปโตรสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณเพื่อแต่งตั้งนักบุญใหม่7 องค์ต่อหน้าฝูงชนเกือบ 80,000 คน
นี่เป็นบทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสในโอกาสดังกล่าว
***
บทอ่านที่สองบอกเราว่า “พระวาจาของพระเจ้าทรงชีวิตและกระทำการ คมยิ่งกว่าดาบสองคม (ฮบ. 4: 12) นี่เป็นเช่นนั้นจริง พระวาจาของพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงความจริงบางอย่างหรือเป็นเรื่องเล่าเพื่อจรรโลงจิตใจหาเป็นเช่นนั้นไม่แต่เป็นวาจาทรงชีวิตที่มีผลต่อชีวิตของเรา ที่เปลี่ยนชีวิตเรา พระวาจาดังกล่าวเป็นพระเยซูคริสต์เองผู้ทรงเป็นพระวจนะทรงชีวิตของพระเจ้าตรัสต่อหัวใจของเรา
พระวรสารเชื้อเชิญเราให้ไปสัมผัสกับพระเจ้าเป็นพิเศษตามแบบฉบับของ “ชายหนุ่ม” ผู้ซึ่ง “รีบวิ่งไปหาพระองค์” (เทียบ มก. 10: 17) เราสามารถเป็นดุจชายผู้นั้นซึ่งพระวรสารไม่ได้บอกชื่อราวกับเสนอว่าชายผู้นั้นเป็นตัวแทนเราแต่ละคน เขาถามพระเยซูเจ้าว่าต้องทำอย่างไร “จึงจะได้ชีวิตนิรันดร”? (ข้อ17) เขากำลังแสวงหาชีวิตที่ไม่มีวันจบสิ้น ชีวิตที่ครบครันสมบูรณ์แบบ แล้วมีใครเล่าในพวกเราที่ไม่ต้องการสิ่งนี้? แต่เราจะสังเกตได้ว่าชายผู้นั้นขอให้เป็นทรัพย์มรดกซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่จะได้ ที่จะเอาชนะด้วยความพยายามของตนเอง ความจริงแล้วเพื่อที่จะได้สิ่งนี้มาเขาปฏิบัติตามพระบัญญัติทุกประการตั้งแต่เป็นหนุ่ม และเพื่อที่จะได้สมบัตินี้มาเขาพร้อมที่จะติดตามไป ดังนั้นเขาจึงถามว่า “เพื่อที่จะได้ชีวิตนิรันดรข้าพเจ้าต้องทำอย่างไร”?
คำตอบของพระเยซูเจ้าทำให้เขาตกตลึงจนตั้งตัวไม่ทัน พระเยซูทรงจ้องไปที่เขาและทรงรักเขา (เทียบ ข้อ21) พระเยซูคริสต์ทรงเปลี่ยนเรื่องทันทีจากการปฏิบัติตามพระบัญญัติไปสู่การให้รางวัล สู่ความรักที่เป็นอิสระและสมบูรณ์ ชายคนนั้นพูดในทำนองการตอบสนองและความต้องการ แต่พระเยซูทรงเสนอเรื่องความรักให้กับเขา พระองค์ขอให้เขาผ่านจากการถือพระบัญญัติเป็นของขวัญแห่งตัวตนเอง จากการกระทำเพื่อตนเองเป็นการอยู่พร้อมกับพระเจ้า พระองค์เสนอให้ชายผู้นั้นดำเนินชีวิตแบบสั้นๆและรวดเร็วทันทีว่า “จงขายทุกสิ่งที่ท่านมีมอบให้คนจนแล้วติดตามเรามา” (ข้อ21) กับท่านก็เช่นเดียวกัน พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามา” การมาไม่ใช่เป็นการยืนนิ่งเฉย เพราะไม่พอที่ไม่กระทำความชั่วเพื่อที่จะอยู่กับพระเยซู “การตามเรามา” ไม่ใช่เป็นการเดินตามพระเยซูไม่ใช่เฉพาะเมื่อท่านอยาก แต่ต้องเป็การแสวงหาพระองค์ทุกวัน จงอย่าพอใจเพียงแค่ถือพระบัญญัติ ที่จะทำบุญให้ทานเพียงนิดหน่อย สวดภาวนาเล็กน้อย จงพบพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าที่รักท่านเสมอ จงแสวงหาพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นความหมายสำหรับชีวิตของท่าน เป็นพระเจ้าที่ประทานพละกำลังให้กับท่านเพื่อที่จะมอบตัวท่านเองแก่พระองค์
พระเยซูคริสต์ยังตรัสอีกว่า “จงขายสิ่งที่ท่านมีแล้วเอาไปมอบให้กับคนยากจน” พระองค์ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงทฤษฎีของความยากจนและความร่ำรวย แต่ตรัสตรงไปที่ชีวิต พระองค์ทรงขอร้องให้ท่านสลัดสิ่งที่ถ่วงดวงใจของท่านไว้เบื้องหลัง ทำให้ตัวท่านว่างเปล่าจากทรัพย์สินเงินทองเพื่อเปิดพื้นที่สำหรับพระองค์ผู้ทรงเป็นความดีแต่สิ่งเดียว เราไม่สามารถติดตามพระเยซูเจ้าได้หากเราไม่มีพื้นที่สำหรับพระเยซูเมื่อใจเราหนักอึ้งกับเรื่องราวทางโลก เพราะหากดวงใจเรามีแต่เรื่องทรัพย์สมบัติเราจะไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับพระเยซูผู้ทรงเป็นสิ่งหนึ่งท่ามกลางสิ่งต่างๆ เพราะเหตุนี่ความร่ำรวยจึงเป็นอันตราย นี่คือพระดำรัสของพระเยซู ความร่ำรวยจึงเป็นเรื่องยากสำหรับความรอด นี่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงเข้มงวด เปล่าเลย! ปัญหาอยู่ที่ตัวเรามีมากเกินไป ความอยากมีไม่รู้จบสิ้นของเราทำให้ใจเราสำลักแล้วทำให้เราไม่สามารถที่จะรัก เพราะฉะนั้นนักบุญเปาโลจึงเขียนไว้ว่า “การรักเงินทองคือรากเหง้าแห่งพยศชั่วทั้งปวง” ตธ. 6: 10) เราจะพบกับประเด็นนี้ได้เมื่อเราเอาเงินเป็นศูนย์กลาง จะไม่มีที่ว่างทั้งสำหรับพระเจ้าและมนุษย์
พระเยซูทรงเป็นผู้ติดดิน พระองค์ประทานทุกสิ่งและทรงเรียกร้องทุกสิ่ง พระองค์ทรงประทานความรักบริบูรณ์และทรงขอคืนดวงใจที่ไม่มีการแบ่งปันให้กับผู้ใดหรือสิ่งใด แม้ทุกวันนี้พระองค์ทรงมอบพระองค์เองเป็นปังทรงชีวิตให้กับเรา เราจะมอบเศษปังให้กับพระองค์บ้างได้ไหม? เราไม่สามารถตอบสนองให้กับพระองค์ผู้ทรงทำตนเป็นผู้รับใช้จนกระทั่งยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเรา แล้วเราปฏิบัติตามพระบัญญัติแต่เพียงบางประการเท่านั้นหรือ? เราไม่สามารถให้เวลากับพระองค์เพียงชั่วครู่ทั้งๆที่พระองค์ประทานชีวิตนิรันดรให้กับเราหรือ? พระเยซูไม่พอพระทัยเพียง “บางเปอร์เซนต์” จากความรักของเรา เราไม่อาจที่จะมอบความรักเพียง 20% 50% หรือ 60% แก่พระองค์ ต้องมอบความรักทั้งครบหรือไม่เลยแด่พระองค์
พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย หัวใจของเราเป็นเสมือนแม่เหล็ก ต้องยอมให้ตนเองถูกดึงดูดจากความรัก แต่ต้องยึดติดอยู่กับเจ้านายคนเดียวเท่านั้นแล้วต้องเลือกว่าจะรักพระเจ้าหรือจะรักทรัพย์สมบัติของโลก (เทียบ มธ. 6: 24) ต้องเลือกว่าจะมีชีวิตเพื่อความรักหรือเพื่อตนเอง (เทียบ มก. 8: 35) ให้ถามตัวเราเองว่าความรักของเรากับพระเจ้าอยู่ตรงไหน เราพอใจเพียงพระบัญญัติบางประการหรือเราติดตามพระเยซูในฐานะที่เรารักพระองค์พร้อมเสมอที่จะมอบอะไรบางอย่างให้กับพระองค์ พระเยซูทรงขอเราแต่ละคนและทุกคนในฐานะเป็นพระศาสนจักรที่กำลังเดินทาง เราเป็นพระศาสนจักรที่เอาแต่เทศน์พระบัญญัติหรือเป็นพระศาสนจักรที่เป็นเจ้าสาวของพระคริสตเจ้าที่ทุ่มเทตนเองให้กับความรักต่อพระเจ้า? เราติดตามพระองค์อย่างจริงจังหรือเราหวนกลับไปหาโลกเฉกเช่นชายผู้นั้นในพระวรสาร? พูดคำเดียวคือ พระเยซูแต่พระองค์เดียวเพียงพอสำหรับเราหรือเปล่าหรือว่าเราต้องแสวงหาความปลอดภัยต่างๆทางโลก? เราติดตามพระองค์อย่างจริงจังหรือว่าเราหันกลับไปยังหนทางของโลกเฉกเช่นชายผู้นั้นในพระวรสาร? พูดคำเดียวคือ พระเยซูพระองค์เดียวเพียงพอแล้วสำหรับเราหรือเราต้องแสวงหาความปลอดภัยอื่นๆของโลก? ให้เราวอนขอพระหรรษทานเสมอที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆไว้เบื้องหลังเพื่อเห็นแก่ความรักของพระคริสตเจ้า ทิ้งความร่ำรวยไว้เบื้องหลัง การต้องการมีหน้ามีตาในสังคมและอำนาจ ทิ้งโครงสร้างต่างๆที่ไร้ประโยชน์ในการประกาศพระวรสาร ทิ้งความหนักหน่วงเหล่านั้นที่ทำให้พันธกิจของเราล่าช้า ทิ้งเชือกเหล่านั้นที่มัดเราให้ติดอยู่กับโลก หากเราไม่ขยับเข้าใกล้ความรัก ชีวิตเราและพระศาสนจักรของเราก็จะป่วยจากโรค “พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่และหมกมุ่นอยู่กับแต่เรื่องของตนเองตลอดเวลา” (Evangelii Gaudium, 95)เรารู้สึกชื่นชมในความสุขแบบเทียมๆบางประการ เราปิดกั้นตนเองในการซุบซิบนินทาที่ไร้ประโยชน์เรามีแต่ย่ำอยู่กับที่ในการดำเนินชีวิตคริสตชนโดยไร้ซึ่งความหมายโดยที่ความพึงพอใจในตัวเองปิดบังความไม่สบายใจที่ตนยังเป็นคนครึ่งๆกลางๆ
นี่เป็นเรื่องของคนที่พระวรสารพูดถึง “เขาจากไปด้วยความเศร้าใจ” (ข้อ22) เขายึดติดอยู่กับธรรมบัญญัติและข้าวของมากมายของตน เขาไม่ได้มอบดวงใจของเขาให้กับพระเจ้า แม้ว่าเขาจะได้พบกับพระคริสตเจ้าและได้รับการพิศเพ่งน่ารักของพระองค์ ชายผู้นั้นก็ยังเดินจากไปด้วยหัวใจเศร้า ความเศร้าเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความล้มเหลวแห่งความรักของเขา แสดงให้เห็นถึงหัวใจของเขาที่ไม่รู้จักร้อนไม่รู้จักหนาว ในอีกมุมมองหนึ่งนั้น ดวงใจที่ปลอดจากความรักห่วงใยในทรัพย์สมบัติ ดวงใจที่รักพระเจ้าอย่างเสรี ดวงใจนั้นจะแพร่ความชื่นชมยินดีซึ่งทุกวันนี้โลกเรามีความต้องการมากนักบุญใหม่ เปาโล ที่ 6 พระสันตะปาปาทรงลิขิตไว้ว่า “ท่ามกลางความท้อแท้สิ้นหวังของมนุษย์เราจำเป็นต้องเรียนรู้ความชื่นชมยินดี เพื่อที่จะได้ยินเสียงนั้น” (Gaudete in Domino, I) วันนี้พระเยซูเชื้อเชิญให้เราหันกลับไปสู่ต้นตอแห่งความชื่นชมยินดี ซึ่งเป็นการมีความสัมพันธ์กับพระองค์ เป็นการเลือกที่กล้าหาญ เสี่ยงต่อทุกสิ่งในการาติดตามพระองค์เป็นความพอใจที่ได้ทิ้งอะไรบางอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อที่จะเดินในหนทางของพระองค์ บรรดานักบุญได้เดินในหนทางเหล่านี้มาก่อนแล้ว
พระสันตะปาปานักบุญเปาโลที่ 6 ก็ได้เดินในทางนี้มาก่อนเช่นเดียวกันตามแบบฉบับของอัครสาวกที่พระองค์ทรงใช้เป็นพระนามของพระองค์ เฉกเช่นนักบุญเปาโลพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ทรงใช้ชีวิตเพื่อพระวรสารของพระคริสตเจ้า พระองค์ก้าวข้ามดินแดนและทรงเป็นประจักษ์พยานในการประกาศพระวรสารและในการเสวนา พระองค์เป็นประกาศกของพระศาสนจักรที่มุ่งสู่ทุกผู้คน เฝ้าหาผู้ที่อยู่ห่างไกลและทรงเอาใจใส่คนยากจน แม้ท่ามกลางความเหนื่อยยากและความเข้าใจผิด พระองค์ก็ยังคงเป็นประจักษ์พยานด้วยความอดทนในความงามแห่งความชื่นชมยินดีในการติดตามพระคริสตเจ้าอย่างสิ้นเชิง วันนี้พระองค์ยังทรงเชื้อเชิญเราพร้อมกับพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงเป็นผู้คัดหางเสือหรือนายท้ายให้พวกเราดำเนินชีวิตตามกระแสเรียกของเรา คือการเรียกร้องสู่ความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่พร้อมกับพระองค์และนักบุญอื่นๆในวันนี้ ยังมีอาร์ชบิชอปโรเมโรอยู่ด้วยซึ่งทิ้งความปลอดภัยของโลกเพื่อที่จะอุทิศชีวิตตนตามพระวรสาร อยู่ใกล้ชิดกับคนยากจนและเพื่อนพี่น้องของท่านโดยมีดวงใจชิดสนิทกับพระเยซูและญาติของตนเราอาจกล่าวได้เช่นเดียวกันกับ ฟรานเชสโก สปีแนลลี่ (Francesco Spinelli), วินเชนโซ่ โรมาโน (Vincenzo Romano), มารีอา คาเตรีน่า คาสเปอร์ (Maria Caterina Kasper), นาซารีอา อิกญาซีอา (NazariaIgnazia)แห่งนักบุญเทเรซาพระเยซูกุมาร และเด็กหนุ่มของเราจากนโปลีที่ชื่อนุนซีโอ ซุลปริสซีโอ(Nunzio Sulprizio)นักบุญเหล่านี้ในบริบทต่างๆนำเอาพระวาจาของวันนี้ไปปฏิบัติในชีวิตโดยปราศจากความหวาดหวั่นในชีวิต ไม่ต้องมีการคิดคำนวณ พร้อมที่จะเสี่ยงกับทุกสิ่งและทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์นี้มาเพื่อการไตร่ตรอง)