Skip to content

พระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปาต่อบรรดาปิตาจารย์ของซีน็อด
“ความรับผิดชอบของเราต้องแสดงให้บรรดาเยาวชนเห็นว่า
การร่วมมือกับพระศาสนจักรเป็นสาส์นอันไร้กาลเวลานั้น
เป็นสิ่งคู่ควรและคุ้มค่าที่สุด”

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเตือนใจ อย่าให้เราหลงกลของประกาศกแห่งความสิ้นหวัง แต่ให้มุ่งไปยังประกาศกที่ดี “ซึ่งบ่อยครั้งนิ่งเงียบ”เพราะหลายคนมัวแต่สนใจข่าวต่างๆที่พาดหัวในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์

วันพุธที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2018

ความรับผิดชอบของเราต้องแสดงให้บรรดาเยาวชนเห็นว่าการร่วมมือกับพระศาสนจักรและสาส์นซึ่งไร้กาลเวลาของพระเยซูคริสตเจ้านั้นคุ้มค่าจริงๆไม่ใช่เป็นการเสียเวลา

วันนี้ซึ่งเป็นวันพุธที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2018สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสกับบรรดาปิตาจารย์ที่มาร่วมประชุมสมัชชาซีน็อด ณ กรุงโรมเกี่ยวกับเยาวชน ความเชื่อ และการไตร่ตรองกระแสเรียก ซึ่งมีการประชุมกันในช่วงวันที่ 3-28ตุลาคม ค.ศ. 2018

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเริ่มพระดำรัสโดยการขอบคุณบรรดาเยาวชนที่ติดต่อกับสมณกระทรวงฯ สำนักเลขาธิการของสมัชชาซีน็อด เพื่อแสดงความคิดเห็นของตน

“พ่อขอขอบคุณเยาวชนที่กล้าหาญและกล้าเสี่ยงถือว่านี่คุ้มค่ากับความพยายามที่รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักรหรือเข้ามาเสวนากับพระศาสนจักรซึ่งคุ้มค่ากับความพยายามที่ยึดถือพระศาสนจักรเป็นดุจมารดา เป็นอาจารย์ เป็นบ้าน เป็นครอบครัว และแม้มนุษย์จะมีความอ่อนแอและความยากลำบากก็ยังสามารถที่จะฉายรัศมีและส่งสาส์นอันไร้กาลเวลาของพระคริสตเจ้าไปยังผู้อื่นได้”

พระองค์ทรงขอบคุณพวกเขาเช่นเดียวกันสำหรับการกล้าเสี่ยงว่า “นี่คุ้มค่ากับความพยายามที่จะยึดติดอยู่กับเรือแห่งพระศาสนจักรซึ่งแม้จะมีพายุรุนแรงของโลกก็ยังคงให้ที่พักพิงและการต้อนรับทุกคนคุ้มค่ากับความพยายามที่จะฟังซึ่งกันและกัน คุ้มค่ากับความพยายามที่จะว่ายทวนกระแสน้ำและยึดมั่นในคุณค่าอันสูงส่งไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ความซื่อสัตย์ ความรัก ความเชื่อ การเสียสละ การรับใช้ และชีวิตนิรันดร”

“ความรับผิดชอบของเราบรรดาปิตาจารย์ที่สภาซีน็อดแห่งนี้” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตรัส “ไม่ใช่ไปประณามพวกเขา แต่ต้องเป็นการแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาทำถูกต้องแล้วที่กล้าเสี่ยง  เพราะว่าคุ้มค่ากับความพยายามจริงๆ  และนี่ไม่ใช่เป็นการเสียเวลา”

เยาวชนที่อยู่ ณ ที่นี้และผู้ที่มาร่วมประชุมจากแดนไกล “ทำให้หัวใจของพวกเราเปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดีและความหวัง”

พระองค์ทรงเสนอบางสิ่งให้กับบรรดาปิตาจารย์ของสภาซีน็อดดังนี้ “ซึน็อดที่เรากำลังดำเนินการอยู่นี้เป็นเวลาแห่งการแบ่งปันโดยให้ข้อสังเกตว่า นี่หมายถึงทุกคนได้รับการเชื้อเชิญให้พูดด้วยความกล้าและพูดอย่างตรงไปตรงมา (parrhesia)  “มีแต่การเสวนาเท่านั้นที่จะทำให้เราเจริญเติบโตขึ้นได้  การวิพากษ์วิจารณ์ที่ซื่อสัตย์และโปร่งใสคือการสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ ไม่ใช่คุยกันแต่เรื่องที่ไร้สาระ ข่าวลือ การคาดเดา หรือการพูดให้เกิดความโน้มเอียงต่างๆแบบล็อบบี้”

พระองค์ตรัสว่าความสุภาพในการฟังต้องสอดคล้องกับความกล้าหาญที่จะพูด  “พ่อได้บอกกับบรรดาเยาวชนในการประชุมก่อนการประชุมซีน็อดว่า หากพวกเธอพูดอะไรที่พ่อไม่ค่อยชอบพ่อก็ยิ่งจะต้องตั้งใจฟัง เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูดแล้วคนอื่นต้องรับฟังอย่างตั้งใจ”

“พวกท่านหลายคนมีการเตรียมกันมาล่วงหน้าแล้วว่าจะแสดงความเห็นอย่างไร ซึ่งตัวเราเองขอขอบใจในงานของพวกท่าน  แต่เราขอเชิญชวนให้พวกท่านรู้สึกเสรีภาพที่จะพิจารณาสิ่งที่ท่านได้เตรียมมาในฐานะที่ยังเป็นแนวทางฉบับร่างแล้วเปิดให้มีการเพิ่มหรือมีการเปลี่ยนซึ่งสมัชชาซีน็อดอาจเสนอมายังท่านแต่ละคน”  พระองค์ทรงแนะนำว่า “ให้ทุกคนรู้สึกเป็นอิสระที่จะต้อนรับและเข้าใจผู้อื่นพร้อมกับเปลี่ยนความเชื่อมั่นและความคิดของเรา  นี่เป็นเครื่องหมายแห่งวุฒิภาวะฝ่ายจิตอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์”

การไตร่ตรองที่มีรากฐานอยู่ในความเชื่อและการเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงกระทำการตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์

      สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเตือนว่า สมัชชาซีน็อดเป็นการปฏิบัติการไตร่ตรองของพระศาสนจักร “การไตร่ตรองไม่ใช่เป็นสโลแกนโฆษณา ไม่ใช่เป็นเทคนิคขององค์กร หรือเป็นการโชว์ของสมณสมัยนี้ แต่เป็นทัศนคติภายในซึ่งมีรากฐานอยู่ในความเชื่อ  การไตร่ตรองเป็นวิธีการอย่างหนึ่งและในขณะเดียวกันก็เป็นเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้  ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าพระเจ้าทรงกระทำการในประวัติศาสตร์ของโลก ในเหตุการณ์แห่งชีวิต ในประชาชนที่ฉันพบเห็นที่สนทนากับฉัน”

พระองค์ยังทรงเตือนด้วยว่า “เราเป็นเครื่องหมายของพระศาสนจักรที่ต้องรับฟังและกำลังเดินทางร่วมกัน”

“ผู้นำพระศาสนจักรที่ไม่รับฟังแสดงว่าตนปิดตัวให้กับสิ่งใหม่ๆ ปิดตัวต่อสิ่งที่แปลกใหม่ของพระเจ้า และไม่สามารถเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเยาวชนซึ่งจะพากันหันหน้าหนีไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แทนที่จะเข้ามาหาพวกเรา”

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสยังทรงแนะนำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่ประชุมสมัชชาต้องทิ้งความลำเอียงและเรื่องเก่าๆไว้เบื้องหลังเพื่อที่จะเอาชนะต่อความไม่เข้าท่าของลัทธิสมณนิยมและพวกที่ชอบเก็บโรคไวรัสแห่งความรู้สึกพึงพอใจในตัวเองรวมถึงการตัดสินใจอันรวดเร็ว ซึ่งมีผลร้ายต่อเยาวชนจำนวนมาก

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงวิงวอนให้สมัชชาซีน็อดปลุกใจตนเองให้ตื่นขึ้น “ณ วินาทีนี้หมายถึงพระศาสนจักรด้วยซึ่งดูเหมือนจะแบกภาระหนักอึ้งกับการดิ้นรนต่อสู้ กับปัญหา และภาระหนัก”  พระองค์ทรงยอมรับว่า “ความเชื่อบอกเราว่า นี่เป็นความหวังซึ่งพระคริสตเจ้าทรงเสด็จมาพบกับเราเพื่อที่จะรักเราและเรียกร้องให้เรามีความบริบูรณ์แห่งชีวิต”

เราต้องค้นให้พบเหตุผลแห่งความหวังและมอบความหวังนั้นต่อไปยังผู้อื่น… อย่าไปหลงเชื่อประกาศกแห่งความสิ้นหวัง

        “อนาคตไม่ใช่อำนาจข่มขู่ที่เราต้องกลัว…” พระองค์ตรัสพร้อมกันเน้นว่า “เราต้องค้นให้พบเหตุผลในความหวังของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการส่งความหวังดังกล่าวต่อไปยังเยาวชนซึ่งกำลังกระหายความหวัง”

“ดังนั้นอย่าปล่อยให้ตนเองถูกล่อลวงจาก “ประกาศกแห่งความสิ้นหวัง” อย่าใช้พลังของท่านไปในการ “นั่งนับแต่ความผิดพลาดแล้วฝังใจอยู่แต่ในการถูกตำหนิ”  จงพิศเพ่งไปยังคนดีที่ “บ่อยครั้งไม่มีซุ่มเสียง ไม่เป็นเรื่องใหญ่หรือเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์หน้าแรก”

“แล้วจงอย่าได้กลัว” พระองค์ตรัสต่อ “ต่อบาดแผลบนพระวรกายของพระคริสตเจ้าที่เกิดขึ้นจากบาปและบ่อยครั้งจากลูกหลานของพระศาสนจักร”

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส สรุปโดยการตรัสว่า ให้เราทำงานเพื่อ “การใช้เวลากับอนาคต” เพื่อจะนำสิ่งงดงามไปจากการประชุมสมัชชาซีน็อดนี้ “ไม่เพียงแต่รวบรวมเอกสารต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีคนอ่านเพียงไม่กี่คนและถูกตำหนิจากผู้คนเป็นอันมาก แต่ที่สำคัญคือข้อเสนอการอภิบาลที่เป็นรูปธรรมที่สามารถทำให้เป้าหมายของการประชุมสมัชชาซีน็อดสำเร็จลุล่วงไป”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสนี้มาเพื่อการไตร่ตรอง)