Skip to content

ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม ถึงวันที่ 5 กันยายน 2560 มีชาวนาคาทอลิกเกาหลีใต้ (Korean Catholic Farmer Movement) ได้มาสัมผัสชีวิตชุมชนพื้นราบที่จังหวัดพะเยาและชุมชนบนดอยที่หมู่บ้านขุนแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่

เป็นโครงการศึกษาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ระหว่างกัน ที่ได้ทำติดต่อกันมา 4 ปีแล้ว ปีนี้นำโดยคุณพ่อ park และคุณพ่อ Kim ทั้งสองท่านเป็นจิตตาธิการชาวนาคาทอลิกเกาหลีใต้ คณะที่มารวมทั้งหมดมี 20 คน จากสังฆมณฑล Mansa ทางตอนใต้ของกรุงโซล

ระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคม 2017 คณะชาวนาฯ ไปสัมผัสชีวิตที่พะเยา ได้เยี่ยมศูนย์ต่างๆและศึกษาดูงานเกษตรอินทรีย์ของชุมชนที่ศูนย์สังคมพัฒนาเขตพะเยาส่งเสริมและให้แนวคิดสมัยที่ศูนย์เขตพะเยาทำงานกับชุมชนพุทธที่นั่น พวกเขาประทับใจมาก จากการไปพักกับครอบครัว ที่ได้รับการต้อนรับด้วยมิตรไมตรีที่อบอุ่น แม้ว่าครอบครัวที่ไปพักไม่ใช่คาทอลิก

ส่วนที่บ้านขุนแปะ ได้ไปพักกับครอบครัวเช่นกันและได้ไปดูการทำเกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ผสมผสานของชาวบ้านและร่วมกันสวดภาวนาที่นาของชาวบ้าน เพื่อขอพรและขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประทานฝนฟ้าให้มีน้ำอุดม สมบูรณ์ นำโดยคุณพ่อติดคำ เจ้าวัดบ้านขุนแปะ การสวดภาวนาในนา ในไร่ของชาวบ้าน ทำให้ชาวนาเกาหลีรู้สึกแปลกใจ เพราะที่บ้านเขาไม่มีอย่างนี้ แต่ทางผู้นำหมู่บ้าน คุณพงศ์ชัย ชุลีกรเมตตา ได้อธิบาย การให้คุณค่าและความหมายของการสวดภาวนาตามที่ไร่ที่นา และคุณพ่อติดคำได้เชื่อมโยงกับพระคัมภีร์ ให้เห็นถึงความเชื่อที่อยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ทำให้เกษตรกรเกาหลีเข้าใจมากขึ้น

 

วันอาทิตย์ได้ร่วมมิสซาขอบพระคุณพระเจ้ากับชาวบ้านขุนแปะ เป็นบรรยากาศที่ประทับใจทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีการร้องเพลงสลับกันทั้งเพลงเกาหลีและเพลงปกาเกอะญอ ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน

ตอนบ่ายวันอาทิตย์ได้ไปเยี่ยมดูงานเกษตรผสมผสานที่ศูนย์เกษตรมูลนิธิการุญญานุเคราะห์ที่อำเภอจอมทอง คุณพ่อณรงค์ชัยได้บรรยายถึงกิจกรรมต่างๆในศูนย์ฯและเยี่ยมชมแปลงถั่วอินคา แปลงพุทรา เก็บและชิมผลลำไยและเยี่ยมดูการเลี้ยงปลา เป็นต้น  มีชาวนาเกาหลีคนหนึ่งบอกว่า ที่บ้านเขามีหอยชนิดหนึ่ง (ลักษณะคล้ายๆหอยทากแต่ตัวสั้นกว่านิดหนึ่ง) เขามีวิธีฝึกให้หอยชนิดนี้กินหญ้า ไม่ให้กินต้นข้าวเหมือนของเรา พ่อณรงค์คงต้องหาคนไปเรียนฝึกหอยกินหญ้าที่เกาหลีใต้แล้วละ

จากนั้นไปเยี่ยมศูนย์ธิดารักษ์ ของซีสเตอร์คณะซาเลเซียน ซึ่งอยู่ใกล้กับสวนเกษตรผสมผสานของพ่อณรงค์ชัย มีนักเรียนหญิง 87 คน จาก 5 ชนเผ่า ซีสเตอร์พาไปดูกิจกรรมต่างๆที่นักเรียนในศูนย์ทำ และทอดกล้วยทอดให้กับคณะชาวนาเกาหลีกินอย่างเอร็ดอร่อยกันถ้วนหน้า

สถานที่สุดท้ายที่ได้เยี่ยมในวันที่ 3 กันยายนคือ บ้านนาโกลี (Nakoli) แวะดื่มกาแฟหม้อดิน น้ำเสาวรสอินทรีย์และซื้อผ้าทอสีธรรมชาติที่ผลิตโดยกลุ่มแม่บ้าน ที่บ้านนาโกลี

วันที่ 4 บ่าย 4 โมง คณะชาวนาฯได้ไปคารวะพระคุณเจ้า วีระ อาภรณ์รัตน์ที่สำนักมิสซัง พระคุณเจ้าได้แบ่งปันถึงภารกิจต่างๆของพระคุณเจ้าในสังฆมณฑลเชียงใหม่ ที่มีพื้นที่กว้างและหลากหลายด้วยชาติพันธุ์ ที่อาศัยอยู่กระจัดกระจายบนพื้นที่สูง แต่พวกเขาเหล่านั้น ได้เผชิญกับปัญหามากมาย เช่น การไม่มีที่ดินทำกินเพียงพอสำหรับการผลิตเพื่อยังชีพ การถูกเอารัดเอาเปรียบในด้านของราคาพืชผล การอพยพเคลื่อนย้ายจากชุมชน หมู่บ้านสู่เมืองและความเชื่อ ความศรัทธา โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เริ่มน้อยลง พระคุณเจ้าได้เชิญชวนให้คณะชาวนาคาทอลิกเกาหลีใต้ว่า ให้เราทุกคนสวดภาวนาให้เกิดสันติภาพ สถานการณ์ที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดตอนนี้คือการทดลองยิงระเบิดนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะเกิดการเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรงขึ้นมาในวันไหน ฉะนั้นขอให้ร่วมกับพระสันตะปาปาสวดภาวนาให้เกิดสันติให้ได้  สุดท้ายพระคุณเจ้าได้แจกของที่ระลึกและถ่ายรูปด้วยกัน ที่หน้าสำนักมิสซัง

วันที่ 5 กันยายน ทางคณะฯ ได้ขอให้คุณพ่อนิพจน์แบ่งปันสมณสาส์น Laudato Si และเทวศาสตร์สิ่งสร้าง ซึ่งตอนหนึ่งของการแบ่งปัน Laudato Si  คุณพ่อนิพจน์ขอให้แต่ละคนใช้เวลาประมาณ 10 นาที ไปสัมผัสต้นไม้ สัมผัสดิน แล้วมาแบ่งปันว่า รู้สึกอย่างไร ต้นไม้ ดินที่สัมผัสนั้นสื่ออะไรกับเรา บางคนแบ่งปันว่า เราเป็นเกษตรกรมานาน แต่ไม่เคยคิดว่า ต้นไม้ ดินและธรรมชาติอื่นๆรอบตัวเรา เป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน แต่พอฟังจากสิ่งที่คุณพ่อนิพจน์อธิบายสมณสาส์น Laudato Si และเชื่อมโยงกับการให้พวกเราสัมผัสอย่างลุ่มลึกด้วยตนเอง ทำให้เราตระหนักว่า เราเกษตรกรต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆอีกมากโดยเฉพาะจากสมณสาส์น Laudato Si ที่เกี่ยวข้อง ใกล้ชิดกับชีวิตของทุกคน

บรรยายเกี่ยวกับสมณสาส์น Laudato Si และรำพึงภาวนากับธรรมชาติด้วยการโอบกอดต้นไม้ การสัมผัสดินน้ำและไตร่ตรองกับชีวิตของแต่ละคน

ตอนท้ายก่อนที่จะปิดการสัมผัสชีวิตด้วยพิธีบูชาขอบคุณพระเจ้า ได้มีการประเมินและหลายคนสะท้อนความรู้สึกว่า การสัมผัสชีวิตครั้งนี้ทำให้กลุ่มได้เรียนรู้หลายอย่างที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน เช่น การสวดภาวนาในนา ในไร่ ความเชื่อเรื่องข้าวตายสามครั้งและข้าวให้ชีวิต ข้าวคือชีวิตของพี่น้องชาวปกาเกอะญอ การมีพิธีกรรมต่างๆที่เป็นการแสดงถึงการให้ความเคารพ การขอบคุณและทำให้ธรรมชาติรอบตัวเรามีความศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติรอบตัวเราคือสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ ที่พวกเราชาวนาคาทอลิกเกาหลีต้องเรียนรู้จากพี่น้องชนเผ่าปกาเกอะญอ นี่คือมหาวิทยาลัยชีวิตที่แท้จริง ที่จะต้องเรียนรู้ มีสมาชิกท่านหนึ่งที่เป็นล่าม (เขาไม่นับถือคาทอลิก) พูดแสดงความรู้สึกตอนท้ายว่า “ผมมาที่นี่เหมือนกับผมมาอยู่ในพระอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว” อีกท่านหนึ่งมีอายุแล้วบอกว่า “หมู่บ้านขุนแปะเหมือนกับเมืองสวรรค์ ผู้คนมีน้ำใจ มีอากาศดี รอบหมู่บ้านมีแต่ธรรมชาติที่สวยงาม กลางคืนมีแสงดาวส่องสว่าง ทำให้เดินสวดสายประคำรอบวัดได้อย่างศรัทธา มีความรู้สึกว่าอยู่ใกล้กับพระเจ้ามากขึ้น”

อีกท่านหนึ่งเป็นรองประธานกลุ่มชาวนาคาทอลิกเกาหลีใต้สะท้อนความรู้สึกว่า “ผมมีความภาคภูมิใจที่เป็นชาวนาจริงๆก็ครั้งนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสดิน สัมผัสต้นไม้อย่างลุ่มลึกและคุณพ่อนิพจน์เชื่อมโยงกับปฐมกาล ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า เรากับธรรมชาติรอบตัว เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน (เหมือนสวนเอเดน) เพราะที่ผ่านมาผมคิดเพียงว่า ผมจะเอาประโยชน์จากธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตอนนี้ผมกลับใจแล้ว”

สรุปโดย สุนทร วงศ์จอมพร  (7 กันยายน  2560)